เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 11 ตอนที่ 311 ความกล้าหาญ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 11 ตอนที่ 311 ความกล้าหาญ
เล่มที่ 11 ตอนที่ 311 ความกล้าหาญ
“ท่านแม่ ท่านเข้าใจเซ่าเฉินผิดแล้วจริงๆ เขาไม่มีทางอภิเษกกับองค์หญิงแน่เจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์อธิบายแทนซั่งกวนเซ่าเฉิน
“องค์ชายเจ็ดตรัสไว้ยามที่คุมขังพวกเราว่าพระสวามีที่องค์หญิงเลือกคือองค์ชายรอง นี่เป็นพระราชโองการจากฮ่องเต้ มู่เอ๋อร์ เจ้าเรียนรู้ที่จะโกหกแม่ตั้งแต่เมื่อใด?” หยางซื่อรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่งกับเรื่องนี้
“ไม่ผิดเจ้าค่ะ นี่เป็นพระราชโองการขององค์ฮ่องเต้จริง และพิธีอภิเษกของพวกเขาจะมีขึ้นในปลายเดือนหน้า ทว่าสิ่งที่มู่เอ๋อร์ต้องการจะบอกก็คือ เซ่าเฉินจะไม่แต่งงานกับผู้อื่นแน่นอนเจ้าค่ะ”
ทันทีที่หลิงมู่เอ๋อร์พูดจบ นางรู้สึกถึงลมกระโชกแรง ซั่งกวนเซ่าเฉินแตะเท้าเหาะเหินเข้ามาปรากฏตัวที่กลางลานเรือนอย่างสง่างาม “ถูกต้อง ข้า ซั่งกวนเซ่าเฉินจะไม่แต่งงานกับสตรีอื่นในชีวิตนี้ นอกจากมู่เอ๋อร์ ไม่ต้องพูดถึงพระชายาเอก ไม่เว้นแม้พระชายารองหรืออนุอุ่นเตียงก็ตาม”
เขาแข็งแกร่งและเผด็จการเป็นอย่างยิ่ง
หยางซื่อตกตะลึงกับซั่งกวนเซ่าเฉินที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน ประการแรก นางคิดไม่ถึงว่าเขาจะบุกเข้ามาในสนาม ประการที่สอง นางตกใจกับคำพูดของเขา
ไม่ต้องพูดถึงสถานะองค์ชาย แม้แต่คนธรรมดาเองก็ตาม ขอเพียงแค่พวกเขามีเงิน ขอเพียงแค่มีกำลังที่จะเลี้ยงดู หลังบ้านของผู้ใดบ้างที่ไม่มีภรรยาสามอนุสี่ ทว่าตัวเขาในฐานะองค์ชายรองกลับกล้าที่จะรับประกันหรือ? นี่ไม่ถือว่าเป็นการหลอกลวงพวกเขาหรือ?
“พ่อหนุ่มเฉิน ตอนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านตระกูลหลิง ป้าปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนลูกของป้าเอง ต่อมาเมื่อพบว่าเจ้ากับมู่เอ๋อร์รักกัน ไม่ต้องบอกว่าข้ามีความสุขเพียงใด ทว่าเจ้ากลับเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับอยู่หลายครา อีกทั้งเจ้าก็ยังสูญเสียความทรงจำ มันสร้างความเสียหายเป็นอย่างยิ่งต่อมู่เอ๋อร์ของเรา ป้าไม่สามารถนั่งดูลูกสาวของป้าทนทุกข์ได้จริงๆ”
หยางซื่อไม่เคยเป็นคนที่ทำให้คนอื่นลำบากใจ ทว่านางรู้สึกว่าวันนี้นางควรเอ่ยกับซั่งกวนเซ่าเฉินให้เรื่องราวมันชัดเจน
“เรารู้ว่าสถานะของครอบครัวเราแตกต่างจากเจ้ามาก และเราไม่ได้อยู่ในตระกูลที่คู่ควรเหมาะสม ดังนั้นเราจึงไม่วอนขอให้ได้เดินเคียงข้างเจ้า มู่เอ๋อร์เป็นที่รักของตระกูลหลิงของเรา สามีในอนาคตของนางต้องเป็นคนที่ปฏิบัติต่อนางอย่างดีด้วยหัวใจ มิฉะนั้นไม่ว่าคนคนนั้นจะอยู่ในฐานะใด พวกเราย่อมไม่มีทางตกลงยกให้นางง่ายๆ” หยางถอนหายใจ “ทว่าเรื่องระหว่างเจ้ากับองค์หญิงแห่งซีอวี้เป็นพระราชดำรัสจากองค์ฮ่องเต้ และการไม่เชื่อฟังรับสั่งขององค์ฮ่องเต้ถือเป็นโทษตาย นี่จะไม่เป็นการทำร้ายมู่เอ๋อร์ของข้าหรือ?”
