เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 11 ตอนที่ 313 พระราชโองการอภิเษกสมรส
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 11 ตอนที่ 313 พระราชโองการอภิเษกสมรส
เล่มที่ 11 ตอนที่ 313 พระราชโองการอภิเษกสมรส
ยามที่หลิงมู่เอ๋อร์กลับมาที่จวนตระกูลหลิง หลิงจือเซวียนก็กลับมาถึงแล้ว
ยามที่เห็นว่าเขาและจูฉีไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ และไม่มีสัญญาณของการถูกพิษ หลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกโล่งใจ
“พี่ชาย พี่จู ล้วนเป็นความผิดของข้าทั้งสิ้น ครั้งนี้ทำให้พวกท่านต้องลำบากแล้ว”
“เจ้าพูดเรื่องอันใดกัน?” หลิงจือเซวียนและจูฉีไม่เพียงแต่เอ่ยออกมาพร้อมกันเท่านั้น ทว่ายังยื่นมือออกไปเพื่อพยุงให้นางลุกขึ้นเหมือนกันอีกด้วย ทว่าหลังจากที่หลิงจือเซวียนเคลื่อนไหว จูฉีก็ถอยกลับทันที ก่อนจะลูบหลังศีรษะด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็เป็นฝ่ายเริ่มจับมือของจูฉีก่อน ทว่านางก็ยังจับมืออีกข้างของหลิงจือเซวียนไว้เช่นกัน “พวกท่านล้วนเป็นพี่ชายของข้า ข้ากังวลเป็นอย่างยิ่งยามที่รู้ว่าองค์ชายเจ็ดจะคุมขังพวกท่าน หากมีอันใดเกิดขึ้นกับพวกท่านเพราะข้า ข้าคงตำหนิตนเองไปทั้งชีวิต ทว่าโชคดีที่พวกท่านไม่เป็นอันใด”
“หากไม่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เราคงไม่ได้เห็นหน้าตาที่แท้จริงขององค์ชายเจ็ด ดังนั้นต้องเป็นเราที่ขอบใจเจ้ามู่เอ๋อร์” หลิงจือเซวียนพูดไปพลางมองไปที่จูฉี “พี่จูก็คิดเช่นนั้นใช่หรือไม่?”
ไม่ได้เจอหลิงมู่เอ๋อร์มานาน ยามที่พบกันอีกครั้งหัวใจก็ยังเต้นแรง จูฉีไม่กล้าสบตาหลิงมู่เอ๋อร์ เขาเพียงแค่ก้มศีรษะลง “ไม่ผิด เดิมทีพวกเราซาบซึ้งในความเมตตากรุณาขององค์ชายเจ็ด และตั้งใจที่จะตอบแทนเขาด้วยความสามารถและความภักดีตลอดชีวิต ทว่าข้ากลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะเห็นแก่ตัวเช่นนี้”
จูฉีเหยียดยิ้มเย้ยหยัน ยามที่เขามองไปทางหลิงมู่เอ๋อร์อีกครั้ง เขาก็เกิดความสงสัย “ไม่ทราบว่ามู่เอ๋อร์เกลี้ยกล่อมองค์ชายเจ็ดให้ปล่อยพวกเรามาได้อย่างไร?”
