เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 11 ตอนที่ 312 ข่าวดี
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 11 ตอนที่ 312 ข่าวดี
เล่มที่ 11 ตอนที่ 312 ข่าวดี
ยามที่ต้องเผชิญกับคำถามอันเกรี้ยวโกรธของหลิงมู่เอ๋อร์ ซูเช่อได้แต่ค่อยๆ แก้ไขอย่างช้าๆ “เป็นเสียนหวางเอง”
หลังจากสิ้นสุดคำที่เอ่ย เขาก็เงยหน้าขึ้นด้วยท่าทีหยิ่งผยอง ราวกับว่าเขากำลังรอให้หลิงมู่เอ๋อร์ค้อมกายแสดงความเคารพก็ไม่ปาน
ซูเช่อไม่เคยแสดงออกต่อหน้านางเช่นนี้ ไม่ต้องเอ่ยถึงยามที่เป็นเสียนหวาง แม้แต่ตอนที่เขายังเป็นจวิ้นอ๋องน้อย เขาก็ไม่เคยใช้ฐานะของเขาฝืนบังคับเผด็จการกับนางเลยสักครา
การเคลื่อนไหวในครั้งนี้เป็นการบอกให้นางอย่าได้เข้าไปยุ่งวุ่นวาย
ยามที่เห็นว่าหลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกละอายใจเป็นอย่างยิ่ง หนานกงอี้จือก็เดินเข้ามาตรงหน้า “ลูกพี่ลูกน้องของข้าและข้าได้คิดหาวิธีแก้ไขสัญญาการอภิเษกเอาไว้แล้ว อันที่จริง เสียนหวาง ท่านไม่จำเป็นต้องเสียสละเช่นนั้น “
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สติปัญญาของหลิงมู่เอ๋อร์ก็ดูเหมือนจะฟื้นคืนกลับมา นางรีบเอ่ยกับซูเช่อว่า “ท่านรีบเข้าวังทูลฮ่องเต้ว่าท่านไม่ต้องการแต่งงานกับมั่วจวินเหยาแล้ว อย่างไรเสียท่านก็มิได้เต็มใจแต่งงาน ฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญกับท่านเสมอ พระองค์ต้องทรงตกลงอย่างแน่นอน”
ซูเช่อเพียงแค่ยิ้ม เป็นยิ้มที่อ่อนโยน อบอุ่นราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ราวกับว่าเรื่องนี้มิได้สลักสำคัญอันใดสำหรับเขา
“เจ้าคิดว่าวังหลวงเป็นโรงละครหรือ? อยากซื้อก็ซื้อ ไม่ซื้อแล้วก็กลับคำได้” ซูเช่อคิดว่ามันช่างน่าหัวเราะเหลือเกิน เขาก้มศีรษะลงดื่มชา ทว่ายามที่ก้มศีรษะลงมานั้นดวงตาที่หลุบมองลงของเขากลับเปล่งแสงเย็นชาในมุมที่พวกเขามิอาจมองเห็น
เพียงเกรงว่าแม้เขาจะต้องการกลับคำจริงๆ ฮ่องเต้ก็คงจะไม่มีทางเห็นด้วย
ฮ่องเต้มิได้ประสงค์ให้ซั่งกวนเซ่าเฉินอภิเษกสมรสกับองค์หญิงอยู่แล้ว พระองค์ทรงรอคอยโอกาสอยู่เสมอ รอให้ใครสักคนพาเขาลงจากปัญหานี้ พอดีที่เขาเป็นคนริเริ่มเคลื่อนไหวขอพิธีอภิเษกก่อน ฮ่องเต้ย่อมทรงปรารถนาที่จะไหลไปตามแผนการของเขาเพื่อลงจากปัญหานี้เป็นอย่างยิ่ง
แน่นอนว่าในเมื่อเขาได้ทำลงไปแล้ว เขาก็ไม่เคยคิดที่จะกลับคำเลยสักนิด
หากเขากลับคำ มันจะไม่นำปัญหามาสู่หลิงมู่เอ๋อร์อย่างไม่รู้จบหรือ?