ยิ่งคิดหยางซื่อก็ยิ่งรู้สึกเศร้าใจ เหตุใดมู่เอ๋อร์ของนางถึงได้มีชีวิตที่น่าสังเวชเช่นนี้ได้? มีเหตุการณ์พลิกผันมากมายในชีวิตของนาง
“หากท่านป้ายังเชื่อมั่นในตัวข้า โปรดให้โอกาสข้าอีกครั้ง ข้าได้คิดวิธีแก้ปัญหาเรื่ององค์หญิงแล้ว เมื่อเรื่องนี้จบลง ข้าจะขอพระราชโองการจากเสด็จพ่อด้วยฐานะขององค์ชายรอง ขออภิเษกสมรสกับหลิงมู่เอ๋อร์ขอรับ”
ซั่งกวนเซ่าเฉินพูดด้วยความจริงจังเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าใบหน้าของเขาจะยังดูน่ากลัวอยู่ ทว่าท่าทีของเขากลับเปี่ยมไปด้วยความสัตย์ซื่อน่าเคารพนับถือ ราวกับว่าเขาได้กลับไปเป็นชายหนุ่มผู้เผด็จการคนนั้นที่คอยปกป้องมู่เอ๋อร์อยู่ข้างหลังในหมู่บ้านตระกูลหลิง
ยามที่นางรู้ว่ามู่เอ๋อร์คบหาดูใจกับเขาเป็นครั้งแรก หยางซื่อคิดเพียงว่าเจ้าหนุ่มเฉินคนนี้เป็นเด็กที่ซื่อสัตย์และซื่อตรง เขารู้วิธีที่จะรักและปกป้องมู่เอ๋อร์ ดังนั้นนางจึงไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ หากไม่ใช่เพราะว่าช่วงเวลานี้เกิดเรื่องหลายสิ่งหลายอย่างขึ้น แน่นอนว่านางจะไม่มีทางคัดค้าน ทว่าแม้ว่านางจะไม่รู้หนังสือ แต่นางก็รู้ว่าพระราชโองการของฮ่องเต้นั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ
“ป้าไม่ใช่คนที่ก่อความวุ่นวายสุ่มสี่สุ่มห้า หากเจ้าปฏิบัติต่อมู่เอ๋อร์ของข้าอย่างดี แน่นอนว่าข้าจะไม่ห้ามเจ้า ทว่าระหว่างเจ้าสองคนมีองค์หญิงที่ต้องอภิเษกด้วย เช่นนั้นก็รอจนกว่าเจ้าจะจัดการเรื่องอภิเษกกับองค์หญิงก่อน ค่อย…”
“ท่านแม่!” หลิงมู่เอ๋อร์ขัดจังหวะประโยคที่ยังไม่จบของหยางซื่อในเวลาที่เหมาะสม “การแต่งงานระหว่างเซ่าเฉินและข้าควรจะคุยกันในภายหลัง เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการช่วยชีวิตพี่จูและพี่ชายก่อน เอาอย่างนี้นะเจ้าคะ ข้ากับเซ่าเฉินจะไปคิดหาทาง และจะรีบกลับมาก่อนมืด”
ก่อนที่หยางซื่อจะทันได้ตอบสนอง หลิงมู่เอ๋อร์ก็รีบลากซั่งกวนเซ่าเฉินออกจากจวนตระกูลหลิงไปอย่างรวดเร็วแล้ว
หลังจากวิ่งผ่านไปถึงสองช่วงถนน หลิงมู่เอ๋อร์ที่วิ่งไปเหลียวศีรษะกลับไปมองทุกสองสามก้าวก็รู้สึกโล่งใจ เพราะแน่ใจแล้วว่าแม่ของนางตามมาไม่ทัน ทว่ายามนั้นนางกลับได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากบนศีรษะของนางแทน
“ท่านหัวเราะอันใด?” นางไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
ซั่งกวนเซ่าเฉินจ้องมองแม่นางน้อยตรงหน้าเขาด้วยความรักถนอม ยามที่เห็นหัวใจที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดของนาง เขาก็ยื่นออกไปลูบผมของนางอย่างอ่อนโยน “ยัยโง่ แม้ว่าเมื่อครู่เจ้าจะไม่ได้เอ่ยปาก ข้าก็แน่ใจว่าจะโน้มน้าวใจของท่านป้าได้ ทว่าเจ้ากลับพาข้าวิ่งหนีออกมา ทำไมหรือ เจ้าจะหนีตามไปกับข้าหรือ?”