แทบจะเป็นวินาทีเดียวกับที่เขาพูดจบ เสียงขันทีก็ดังมาจากด้านหลังฝูงชน “ฮ่องเต้มีรับสั่ง ตระกูลหลิงจงมารับพระราชโองการ”
ทุกคนรีบคุกเข่าลงกับพื้นทันที
“ด้วยโองการแห่งสวรรค์ ฮ่องเต้จึงทรงมีพระบัญชา หลิงมู่เอ๋อร์ บุตรสาวคนสุดท้องแห่งตระกูลหลิงมีจิตใจที่บริสุทธิ์และฉลาดเฉลียวเปี่ยมความสามารถ ไม่เพียงแต่เก่งกาจทางด้านการแพทย์เท่านั้น ทว่านางยังชนะใจของพระองค์ได้ อีกทั้งนางยังเป็นที่รักและชื่นชมขององค์ชายรอง พระองค์จึงขอมอบพระโองการอภิเษกและแต่งตั้งนางให้เป็นพระชายาเอกแห่งองค์ชายรอง พิธีอภิเษกจะจัดขึ้นในสิ้นเดือนหน้า จบราชโองการ”
ทันทีที่พระราชโองการถูกประกาศออกมา ทุกคนในจวนตระกูลหลิง ตั้งแต่เจ้านายจนถึงคนรับใช้ต่างตกตะลึง ทว่าหลิงมู่เอ๋อร์กลับนิ่งเงียบสงบเสงี่ยมเป็นอย่างยิ่ง “หม่อมฉันน้อมรับพระราชโองการ ขอบพระทัยฮ่องเต้สำหรับพระมหากรุณา”
หลังจากที่ขันทีผู้ประกาศพระราชโองการได้รับรางวัลและจากไป ทุกคนก็กลับมามีสติ และตรงเข้ามาล้อมรอบนางทีละคน เพื่อพูดคุยไต่ถามไม่หยุด
“พระชายาเอกแห่งองค์ชายรอง? นี่… นี่คือเรื่องจริงหรือ?”
“มู่เอ๋อร์ เจ้าอยากแต่งงานกับเจ้าหนุ่มเฉินนั่นจริงๆ หรือ? นั่นคือวัง สถานที่กินคนไม่คายกระดูก เจ้าอยากแต่งเข้าไปที่นั่นจริงๆ หรือ?”
“เจ้ารับปากกับฮ่องเต้เพราะต้องการจะช่วยครอบครัวของพวกเราใช่หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น มู่เอ๋อร์ เจ้าจงหนีไปเสีย เราไม่ต้องการให้เจ้าเสียสละอันใดเพื่อแลกกับความสุขในชีวิตของเจ้า!”
“ไม่ใช่แค่พระชายาขององค์ชายรองเท่านั้น ทว่ายังเป็นพระชายาเอกแห่งองค์ชายรองด้วย อย่างน้อยเท่าที่ข้าจำได้ ไม่เคยมีสตรีธรรมดาคนใดที่แต่งเข้าราชวงศ์ ดำรงตำแหน่งเป็นพระชายาเอกได้ แม้จะได้รับเกียรติให้อภิเษกเข้าราชวงศ์ ทว่าก็เป็นเพียงสาวใช้อุ่นเตียงเท่านั้น เจาหยางขอแสดงความยินดีกับมู่เอ๋อร์ด้วย”
ยามที่มองไปยังแววตาที่เป็นกังวลและประหลาดใจของทุกคน หลิงมู่เอ๋อร์เม้มริมฝีปากเล็กน้อย ทันทีที่พระราชโองการถูกประกาศออกมา ก็ถือว่าเรื่องราวได้รับการตัดสินแล้ว และใช่ นางเองก็พร้อมแล้วเช่นกัน
“ท่านพ่อท่านแม่ เรื่องราวต่างๆ มิได้เป็นอย่างที่ท่านคิด พี่ชาย ข้าไม่ได้เสียสละอันใดเพื่อให้พวกท่านถูกปล่อยตัวออกมา ข้ากับเซ่าเฉินรักกัน และข้าพิจารณาเรื่องที่ต้องตัดสินใจนี้มาเนิ่นนานแล้วเจ้าค่ะ”
สตรีในห้องหอที่ไม่เคยผ่านการแต่งงานกลับต้องออกมาแสดงความคิดของนางต่อหน้าทุกคน ย่อมยากที่จะหลีกเลี่ยงความเขินอายอยู่บ้าง
ดวงหน้างดงามของหลิงมู่เอ๋อร์แดงระเรื่อ ตราบใดที่นางคิดว่านางกำลังจะได้เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของซั่งกวนเซ่าเฉินในไม่ช้า นางทั้งตื่นเต้นและเขินอาย
ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ แม้ว่าจะรักเขาแต่ก็มักจะรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างขวางกั้นระหว่างพวกเราไว้ ตอนนี้นางตัดสินใจแล้ว เพราะนางรักชายผู้นี้ ดังนั้นนางควรรักทุกอย่างที่เป็นเขาด้วย เติบโตไปพร้อมกับเขา ชื่นชมยินดีไปพร้อมกับเขา ในหัวใจรู้สึกแตกต่างเล็กน้อย เป็นความหวานที่เพิ่มขึ้น
“ในเมื่อเป็นการตัดสินใจของมู่เอ๋อร์ เช่นนั้นพวกเราก็มาอวยพรนางด้วยกันเถิด” คาดไม่ถึงว่าคนแรกที่เข้ามาอวยพรนางคือจูฉี
เห็นเพียงความอ้างว้างที่พัดผ่านใบหน้าไปอย่างยากที่จะจับต้อง เขาคลายหมัดที่กำไว้ออกอย่างรวดเร็ว “พี่จูขออวยพรให้มู่เอ๋อร์และองค์ชายรองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตลอดไป เติบโตเบ่งบานเคียงข้างกัน จับมือกัน และแก่เฒ่าไปพร้อมๆ กัน”
“ขอบคุณเจ้าค่ะพี่จู”
ทันทีที่สิ้นเสียงของหลิงมู่เอ๋อร์ คนจำนวนมากก็พุ่งเข้ามาจากนอกประตู พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นขันทีและสาวใช้ในวัง
พวกเขาขนหีบขนาดใหญ่บ้างเล็กบ้าง ภายในหีบบรรจุทองคำ เงินและอัญมณีไว้มากมาย ภายในเวลาไม่นาน ทั้งลานเรือนของจวนตระกูลหลิงก็มีหีบเหล่านั้นถมกองจนเต็มพื้นที่
เป็นในยามที่ทุกคนกำลังประหลาดใจ ขันทีคนหนึ่งก็เดินถือราชโองการมาอย่างช้าๆ “ฮ่องเต้มีพระราชโองการมอบรางวัลพระราชทานแด่พระชายาเอกแห่งองค์ชายรองเป็นทองคำหนึ่งแสนตำลึง เงินหนึ่งแสนตำลึง เครื่องประดับหยกสิบชิ้น และ ผ้าไหมทองคำสิบผืน… จบราชโองการ”
หลิงมู่เอ๋อร์นึกไม่ถึงเลยว่าฮ่องเต้จะทรงพระราชทานสินเดิมเจ้าสาวให้กับนาง ช่างเป็นเกียรติอะไรเช่นนี้ เกรงว่าซั่งกวนเซ่าเฉินคงทุ่มเทแรงกายแรงใจกับเรื่องนี้ไปไม่น้อย
“แม่นางหลิง… ไม่สิ เวลานี้ต้องเรียกว่าพระชายาเอกแห่งองค์ชายรองแล้ว คนเหล่านี้คือช่างปักที่มีฝีมือโดดเด่นที่สุดในวัง พวกเขาจะออกแบบมงกุฎหงส์ให้แก่ท่าน ฮ่องเต้ทรงตรัสว่าให้ท่านรออย่างเงียบๆ จนวันอภิเษกมาถึงก็พอ ส่วนเรื่องอื่นๆ ทางราชวงศ์ล้วนจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเอ่ยด้วยใบหน้าอิจฉา “พระชายาแห่งองค์ชายรองเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ นับว่าท่านเป็นคนที่โชคดีมากพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบพระคุณกงกงเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์รีบหยิบเงินแผ่นหนึ่งส่งถึงอ้อมอกของกงกง ยิ่งมองสินเดิมเจ้าสาวที่อยู่เต็มลาน ราวกับว่านางกำลังจะแต่งงานในวันพรุ่งนี้ก็ไม่ปาน ทำให้นางรู้สึกหักใจไม่ลงเท่าไหร่จริงๆ
“คาดไม่ถึงว่าเสด็จลุงไม่ทรงยื่นมือไม่เท่าไหร่ ยามที่ยื่นมือมาก็พาให้คนตื่นตกใจขนาดนี้เชียว ดูเหมือนว่าเราคงต้องหวังพึ่งพระชายาแห่งองค์ชายรองเพื่อดูแลเราในอนาคตแล้ว” เจาหยางจับมือหลิงจือเซวียน และจงใจหยอกเย้านาง