“ทว่าท่านมิเคยมีใจให้มั่วจวินเหยา และนางก็ไม่คู่ควรกับท่านด้วย!” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ่งรู้สึกละอายใจมากกว่าเดิม
“เจ้าเคยบอกข้าไม่ใช่หรือว่าข้าควรวางแผนสำหรับเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ไปจนสิ้นชีวิต? พอดีกับที่จวนเสียนหวางของข้ากว้างใหญ่ว่างเปล่าเหลือเกิน ถึงเวลาแล้วที่จะต้องรับสตรีเข้ามาเป็นสมาชิกในครอบครัวให้มากขึ้น ทว่าก็เป็นเพียงแค่การใช้ชีวิตร่วมกับสตรีคนหนึ่งก็เท่านั้น ไม่ว่าแต่งกับคนใดก็เหมือนกันมิใช่หรือ? ในภายภาคหน้าข้าย่อมต้องมีสตรีมากมายอยู่แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นแค่หาคนที่ชอบมาสักคนก็พอ” ซูเช่ออธิบายด้วยท่าทีเฉยเมย เพียงแต่เขาไม่รู้ว่ายามที่เอ่ยเช่นนี้ หัวใจของเขากลับหลั่งโลหิตไหลริน
วินาทีนั้นหลิงมู่เอ๋อร์พลันนึกถึงคำพูดติดตลกของนางในวันนั้นทันที “ดูเหมือนว่าปัญหาสำคัญในชีวิตของเจ้าจะยังไม่ได้รับการแก้ไขได้อย่างสมบูรณ์ หากเสียนหวางทรงมีเวลาว่างถึงเพียงนั้นก็ควรจะหาพระชายาเสียนหวางจึงจะถูก”
นางหลับตาแน่นก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้งด้วยแววตาที่เสียใจในภายหลังอย่างสุดซึ้ง
“ซูเช่อ ข้า…”
“ในเมื่อมิอาจแต่งงานกับคนที่รักได้แล้ว แต่งกับสตรีคนใดก็มิใช่ว่าเหมือนกันหมดหรือ?” จู่ๆ ซูเช่อก็ลุกขึ้นยืนและโน้มตัวลงมาข้างหน้านาง เขาวางมือบนโต๊ะและจ้องตานางอย่างละเอียด “ข้าเคยเอ่ยว่าข้าสามารถช่วยเจ้าได้”
เขาไม่รอให้หลิงมู่เอ๋อร์ได้ตอบกลับ ซูเช่อก็ส่งกระดาษสองแผ่นไปตรงหน้า หลิงมู่เอ๋อร์มองตัวอักษรมงคลในกระดาษบนฝ่ามือของตน มันคือเทียบเชิญงานแต่งงานของเขา
“ในวันที่ฤกษ์ดีของปลายเดือนหน้า ข้าหวังว่าเจ้าสองคนจะเยี่ยมหน้ามางานมงคลของข้า” หลังจากที่ซู่เจ๋อเอ่ยจบ เขาก็กลับไปนั่งตัวตรง ถือพัดด้ามจิ้วในมือ โบกพัดลมสบายๆ ไปพลางมองไปที่หน้าประตู ก่อนเอ่ยสั่งกับจื่อถงว่า “ใครก็ได้ ส่งแขกกลับไปที”
“ซูเช่อ…” หลิงมู่เอ๋อร์ต้องการจะพูดอย่างอื่นอีก ทว่านางกลับถูกจื่อถงพาตัวมาที่หน้าประตูแล้ว
“แม่นางหลิง ได้โปรดกลับไปเถิดขอรับ หากองค์หญิงแห่งซีอวี้รู้ว่าท่านมาพบคุณชาย มันจะไม่ดีต่องานของคุณชายนัก ท้ายที่สุด นี่คือการแต่งงานที่แสดงถึงความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างทั้งสองแคว้น มิอาจให้เกิดผลกระทบใดๆ ได้ขอรับ”