“หนีตามกัน?” หลิงมู่เอ๋อร์ตกใจกับคำคำนี้ ทว่าในไม่ช้านางก็เห็นแววหยอกล้อจากมุมปากของซั่งกวนเซ่าเฉิน นางวางศอกบนหน้าอกของเขาแล้วดันตัวออกทันที “ฝันไปเถิด!”
หลังจากนั้นซั่งกวนเซ่าเฉินก็เห็นแม่นางน้อยที่เดินไปข้างหน้าด้วยท่าทางโงนเงน เขาเกี่ยวเอวของนางด้วยมือข้างเดียวราวกับว่าเขาต้องการที่จะยกนางขึ้นด้วยมือเพียงข้างเดียว ก่อนจะเอาริมฝีปากสีแดงมาวางไว้ข้างๆ หูของนาง แล้วกระซิบว่า “เจ้ากลายเป็นคนของข้าไปแล้ว ข้าย่อมรับผิดชอบเจ้าจนถึงที่สุด หากข้าไม่ฝันแล้วจะผู้ใดจะฝันหรือ?”
เสียงที่เต็มไปด้วยแรงดึงดูดนั้นดังก้องอยู่ในหูของนาง มันเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ที่มิอาจอธิบายได้ หลิงมู่เอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะนึกถึงความบ้าคลั่งในค่ำคืนที่ผ่านมา นางกำลังจะฟาดกำปั้นเขินอายลงบนหน้าอกของเขา ทว่ากลับเห็นซั่งกวนเซ่าเฉินที่ปล่อยนางลง ก่อนที่สีหน้าของเขาจะแปรเปลี่ยนไป
เมื่อมองตามสายตาของเขาก็เห็นเพียงหนานกงอี้จือที่ไม่ได้พบหน้ากันมาสองสามวันกำลังเดินตรงเข้ามาหา ใบหน้าของเขาจริงจังและโกรธจัด ราวกับว่ามีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น
“ญาติผู้พี่ เป็นข่าวดี ทว่าก็เป็นข่าวร้ายเช่นกัน” หนานกงอี้จือเหลือบมองหลิงมู่เอ๋อร์จากมุมหางตา ลังเลใจว่าจะพูดดีหรือไม่
“ต่อหน้าพี่สะใภ้ของเจ้า ไม่มีอันใดต้องหลบเลี่ยง เอ่ยมาได้เลยไม่จำเป็นต้องปิดบัง” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าว
“เมื่อเค่อที่แล้ว ฮ่องเต้มีคำสั่งยกเลิกการหมั้นกับองค์หญิงแห่งซีอวี้” หนานกงอี้จือยิ้ม ทว่ารอยยิ้มที่มุมปากของเขากลับแข็งขึ้นอย่างรวดเร็ว “ทว่า… มั่วจวินเหยาจะแต่งงานกับซูเช่อแทน”
“อันใดนะ?” ไม่ใช่ซั่งกวนเซ่าเฉินที่รู้สึกตื่นตกใจก่อน ทว่ากลับเป็นหลิงมู่เอ๋อร์
นางไม่สามารถยอมรับความจริงนี้ได้ “เหตุใดเรื่องราวถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ได้? ซูเช่อทำอันใดลงไป?”
