เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 11 ตอนที่ 317 มรดกตกทอด
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 11 ตอนที่ 317 มรดกตกทอด
เล่มที่ 11 ตอนที่ 317 มรดกตกทอด
ยามที่นางมาถึงจวนหนิงกั๋วโหว ไฟโทสะยังคงปรากฏชัดอยู่บนใบหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์
เห็นเพียงแวบเดียวฮูหยินแห่งจวนหนิงกั๋วโหวก็สามารถบอกได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับนาง “ไอ๊หยา เป็นผู้ใดกันที่ทำให้พระชายาแห่งองค์ชายรองในอนาคตของพวกเราโกรธ บอกแม่บุญธรรมให้ได้ชื่มชมที”
“ท่านแม่บุญธรรมเจ้าคะ!” หลิงมู่เอ๋อร์กระทืบเท้าเร่าๆ นางไม่คิดว่าท่านแม่บุญธรรมจะกลั่นแกล้งนาง ทว่าก็ยังคงเอ่ยถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่อยู่ดี และกลายเป็นว่าท่านแม่บุญธรรมของนางโกรธยิ่งกว่านางเสียอีก
“เยี่ยมจริงๆ หลินอวี่เหิง ดูท่าแล้วตำแหน่งเสนาบดีกรมพิธีการที่เพิ่งได้รับมาคงจะใกล้ถึงทางตันแล้ว”
ในมุมที่หลิงมู่เอ๋อร์ไม่เห็น นางขยิบตาให้นางกำนัลที่อยู่ข้างกาย ส่งสัญญาณให้นางจัดการเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จ
หลิงมู่เอ๋อร์เงยหน้าขึ้นและเห็นนางกำนัลเดินออกไป นางคิดว่าหญิงชราคงแค่จะไปเอาชาและน้ำมาให้เท่านั้น จึงมิได้นำมาใส่ใจ “ท่านแม่บุญธรรมเจ้าคะ หมายความว่าอย่างไรหรือ? ก่อนหน้านั้นใต้เท้าหลินมิใช่เสนาบดีกรมพิธีการหรือ?”
“เหอะ หากไม่ใช่เพราะลูกพี่ลูกน้องญาติห่างๆ ของเขา อดีตฮองเฮาที่ถูกโยนเข้าไปในตำหนักเย็นนั่น” ฮูหยินแห่งจวนหนิงกั๋วโหวเอ่ยด้วยความเย้ยหยัน “หลินอวี่เหิงผู้นี้คือคนเจ้าเล่ห์ เต็มไปด้วยแผนการชั่วร้าย ขอเพียงแค่เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์สำหรับเขา ต่อให้ต้องระเบิดสมองก็ต้องคิดหาวิธีแก้ปัญหาให้จงได้ เขามีชื่อเสียงในราชสำนักเรื่องชอบคิดบัญชีกับผู้อื่น ก่อนที่ฮองเฮาจะถูกขับไล่เข้าตำหนักเย็น เขาก็ได้พึ่งพาอำนาจจากตระกูลมารดา สนับสนุนตนเอง จนสามารถเข้ามาในราชสำนักได้ เขาได้รับการเลื่อนขั้นตั้งแต่ตำแหน่งเล็กๆ อย่างขุนนางขั้นหก มาเป็นขุนนางขั้นสี่ ทว่าหลังจากที่ฮองเฮาถูกลดตำแหน่ง ฮ่องเต้ย่อมต้องการที่จะสะสางความลำเอียงเหล่านี้ ทว่าเขาไม่สามารถกำจัดให้สิ้นซากได้ในคราวเดียว ยามนี้จึงทำได้เพียงเฝ้าจับตาดูเสนาบดีกรมพิธีการคนนี้ ทว่าเขายังไม่ทันนั่งเก้าอี้เสนาบดีจนร้อน…” ก็กำลังจะหล่นจากตำแหน่งเสียแล้ว…