ถูกต้อง หากมั่วจวินเหยารู้ว่าสามีในอนาคตของนางกำลังใกล้ชิดกับผู้หญิงคนอื่น อาจจะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้น
ฮ่องเต้ทรงประทานพระราชโอกางอภิเษกสมรสกับองค์หญิงแห่งซีอวี้ แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าซูเช่อทำอันใดไปบ้างระหว่างขั้นตอนนี้ ทว่าหากฮ่องเต้รู้ว่าซูเช่อได้เข้าไปพัวพันกับสตรีอื่นหลังจากได้รับพระราชทานงานอภิเษก พระองค์อาจจะทรงพิโรธ และจวนเสียนหวางจะตกอยู่ในอันตราย
“มู่เอ๋อร์ เรากลับกันก่อนเถิด เรื่องนี้ยังต้องคุยกันอีกยาว” หนานกงอี้จือกระซิบที่ข้างหูของนาง หลิงมู่เอ๋อร์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากมองซูเช่อเป็นครั้งสุดท้าย นางถอนหายใจและจำต้องออกจากจวนเสียนหวาง
ยามที่เห็นสตรีในดวงใจกำลังจะเดินพ้นไปจากสายตา ราวกับว่าการจากไปในครั้งนี้ของนางหมายถึงการแยกจากกับเขาไปตลอดกาล พัดในมือของซูเช่อถูกกำแน่น พัดหยกคุณภาพเยี่ยมถูกเขาบดขยี้กลางฝ่ามือ
“คุณชาย…” หลังจากที่จื่อถงกลับมา เขาต้องการจะเอ่ยเกลี้ยกล่อมอะไรสักคำ
ซูเช่อโกรธ “ไสหัวไปให้พ้น!”
ในจวนขององค์ชายรอง หลิงมู่เอ๋อร์รอจนมืด ซั่งกวนเซ่าเฉินถึงได้กลับมาจากวังหลวงด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
“มู่เอ๋อร์ สองข่าวดี เจ้าอยากฟังเรื่องใดก่อน?” ซั่งกวนเซ่าเฉินจับมือของหลิงมู่เอ๋อร์อย่างมีความสุข ริมฝีปากของเขาอิงแอบอยู่ข้างหูของนาง แสดงให้เห็นว่าวันนี้เขามีความสุขมากเพียงใด
“ยามนี้มู่เอ๋อร์ของท่านกำลังโทษตัวเองที่เสียนหวางแบ่งรับความกังวลของนางไป ท่านพี่ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ในอดีตท่านไม่เคยได้พบกับคนรักที่จริงใจต่อท่าน บุรุษซื่อตรงที่มองหัวใจของผู้หญิงไม่ออกเช่นท่าน ไม่น่าแปลกใจเลยจริงๆ” หนานกงอี้จือดุเขา ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นยืน “เอาละ ในเมื่อท่านกลับมาแล้ว ข้าก็ควรจะกลับเสียที ช่วงนี้ข้าเสียแรงวิ่งเต้นเรื่องท่านกับองค์หญิงไม่น้อย แม้ว่าผลที่ได้จะไร้ประโยชน์ในยามนี้ ยังไม่รู้ว่ายามที่ข้ากลับไปถึงจวนจะถูกท่านแม่อบรมหนักเพียงใด ฉะนั้นแล้วข้ารีบกลับไปรับโทษดีกว่า”