หลิงมู่เอ๋อร์ถูกหยอกจนขบขันแล้ว และยามที่สายตาของนางจับจ้องไปทางหลิงจือเซวียน นางกลับพบว่าจูฉีซึ่งยืนอยู่ข้างเขาหายไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ นางแอบถอนหายใจในใจ ทว่าไม่นานนางก็กลับมาเป็นปกติ “พี่ชาย เซ่าเฉินบอกว่าเขาจะโยกท่านและพี่จูออกจากฝ่ายขององค์ชายเจ็ด หลังจากที่พวกข้าแต่งงานกัน ดังนั้นในช่วงนี้ท่านและพี่จูอาจจะต้องลำบากแล้ว”
นับจากวันที่พวกเขาวางแผนที่จะออกจากเมืองหลวงก็เท่ากับทรยศต่อองค์ชายเจ็ดแล้ว หากพวกเขายังคงทำงานภายใต้บัญชาของเขาต่อไปก็จะยิ่งนำมาซึ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น
ทว่าหากซั่งกวนเซ่าเฉินทูลขอรับสั่งจากฮ่องเต้ให้ย้ายสองคนนี้ออกจากสังกัดขององค์ชายเจ็ดกลับมาอยู่ภายใต้การบัญชาของตัวเองได้ ก็นับเป็นการได้คืบจะเอาศอกแล้ว ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจรอเวลาให้ผ่านไปช่วงหนึ่งและจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด
เพียงแต่ว่าไม่มีใครคาดคิดว่าอันตรายนี้จะมาเร็วกว่าที่พวกเขาคิดไว้มาก
“ได้ ทุกอย่างล้วนฟังมู่เอ๋อร์ ดวงดาวนำโชคของพวกเราตามที่คาดเลยทีเดียว” ตั้งแต่ที่หลิงจือเซวียนได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงขององค์ชายเจ็ดเขาก็ไม่เสียใจกับอดีตองค์ชายเจ็ดที่เคยใจดีกับเขาอีกแล้ว
“ใช่แล้ว ข้าบอกพวกเจ้ามานานแล้วว่ามู่เอ๋อร์คือดวงดาวนำโชคของพวกเรา นางเป็นคนที่มีความสามารถเก่งกาจ ข้าขอถามหน่อยว่ามีผู้ใดในหมู่บ้านตระกูลหลิงจะคิดว่าแม่นางน้อยที่พวกเขาเคยดูถูกในอดีตจะกลายมาเป็นพระชายาเอกขององค์ชายรองหรือ?” ท่านยายหัวเราะด้วยรู้สึกภูมิใจเหลือเกิน
ทุกคนมาเพื่อแสดงความยินดีกับหลิงมู่เอ๋อร์ มีเพียงหยางซื่อเท่านั้นที่ยืนอยู่คนเดียวที่มุมห้อง
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นหยางซื่อยืนคนเดียว หลังจากที่ทุกคนจากไปแล้ว นางก็เดินตามหลังหยางซื่อไปอย่างเงียบๆ ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนหลังราวกับเด็กซนๆ “ท่านแม่อุ้มข้าที”
“ไอ๊หยา เจ้าเด็กคนนี้ ทำให้ข้าตกอกตกใจกลัวหมด” หยางซื่อตกใจกับการกระทำที่มาอย่างกะทันหันของนาง ทว่าด้วยสัญชาตญาณนางจึงใช้มือทั้งสองข้างจับนางไว้
“เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว ยังทำตัวเหมือนเด็กมาอ้อนขอขี่หลังแม่ เจ้ากำลังจะแต่งงานในเร็วๆ นี้แล้ว ไม่อายหรือ” แม้ปากของนางจะบอกว่านางไม่ยินดี ทว่ากลับอุ้มนางขึ้นมาจริงๆ
“ไม่ว่าจะกี่ขวบ มู่เอ๋อร์ก็คือลูกของท่านแม่เสมอเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์เพียงซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของหยางซื่อ “ท่านแม่ บอกข้าทีว่าท่านมิได้อุ้มข้ามานานเท่าไรแล้ว?”