ทว่านางจะไม่บอกหลิงมู่เอ๋อร์ว่านางทำอันใด แม่นางน้อยกำลังจะแต่งงานกับเฉินเอ๋อร์ หากมีเรื่องแพร่สะพัดในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ออกไปว่านางกำลังใช้ฐานะพระชายาเอกแห่งองค์ชายรองในอนาคต กดขี่ข่มเหงขุนนางขั้นสี่ เกรงว่าจะไม่ทำให้เกิดผลในเชิงบวกต่อพวกเขา
แน่นอนว่าเรื่องที่ไม่ควรเผยแพร่ออกไปสู่ที่แจ้งเช่นนี้ควรจะเป็นนาง ฮูหยินแห่งจวนหนิงกั๋วโหวที่จัดการดีกว่า
“ข้าคิดว่าเขาก็เหมือนกับคนอื่นๆ แค่ต้องการการสนับสนุนจากองค์ชายรอง ทว่าข้าคิดไม่ถึงว่าเขาจะส่งหลินอวี่เตี๋ยเข้ามาแทน เหอะ แน่นอนว่าข้าย่อมไม่มีทางเห็นด้วย” หลิงมู่เอ๋อร์พ่นเสียงเย็นชา ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ ทั้งหมดเป็นเพราะรูปโฉมที่งดงามหล่อเหลาของซั่งกวนเซ่าเฉินที่สามารถดึงดูดเหล่าผึ้งผีเสื้อได้ทุกที่
ดูจากท่าทางที่ต้องการเอาชนะของหลินอวี่เตี๋ยในวันนี้ ไม่รู้ว่านางตกหลุมรักผู้ชายคนนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่
แต่ดูเหมือนว่าหลังจากแต่งงานกันแล้ว นางต้องปล่อยให้เขาสวมหน้ากากคนแก่ต่อไป อย่างน้อยก็มีเพียงนางเท่านั้นที่ชอบหน้าตาเช่นนั้นของเขา
“ถูกต้อง เจ้าจะปล่อยให้ผู้หญิงคนอื่นเข้าจวนก่อนที่ตัวเจ้าจะเข้าประตูวิวาห์ได้อย่างไร” ฮูหยินหนิงกั๋วโหวยังเข้าอกเข้าใจเป็นอย่างดีและปกป้องนางดีเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากหลิงมู่เอ๋อร์เป็นบุตรสาวบุญธรรมของนาง อีกทั้งนางยังชอบแม่นางน้อยคนนี้นัก ดังนั้นนางจึงปกป้องบุตรสาวผู้นี้เป็นอย่างดี “ข้าจะบอกให้ หลินอวี่เหิงผู้นี้ฉลาดก็ฉลาด แต่ก็มีช่วงเวลาที่เลอะเลือนอยู่ เรื่องสกปรกเลวร้ายเช่นนี้ยังสามารถคิดออกมาได้ ช่างโง่เง่าจริงๆ”
ยามที่ได้ยินคำพูดที่จงใจทำให้อับอายของท่านแม่บุญธรรม หลิงมู่เอ๋อร์ก็หัวเราะ ‘พรืด’ ออกมาทันที นางรู้สึกดีขึ้นมาก
“ท่านแม่บุญธรรมเป็นคนที่ปลอบโยนได้ดีที่สุด หากข้ารู้แต่แรกว่าพวกเขาจะมาจวนสกุลหลิง ข้าจะขอให้ท่านแม่บุญธรรมมาจัดการพวกเขาด้วยตนเอง”
ฮูหยินหนิงกั๋วโหวที่กำลังกินองุ่นอยู่เบิกตาถลน “ถูกต้อง ครั้งต่อไปที่เจ้าเจอเรื่องเช่นนี้ จงอย่าลงมือด้วยตนเอง ส่งคนมาหาข้าทันที ข้าจะดูสิว่ามีใครที่ขวัญกล้าไม่เห็นหัวคนแก่เช่นข้าบ้าง!”