ยามที่หนานกงอี้จือเดินผ่าน ซั่งกวนเซ่าเฉินก็กล่าวคำขอบคุณ ในคืนที่เขาและอามู่เต๋อหารือเกี่ยวกับการประลองเดิมพัน เขาพาหนานกงอี้จือลอบเข้าไปซีอวี้เพื่อตรวจสอบทุกอย่างเกี่ยวกับมั่วจวินเหยา พยายามหาจุดอ่อนของนางเพื่อขัดขวางสัญญาการแต่งงาน และท้ายที่สุด คาดไม่ถึงว่าเขาจะพบเข้าจริงๆ ทว่าโชคไม่ดีที่ซูเช่อนำหน้าเขาอยู่หนึ่งก้าว เขากำหนดวันแต่งงานกับมั่วจวินเหยาไปแล้ว อีกทั้งเรื่องนี้ยังถูกขัดขวางด้วยเรื่องความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองแคว้น และเสด็จพ่อของเขาก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีคนยอมรับมั่วจวินเหยาไป หากเป็นเช่นนั้นเรื่องนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้นแล้ว
เมื่อเห็นสีหน้าละอายใจรู้สึกผิดของหลิงมู่เอ๋อร์ ใบหน้าที่สงบนิ่งในยามนี้ของนางไม่น่ามองยิ่งกว่าการร้องไห้ ซั่งกวนเซ่าเฉินนั่งยองข้างๆ นาง ก่อนจะกอบกุมมือของนางด้วยความระมัดระวัง “มู่เอ๋อร์ ครานี้ข้าติดค้างซูเช่อแล้ว ให้ข้าเป็นคนแบกรับไว้เองเถิด เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะหาวิธีที่จะชดเชยให้เขา”
หลิงมู่เอ๋อร์ซึ่งคิดเรื่องนี้มาตลอดทั้งบ่าย ยามที่เห็นซั่งกวนเซ่าเฉินกลับมานางก็คิดตก นางไม่ควรหดหู่และไม่ควรหาทางทวงความยุติธรรมให้ซูเช่อ ไม่ควรยกเลิกการแต่งงาน จุดประสงค์ของซูเช่อคือหวังให้นางมีความสุข หากนางเข้ามายุ่มย่ามอีก นั่นจะไม่เป็นการทำให้เขาเสียสิ่งที่จ่ายไปโดยเปล่าประโยชน์หรือ?
“เมื่อครู่นี้ท่านเอ่ยถึงข่าวดีอันใดหรือ?” นางเงยหน้าขึ้นถาม
“เสด็จพ่อทรงให้สัญญาเรื่องการแต่งงานของข้าแล้ว มู่เอ๋อร์ ในภายภาคหน้าเจ้าจะเป็นพระชายาเอกของข้า”
“จริงหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
นับตั้งแต่นางได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ในครั้งแรก ฮ่องเต้ผู้สูงส่งแห่งแคว้นนั้นไม่อนุญาตให้นางติดต่อกับพระราชโอรสของพระองค์ ในช่วงเวลานั้น เห็นได้ชัดว่าพระองค์ได้ขัดขวางไม่ให้พวกเขาคบหาดูใจกัน พระองค์ทรงประสงค์จะส่งนางไปยังซีอวี้ แล้วเพราะเหตุใดจู่ๆ ถึงได้ตกลงเล่า?
เกรงว่าซั่งกวนเซ่าเฉินเองก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อยเช่นกัน
“ท่านทำได้อย่างไร?”