มันเป็นเพียงคำถามที่ถามส่งๆ ทว่าหยางซื่อกลับจมลึกเข้าไปในห้วงความคิด “แม่ขอโทษที่ปล่อยให้ลูกแบกรับภาระมากมายตั้งแต่อายุยังน้อย มู่เอ๋อร์ ลูกเคยคิดโทษแม่บ้างหรือไม่?”
“ท่านแม่ ท่านเอ่ยอันใดของท่านกัน?” หลิงมู่เอ๋อร์รีบปลอบ “ท่านแม่ไม่ต้องเอ่ยขอโทษมู่เอ๋อร์ มู่เอ๋อร์จะโทษท่านแม่ได้อย่างไร ทว่าท่านแม่ไม่ต้องการให้ข้าแต่งงานกับเซ่าเฉินจริงๆ หรือเจ้าคะ?”
เมื่อเห็นท่าทีกังวลใจของลูกสาว หยางซื่อก็รีบส่ายหัว “มู่เอ๋อร์กำลังมีความสุข แม่จะไปขัดขวางได้อย่างไร แม่มองออกว่าลูกกับเจ้าหนุ่มเฉินรักกัน นับเป็นเรื่องดีที่ลูกได้แต่งงานกับคนที่ลูกชอบ แม่มีความสุขมากเหลือเกิน”
หยางซื่อจับมือของนางไว้แน่น “แม่แค่รู้สึกว่าทั้งชีวิตนี้แม่มีเรื่องให้ต้องขอโทษเจ้ามากมายเหลือเกิน”
ยามที่มองไปยังดวงหน้าบอบบางของมู่เอ๋อร์ในตอนนี้ จู่ๆ หยางซื่อก็นึกถึงภาพเงาร่างที่ผอมดำของนางในหมู่บ้านตระกูลหลิงขึ้นมา “ลูกของคนอื่นล้วนถูกพ่อแม่เลี้ยงดูให้เติบใหญ่ ทว่าเจ้ายังเด็กก็ต้องแบกรับภาระเลี้ยงดูทั้งครอบครัว ในเวลานั้นมัน เป็นแม่ที่ไร้ความสามารถ ไม่รู้จักปกป้องเจ้า เจ้าจึงถูกคนอื่นข่มเหงรังแก ใช่แล้ว แม่ไม่ได้อุ้มเจ้ามานานแค่ไหนแล้ว? หากนับดูจริงๆ ตั้งแต่ตอนที่เจ้าเดินได้ แม่ก็ไม่เคยอุ้มเจ้าขึ้นหลังหรือกอดเจ้าอีกเลย…”
นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือแววสะอื้น
ในหมู่บ้านที่ยากแค้นแสนเข็ญอย่างหมู่บ้านตระกูลหลิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัวที่ยากจนเช่นครอบครัวของนาง ขอเพียงแค่เด็กน้อยสามารถเดินบนพื้นและหาอาหารเองได้แล้ว ย่อมไม่มีพ่อแม่คนใดโอบอุ้มพวกเขาไว้ในอ้อมแขนอีก เพราะพวกเขาต้องปลูกอาหาร ต้องพยายามมีชีวิตอยู่ และด้วยเหตุนี้เช่นกันที่ทำให้พวกเขารู้สึกขอโทษลูกๆ ของพวกเขา