ในอดีตฮูหยินหนิงกั๋วโหวเป็นสตรีที่ติดตามท่านอ๋องหนิงกั๋วโหวเข้าสู่สนามรบ ดังนั้นนางจึงพูดจาโผงผางและกล้าหาญ พูดทุกสิ่งที่อยู่ในใจ ไม่ปิดบัง
เมื่อบวกรวมกับมีส่วนร่วมของจวนหนิงกั๋วโหวต่อราชวงศ์เทียนในช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมา ฮ่องเต้เองทรงก็ชื่นชมในความตรงไปตรงมาของนางและไม่เคยตำหนินางเลยสักครั้ง ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านพ้นไป คำพูดของนางก็ยิ่งอุกอาจมากขึ้นเรื่อยๆ
ทว่าหลิงมู่เอ๋อร์ชอบความหยิ่งผยองของนาง
“ท่านแม่บุญธรรมใจดีกับข้าเหลือเกินเจ้าค่ะ”
“ล้อข้าเล่นแล้ว เจ้าเป็นบุตรสาวบุญธรรมของข้า หากข้าไม่ดีกับเจ้า แล้วจะให้ข้าดีกับใคร?” ฮูหยินหนิงกั๋วโหวเอ่ย ทว่าจู่ๆ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว “ส่วนเจ้า มู่เอ๋อร์ ข้าได้ยินมาว่าเมื่อไม่นานมานี้ เพราะเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับองค์หญิงแห่งซีอวี้ เจ้าถึงกับจะหนีออกจากเมืองหลวง! เจ้าเด็กดื้อ หากเจ้าสู้คนพวกนั้นไม่ได้ เจ้าก็ยังมีข้า แม่บุญธรรมของเจ้าอยู่ เหตุใดถึงหักใจทิ้งครอบครัวและอาชีพการงานของเจ้าไปด้วย? ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังใจร้ายอีกต่างหาก ขนาดตั้งใจจะจากไปแล้ว เจ้าก็ไม่คิดจะมาบอกลาแม่บุญธรรมสักคำ?”
ยามที่ได้ยินคำพูดตัดพ้อ หลิงมู่เอ๋อร์ก็หดคอลง ก่อนจะรีบก้มศีรษะลงอย่างรู้สึกผิด “ท่านแม่บุญธรรม…”
อันที่จริง ไม่ใช่ว่านางไม่เคยคิดจะบอกลาท่านแม่บุญธรรม ทว่าตามนิสัยของท่านแม่บุญธรรมแล้ว หากนางรู้ว่าตนจากไปเพราะเรื่องขององค์หญิงและความปลอดภัยของครอบครัว ท่านแม่ย่อมไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน ดังนั้นนางจึงคิดที่จะให้คนส่งจดหมายมา หลังจากที่นางจากไปอย่างปลอดภัย ทว่าผู้ใดจะคาดคิดว่าหนีไปไม่สำเร็จแล้วยังทำให้ท่านแม่บุญธรรมโมโหอีก
“เอาละ แม่ไม่ได้ตั้งใจจะตำหนิเจ้า แม่แค่อยากบอกเจ้าว่า ไม่ว่าปัญหาจะใหญ่แค่ไหน เจ้าก็ยังมีแม่อยู่ หากเจ้าแก้ปัญหาไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าแก้ไม่ได้ ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าท่านแม่บุญธรรมครั้งหนึ่งแล้ว ข้าก็เป็นแม่บุญธรรมของเจ้าตลอดไป ต่อให้ฟ้าจะถล่ม เจ้าก็ยังจะมีแม่คอยค้ำยันไว้ให้อยู่!”