สีหน้าของ ซั่งกวนเซ่าเฉินแปรเปลี่ยนกลายเป็นคนจริงจังขึ้นเล็กน้อย “ข้าสัญญากับเสด็จพ่อว่าจะสืบทอดราชวงศ์เทียน ปกครองราชสำนักให้ดี ทำให้ผู้คนใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและทำงานอย่างมีความสุข และจะร่วมต่อสู้กับคนไม่กี่คนเพื่อชิงตำแหน่งนั้น”
ในตอนท้าย ซั่งกวนเซ่าเฉินกัดฟันและจ้องตรงไปยังดวงตาของหลิงมู่เอ๋อร์ เขากลัวว่านางจะโมโหจึงรีบอธิบายว่า “มู่เอ๋อร์ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบวังหลวงเพราะเจ้ามองว่ามันเป็นกรงขังที่กักขังอิสรภาพของเจ้าไว้ ทว่าไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ว่าเมื่อใดข้าก็ไม่มีทางจำกัดอิสรภาพของเจ้า หากเจ้ายินดีที่จะเปิดโรงหมอในวัง ข้าก็ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้น อีกทั้งข้ายังให้สัญญากับเจ้าว่าจะมีเพียงเจ้าผู้เดียวเท่านั้นในวังหลัง ดังนั้น เจ้าช่วยอย่าได้ปฏิเสธเกียรติยศนี้จะได้หรือไม่?”
หลิงมู่เอ๋อร์ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม นางไม่รู้ว่าจะอธิบายอารมณ์ในยามนั้นได้อย่างไร
นางยอมรับซั่งกวนเซ่าเฉินเพราะนางรักเขา และที่นางต่อต้านวังหลวงเพราะนั่นเป็นสถานที่ที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง นางแค่ไม่ต้องการเข้าร่วมการต่อสู้เหล่านั้น
“เช่นนั้นข่าวดีที่สองที่ท่านพูดคืออันใด?” นางพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของเขา
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองออกถึงท่าทางที่ไม่อยากเอ่ยของนาง “เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้าเมื่อครู่เลย”
ยามที่หลิงมู่เอ๋อร์ถูกบังคับให้สบประสานสายตามองเขา สิ่งที่นางเห็นคือดวงตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของเขา หลังจากที่นางแสร้งทำเป็นจริงจังมานาน จู่ๆ นางก็แย้มยิ้มทันที “ท่านกับข้าเป็นคนคนเดียวกันแล้ว ข้ายังมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธอีกหรือ?”
“หมายความว่าเจ้าตกลงใช่หรือไม่?” ซั่งกวนเซ่าเฉินตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง เขาแทบไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง ชายหนุ่มอุ้มนางเข้าเอว ก่อนหมุนไปรอบๆ “แม่นางน้อย ขอบคุณ”
“เช่นนั้นข้าต้องการให้ท่านตกลงตามคำขอของข้าหนึ่งข้อ” หลิงมู่เอ๋อร์ยกนิ้วขึ้น
“ได้”
“ข้ายังไม่ทันได้พูดเลย ท่านได้อะไรกัน?” หลิงมู่เอ๋อร์พ่นเสียงหัวเราะเย็นชา
“ไม่ต้องเอ่ยหนึ่งข้า ร้อยข้อข้าก็ให้ได้ เรื่องที่เจ้าเอ่ยย่อมดีที่สุดทั้งนั้น” ซั่งกวนเซ่าเฉินยื่นแขนยาวออกไปคว้านางเอาไว้ในอ้อมแขน ความพึงพอใจที่เขาไม่เคยได้รับมาก่อนทำให้เขารู้สึกอารมณ์ดียิ่งนัก
“ข้าต้องการให้ท่านสัญญากับข้าว่าไม่ว่าฐานะของท่านจะเป็นเช่นไร หรือสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ท่านจะปกป้องครอบครัวของข้าไปตลอดชีวิต”
นางไม่ได้มาจากครอบครัวที่ร่ำรวย แม้ว่ายามนี้นางจะทำให้หลายๆ คนได้แต่แหงนคอมองอย่างมิอาจเอื้อม เพียงพอให้เรียกได้ว่าเป็นสตรีสูงศักดิ์จากเมืองหลวง ทว่านางอย่างไรเสียนางก็เกิดจากครอบครัวชาวนา หลังจากที่นางแต่งงานกับซั่งกวนเซ่าเฉิน ย่อมไม่มีทางหลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นๆ พูดถึงตนของนางได้ ในเวลานั้น คนเดียวที่ได้รับความลำบากใจย่อมเป็นสมาชิกในครอบครัวของนาง
ไม่ต้องพูดถึงการเป็นองค์ชาย แม้แต่ฮ่องเต้เองบางครั้งก็มีหลายสิ่งที่ไม่ได้ดั่งใจเช่นกัน
“ช่างบังเอิญยิ่งนัก ข่าวดีชิ้นที่สองที่ข้าอยากจะบอกเจ้าก็คือหลิงจือเซวียนและจูฉีได้กลับจวนสกุลหลิงอย่างปลอดภัยแล้ว”
ต้องยอมรับว่าเป็นข่าวดีจริงๆ นับเป็นเรื่องน่ายินดียิ่งกว่าที่นางจะได้ยืนเคียงข้างองค์ชายรองอย่างถูกกฎหมายเสียอีก
“เป็นไปไม่ได้ องค์ชายเจ็ดจะยอมปล่อยเขาไปได้อย่างไร?”