ขอเพียงแค่หยางซื่อนึกถึงนิสัยอ่อนแอของตนที่ทำให้มู่เอ๋อร์ต้องลำบากยากแค้นในครานั้น ในใจของนางก็ยิ่งโทษตัวเองมากขึ้น “ยังดีที่มู่เอ๋อร์ของข้าเติบโตมาอย่างปลอดภัย และโชคดีที่มู่เอ๋อร์มีท่านเทพที่คอยนำทาง เจ้าคือดาวนำโชคกลับชาติมาเกิดจริงๆ ไม่อย่างนั้น แม่คงนึกไม่ออกจริงๆ ว่าหากเรายังอยู่ในหมู่บ้านบนภูเขาที่ยากจนนั้น เราจะต้องมีชีวิตเช่นไร”
หลิงมู่เอ๋อร์เช็ดน้ำตาบนใบหน้าของหยางซื่อ ก่อนนั่งข้างนางอย่างเชื่อฟัง จิตใจของนางได้นึกย้อนกลับไปเมื่อที่หลายปีก่อนตามคำพูดของนาง
นางยังจำได้ดีว่ายามที่ลืมตาขึ้นเห็นสภาพแวดล้อมเช่นบ้านไม่มีที่กำบังฝน ร่างกายที่หิวโหยมาสามวันสามคืน ซูบผอมเหมือนท่อนไม้ ชีวิตที่ยากจนข้นแค้น ไม่มีแม้แต่รองเท้าให้เดินท่ามกลางหิมะและน้ำแข็ง ถูกท่านย่ากลั่นแกล้งรังแกทุกวัน
หากเป็นหลิงมู่เอ๋อร์ตัวจริงจะโทษแม่ของนางหรือไม่?
อาจจะโทษกระมัง อย่างไรเสียยามนั้นท่านแม่ก็อ่อนแอและไร้ความสามารถ นางต้องดูแลพี่ชายที่ขาพิการตั้งแต่อายุยังน้อย
“ตายไปแล้ว ท่านแม่ทราบหรือไม่? หลิงมู่เอ๋อร์ตายไปแล้วในปีนั้น”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หยางซื่อพลันสั่นสะท้าน ยามที่ได้เห็นดวงตาของหลิงมู่เอ๋อร์ นางพลันรู้สึกว่าคนตรงหน้าเป็นคนแปลกหน้า
ใช่ ไม่ใช่ว่านางไม่สงสัยเลยว่าคนตรงหน้าของนางคือลูกสาวของนางจริงๆ หรือไม่ อย่างไรเสียคนคนหนึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ได้อย่างไร?
เห็นได้ชัดว่านางไม่เคยเรียนหนังสือ แล้วนางจะมีความรู้มากมายขนาดนี้ได้อย่างไร?
อาหารที่ปรุงนั้นแย่กว่าของใครๆ อย่างเห็นได้ชัด เหตุใดเพียงผ่านไปคืนเดียวก็สามารถเปิดภัตตาคารได้ อีกทั้งยังมีแนวคิดที่แปลกใหม่เป็นอย่างยิ่งด้วย?
เห็นได้ชัดว่าไม่มีหมอในหมู่บ้านตระกูลหลิง แล้วเหตุใดนางถึงได้พบกับท่านเทพในความฝันได้ อีกทั้งฝันทีหนึ่งก็ฝันติดต่อกันนานถึงเพียงนี้?
“มู่เอ๋อร์ ในปีนั้น เจ้าได้พบกับท่านเซียนเทพในความฝันจริงๆ หรือ?”