ยามที่เห็นนางตบหน้าอกเพื่อสร้างความมั่นใจ หลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง หยาดน้ำใสคลอหน่วยในดวงตาของนางทันที
“ไอ๊หยา เพราะเหตุใดถึงร้องไห้เล่า?” ฮูหยินหนิงกั๋วโหว ไม่เคยเป็นคนละเอียดอ่อน ยามที่เห็นคนอื่นร้องไห้ก็รู้สึกมือไม้วางไม่ถูกที่อยู่บ้าง “มู่เอ๋อร์ เมื่อครู่แม่ไม่ได้ตำหนิเจ้า หยุดร้องไห้เถิด”
“ขอบพระคุณท่านแม่บุญธรรมเจ้าค่ะ!” นางโผเข้าสู่อ้อมอกของท่านแม่บุญธรรม หลิงมู่เอ๋อร์อิงแอบฟังเสียงหัวใจเต้นราวกับแมวน้อยที่ว่านอนสอนง่าย
ชีวิตนี้นางโชคดีแค่ไหนที่ได้เจอคนดีๆ อย่างท่านแม่บุญธรรม จริงๆ แล้วนางแค่เรียกท่านแม่บุญธรรมไปส่งๆ ใครจะไปรู้ว่าท่านแม่บุญธรรมกลับจริงจังขนาดนี้ นางจึงคิดว่ามีคนดูแลนางเพิ่มอีกคนคงจะดีไม่น้อย แต่นางมิได้คาดหวังว่าท่านแม่บุญธรรมจะใส่ใจนางถึงเพียงนี้
นางสัญญาว่าจะปฏิบัติต่อท่านแม่อย่างดีในอนาคต
“เด็กโง่ ข้าไม่ใช่แค่ท่านแม่บุญธรรมของเจ้า ทว่ายังเป็นท่านป้าของสามีในอนาคตของเจ้าด้วย พี่สาวของข้าจากไปก่อนเวลาอันควรและฝากฝังเฉินเอ๋อร์ให้ข้าดูแล ทว่าข้าดูแลเขาไม่ได้ ดังนั้นจึงทำได้แค่ดูแลเจ้าให้ดีแทน!”
ฮูหยินหนิงกั๋วโหวลูบผมของนางอย่างรักถนอม “หากพี่สาวของข้าเกิดใหม่และพบว่าเจ้าเด็กหน้าเหม็นคนนั้นได้แต่งงานกับลูกสะใภ้ที่ดีเช่นเจ้า นางจะต้องรักเจ้าเป็นอย่างยิ่งแน่ ข้าจึงรักเจ้าแทนพี่สาวของข้า”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ หัวใจของหลิงมู่เอ๋อร์ก็ยิ่งอบอุ่น แม้ว่านางจะไม่เคยพบท่านแม่ของเซ่าเฉิน ทว่านางก็คิดว่านางต้องเป็นสตรีที่งดงามและใจดีมากๆ แน่
“ท่านแม่บุญธรรมเจ้าคะ ท่านแม่ของเซ่าเฉินเป็นสตรีเช่นไรหรือ?” นางสงสัยเล็กน้อย
“พี่สาวหรือ?” ยามที่พูดถึงพี่สาว ดวงตาของฮูหยินหนิงกั๋วโหวก็อ่อนลงทันที “งดงาม งดงามมาก งามราวสวรรค์สรรค์สร้าง หากเอ่ยว่างามล่มเมืองก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริง ไม่เช่นนั้นวังหลังของฮ่องเต้ที่มีสตรีมากมายถึงเพียงนั้น เหตุใดพระองค์ถึงได้ทรงโปรดปรานพี่สาวเพียงคนเดียวเล่า?”
ฮูหยินหนิงกั๋วโหวชี้ไปที่ใบหน้าของตนเองอีกครั้ง “มู่เอ๋อร์คิดว่าแม่เป็นอย่างไร?”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่เข้าใจว่านางหมายถึงอันใด “ได้ยินมาว่าในตอนนั้นท่านแม่บุญธรรมเองก็เป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงเช่นกัน”
ฮูหยินหนิงกั๋วโหวหัวเราะเสียงดัง ‘พรืด’ เห็นได้ชัดว่านางพอใจกับวาจาที่หวานปานน้ำผึ้งของแม่นางน้อยเป็นอย่างยิ่ง “ทว่าพี่สาวของข้างดงามกว่าข้าหลายเท่านัก มู่เอ๋อร์คิดว่านิสัยของข้าเป็นอย่างไร?”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่คิดเลยแม้แต่นิด “เป็นคนแบบที่มู่เอ๋อร์ชอบ ไม่คิดเล็กคิดน้อย กล้าหาญและอิสระเจ้าค่ะ”