เขาประสบกับการเสียเปรียบครั้งใหญ่ เขาจะยอมปล่อยเบี้ยต่อรองของเขาได้อย่างไรหากเขาไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ เขายังพยายามจะขู่ให้นางแลกหลิงจือเซวียนกับสมบัติของนางเลยด้วยซ้ำ
“ในเมื่อข้าไม่สามารถทำให้เขาปล่อยตัวได้ ทว่าด้วยดำรัสจากเสด็จพ่อ เขามิอาจไม่ฟังได้” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวอย่างหยิ่งยโส
“ไม่น่าแปลกใจ” หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้า ทว่าทันทีที่นึกถึงฉากที่องค์ชายเจ็ดจะระเบิดโทสะแล้ว นางก็เป็นกังวลเล็กน้อย “พี่ชายและพี่ชายจูต่างก็เป็นคนขององค์ชายเจ็ด ครั้งนี้พิธีแต่งงานของเราได้ตกลงอย่างเป็นทางการแล้ว ข้าเกรงว่าพวกเขาสองคนจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากด้วยกันในอนาคต”
“หากมันเหมือนกับเมื่อก่อน พวกเขาคงกำลังจะตกอยู่ในอันตราย ทว่ายามนี้มันต่างออกไป พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระชายาเอกแห่งองค์ชายรอง แม้ว่าเขาอยากจะทำอันใดสักอย่าง แต่เจ้าคิดว่าเขาจะกล้าหรือไม่เล่า?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ตลอดเวลา ตราบใดที่เขาคิดว่าแม่นางน้อยคนนี้กำลังจะมาเป็นพระชายาเอกของเขาในไม่ช้า หัวใจของเขาก็เต้นแรงอย่างอธิบายไม่ถูก
ความงดงามของค่ำคืนนั้นยังสะท้อนอยู่ในใจของเขาไม่เสื่อมคลาย พาให้เขาอยากที่จะเพลิดเพลินไปกับมันอีกครั้ง
“มู่เอ๋อร์ เจ้าอยากเดาหรือไม่ว่าวันไหนเป็นฤกษ์ดีที่เสด็จพ่อเลือกให้เจ้ากับข้า?” เขาถามราวกับร่ายมนต์สะกด ริมฝีปากสีแดงของเขากำลังเข้าใกล้มุมของนางอย่างตั้งใจ
“เมื่อใดหรือ?”
“สิ้นเดือนหน้า มีเพียงวันนั้นวันเดียวเท่านั้น” หลังจากเอ่ยจบ ซั่งกวนเซ่าเฉินก็คว้ากอดเข้าที่เอวของนาง ทว่าเขากลับไม่เห็นสีหน้าตกใจของแม่นางน้อยในอ้อมแขนของเขา
นั่นมิใช่วันเดียวกับที่ซูเช่ออภิเษกสมรสกับองค์หญิงแห่งซีอวี้หรือ?