“ทว่าพี่สาวของข้าตรงกันข้ามกับข้า นางอ่อนโยน ฉลาดเฉลียว และใจดีกับทุกคนมาก นางมีนามว่า ‘พระโพธิสัตว์หญิง’ เชียวนะ“
ดูเหมือนว่าแม้จะมีคำที่สวยหรูมากมายเพียงใดก็มิอาจใช้พรรณนาความงดงามที่ไม่มีใครเทียบได้นี้พอ
ฮูหยินหนิงกั๋วโหวเชิดหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง ยามที่นางชื่นชมพี่สาว นางภาคภูมิใจยิ่งกว่าตอนที่นางชมตัวเองเสียอีก
เมื่อมองไปที่ใบหน้าของท่านแม่บุญธรรม หลิงมู่เอ๋อร์พลันวาดภาพคนงามในใจของนาง เป็นภาพสตรีสวมชุดสีฟ้ากำลังดีดฉินเบาๆ คนคนนั้นงดงามเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านแม่บุญธรรม หากท่านมีเวลาช่วยพาข้าไปกราบท่านแม่บ้างได้หรือไม่เจ้าคะ” ไม่รู้เพราะอันใด จู่ๆ นางก็นึกอยากพูดคุยกับว่าที่แม่สามีที่ไม่เคยพบหน้าและไม่มีทางได้พบคนนั้น
“มีน้ำใจแล้ว” ฮูหยินหนิงกั๋วโหวพอใจกับพฤติกรรมของนางเป็นอย่างยิ่ง “หากพี่สาวของข้ารู้ว่าเจ้าไปหานาง ดวงวิญญาณบนสรวงสวรรค์ของนางจะต้องมีความสุขเป็นอย่างยิ่งแน่!”
เมื่อนึกถึงพี่สาวของนาง ฮูหยินหนิงกั๋วโหวมักจะถอนหายใจสองสามครั้งทุกครา “ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของพี่สาวข้าคือการเห็นเฉินเอ๋อร์แต่งงานกับภรรยาและมีลูก สุดท้ายนางก็รอไม่ถึงวันนั้น แต่ว่าไม่เป็นไร มู่เอ๋อร์ของเราฉลาดและมีพรสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง พี่สาวของข้าจะต้องชอบเจ้ามากแน่ๆ!”
นางเอ่ยไปพลางหยิบจี้หยกออกมาจากอก ก่อนจะยัดใส่ฝ่ามือของหลิงมู่เอ๋อร์
“รับไม่ได้ รับไม่ได้แล้วเจ้าค่ะท่านแม่บุญธรรม ท่านมอบสมบัติให้ข้ามากมายเหลือเกินแล้ว ข้ารับไม่ได้อีกแล้วเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ปฏิเสธโดยไม่หันไปมอง
“ทั้งหมดนี้ข้ามอบให้เจ้าเป็นการส่วนตัว เจ้าเป็นลูกสาวบุญธรรมของฮูหยินแห่งจวนหนิงกั๋วโหว ยามที่เจ้าแต่งงาน ข้าต้องเตรียมสินสอดทองหมั้นให้เจ้าเป็นธรรมดา จะปล่อยให้คนอื่นดูถูกเจ้าได้อย่างไร? ทว่าอย่างไรก็ตาม นี่คือของที่แม่สามีในอนาคตมอบให้เจ้า”
ในตอนนั้นหลิงมู่เอ๋อร์ถึงได้ก้มลงมองจี้หยกเนื้อดีสีม่วงอ่อนในมือ บนนั้นสลักคำว่า ‘เฉิน’ อยู่จริงๆ
“ยามที่เฉินเอ๋อร์เกิด พี่สาวของข้าสั่งให้คนทำมันขึ้นมาเป็นพิเศษด้วยหยกภูเขาน้ำแข็งคุณภาพเยี่ยม หากเจ้าถือเสียว่ามันเป็นมรดกตกทอดจากครอบครัว ก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริง พี่สาวของข้าเคยเอ่ยในตอนนั้นว่า หากเฉินเอ๋อร์แต่งงาน นางจะมอบของขวัญชิ้นนี้ให้ลูกสะใภ้ด้วยตัวของนางเอง ทว่าในเมื่อพี่สาวของข้าจากไปแล้ว ข้าจึงขอมอบมันให้เจ้าแทนพี่สาวด้วย”
ฮูหยินหนิงกั๋วโหวจับมือของหลิงมู่เอ๋อร์ไว้แน่น “มู่เอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าและเฉินเอ๋อร์ก็จะได้ครองรักอยู่ด้วยกันหลังจากผ่านอุปสรรคมานานัปการ แม่มีความสุขเป็นอย่างยิ่ง นิสัยของเฉินเอ๋อร์ค่อนข้างเงียบขรึมและน่าเบื่อ ทว่าตั้งแต่ที่เขาพบเจ้า เขาก็มีความสุขขึ้นไม่น้อย ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณเจ้าแล้ว แม่ขอให้เจ้าดูแลเฉินเอ๋อร์ให้ดี ให้เขาได้เป็นอิสระและเรียบง่ายต่อไปเช่นนี้ ได้หรือไม่? เจ้าไม่รู้หรอกว่าเมื่อก่อนเขาเย็นชาเพียงใด”
เมื่อได้ยินข้อกล่าวหาของท่านแม่บุญธรรม หลิงมู่เอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะพรืด “จริงหรือเจ้าคะ? เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนเดียวกับที่ท่านอธิบายมา”
แม้ว่าซั่งกวนเซ่าเฉินจากหมู่บ้านตระกูลหลิงจะมีกลิ่นอายของคนแปลกหน้า เขาสื่อสารกับคนอื่นไม่เก่ง ไปไหนมาไหนคนเดียวเสมอ ทว่าเขาปฏิบัติกับนางเหมือนคนโง่ที่เรียบง่ายและซื่อสัตย์
ส่วนซั่งกวนเซ่าเฉินที่ความจำเสื่อมกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายเผด็จการ มักจะบังคับนางให้อยู่ข้างกาย แม้กระทั่งพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงนางด้วยซ้ำ บางครั้งก็กะล่อนปากหวาน หากใจของนางไม่เปลี่ยนไป นางคงรู้สึกว่าเขาที่กล่าวมาไม่ใช่คนเดียวกันจริงๆ
“ยามที่เจ้าปฏิบัติต่อผู้หญิงที่เจ้ารัก เจ้าจะแสดงอีกด้านหนึ่ง ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่พิเศษ หากเขาปฏิบัติต่อเจ้าด้วยอารมณ์เดียวกับคนอื่นๆ เจ้าจะยังต้องการเขาหรือ?” ฮูหยินหนิงกั๋วโหวเลิกคิ้วถาม
“จริงด้วยเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้า ยามที่นางมองไปยังฮูหยินหนิงกั๋วโหวอีกครั้ง จู่ๆ นางก็จริงจังเป็นอย่างยิ่ง “ท่านแม่บุญธรรมโปรดวางใจ ข้าจะดูแลเซ่าเฉินแทนท่านแม่บุญธรรมและ… ท่านแม่ให้ดีเจ้าค่ะ”
‘แม่’ คนหลังนี้ย่อมหมายถึงมารดาผู้ให้กำเนิดของซั่งกวนเซ่าเฉิน
“เด็กดี” ฮูหยินหนิงกั๋วโหวรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ทว่าในไม่ช้านางก็เปลี่ยนเรื่อง “หากเป็นเช่นนั้นก็จงให้กำเนิดเด็กชายอ้วนๆ ตัวใหญ่ให้ข้าได้เปรมปรีดิ์สักหน่อยเถิด”
“ท่านแม่บุญธรรม!” หลิงมู่เอ๋อร์อ้าปากค้างและหน้าแดงทันที คนในสมัยโบราณไม่ใช่คนหัวโบราณหรือ เกรงว่าหัวข้อเช่นการตั้งครรภ์ก่อนแต่งงานคงมีเพียงท่านแม่บุญธรรมเท่านั้นที่คิดได้
“ไม่มีอันใดให้ต้องอาย เจ้าสองคนกำลังจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้ จะเข้าห้องหอก่อนหรือกราบไหว้บรรพบุรุษก่อนก็ไม่ต่างกัน เหมือนปัญหาที่ว่าไก่กับไข่อันไหนเกิดก่อนกัน ต่างกันอย่างไรเล่า?”
หลิงมู่เอ๋อร์เสียสติไปแล้ว ทันใดนั้นนางก็มีภาพหลอนลวงตา เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านแม่บุญธรรมไม่ได้มาจากยุคนี้?