ทั้งๆ ที่พวกเขาเพิ่งพบกันเมื่อวานนี้ นางไปดื่มที่จวนเสียนหวาง ซูเช่อเองยังจัดแถวทหารเพื่อต้อนรับนาง นางไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเขาสนใจในตัวมั่วจวินเหยา
นอกจากนี้ ตามนิสัยของซูเช่อแล้ว เขาจะตกหลุมรักผู้หญิงอย่างมั่วจวินเหยาได้อย่างไร เป็นไปได้หรือไม่ว่า…
ยามที่นึกถึงวิธีที่นางเอ่ยคำพูดกระแทกใจซูเช่อไปหลายสิ่งหลายอย่างในจวนเสียนหวางเมื่อวานนี้ จู่ๆ หลิงมู่เอ๋อร์ก็มีความคิดที่ไม่ดีในใจ นางมองตรงไปทางซั่งกวนเซ่าเฉินทันที “ข้าจะไปจวนเสียนหวาง ข้าต้องรีบไปพบซูเช่อเดี๋ยวนี้”
“ข้าเกรงว่าจะสายเกินไปเสียแล้ว” เป็นหนานกงอี้จือที่เอ่ยตอบนาง
เขามองไปทางหลิงมู่เอ๋อร์ “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าทำร้ายญาติผู้พี่ของข้าในวังเมื่อวานนี้ ฮ่องเต้ทรงกริ้วยามที่ทรงทราบข่าว พระองค์ได้ส่งทหารองครักษ์มาจับกุมเจ้าแล้ว”
เกือบจะเป็นวินาทีเดียวกับที่เขาพูดจบ เสียงฝีเท้าจำนวนมากที่ก่อกวนความสงบสุขก็ดังมาจากระยะไกลทันที ทั้งสามคนมองตรงยังที่มาของเสียง ก่อนจะเห็นทหารองครักษ์กลุ่มเล็กๆ วิ่งเข้ามาหาพวกเขาด้วยความเร็วสูง
ในชั่วพริบตา มีทหารรักษาพระองค์จำนวนมากกว่าหนึ่งโหลตรงเข้ารายล้อมหลิงมู่เอ๋อร์ทันที
ผู้นำถึงกับหยิบพระราชโองการออกมากางอ่าน “ฮ่องเต้มีพระราชดำรัสรับสั่งว่าอาชญากรหลิงมู่เอ๋อร์ เจ้าลอบทำร้ายองค์ชายรองในวัง นางสมควรได้รับโทษในความผิด ทรงสั่งให้พวกเราจับกุมตัวเพื่อนำไปขังทันที”
หลังจากพูดจบ หัวหน้าก็ส่งสัญญาณทันทีว่า “ทหาร ไปจับกุมหลิงมู่เอ๋อร์มาเดี๋ยวนี้”
“ช้าก่อน”
เสียงที่ไม่รีบไม่ร้อน ฟังแล้วช่างเสนาะหูของซั่งกวนเซ่าเฉินดังขึ้น เขาปกป้องหลิงมู่เอ๋อร์ไว้ข้างหลัง
ยามที่มองไปที่องครักษ์ของฮ่องเต้ ผู้นำคืออดีตลูกน้องใต้บังคับบัญชาผู้มีความสามารถของเขา “ก่อนที่ข้าจะออกจากหน่วยองครักษ์ของฮ่องเต้ ข้าได้ทูลเสนอเสด็จพ่อให้เลื่อนตำแหน่งเจ้าเป็นผู้บัญชาการขององครักษ์พระจำพระองค์ เพราะข้าเห็นความสำคัญที่เจ้าใจเย็นสงบนิ่งในการจัดการสิ่งต่างๆ จางจื่อเหิง เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จางจื่อเหิงก็คุกเข่าลงกับพื้นทันที “กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ!”
ยามที่มองไปยังสีหน้าที่โกรธเกรี้ยวของซั่งกวนเซ่าเฉินอีกครั้ง แม้ว่าสีหน้าของเขาจะมิได้เปลี่ยนแปลง แต่น้ำเสียงของเขากลับแตกต่างออกไป จางจื่อเหิงจะไม่กลัวได้อย่างไร “เหยีย ทว่านี่เป็นคำสั่งของฮ่องเต้ กระหม่อมมิอาจไม่ทำตามได้พ่ะย่ะค่ะ”
“คนข้างข้าคือพระชายาในอนาคตของข้า นางจะทำร้ายข้าได้อย่างไร เสด็จพ่อทรงเข้าใจผิดแล้ว ข้าจะเข้าวังเพื่ออธิบายให้พระองค์ฟังเอง พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว”
ซั่งกวนเซ่าเฉินโบกมือและสั่งให้จางจื่อเหิงพาทุกคนออกไป
จางจื่อเหิงเป็นลูกน้องที่มีประสิทธิภาพที่สุดของเขา ยามที่เขาเป็นผู้บัญชาการของหน่วยทหารรักษาพระองค์ หลังจากที่เขากลับคืนสู่ฐานะองค์ชายรอง เขาก็ขอให้ฮ่องเต้ทรงเลื่อนตำแหน่งให้เขาสืบต่อทันที เพราะเขาเห็นคุณค่าของความสามารถของชายหนุ่มผู้นี้
เขาเมตตาต่อจางจื่อเหิง แล้วจางจื่อเหิงจะเนรคุณต่อเขาได้อย่างไร?
หลังจากลังเลอยู่สองสามวินาที เขาก็สั่งให้ทุกคนถอยกลับออกไปอย่างรวดเร็ว “ทุกคนฟังคำสั่ง ถอย”
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองกลับไปทางหลิงมู่เอ๋อร์ทันที ก่อนจะเห็นใบหน้าที่เป็นกังวลของนาง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้หึงหวงนางเพราะเรื่องชายอื่น
“ข้าได้ขอให้หนานกงอี้จือช่วยสอบสวนเรื่องในอดีตของมั่วจวินเหยาเพื่อแก้ปัญหาเรื่องสัญญาการแต่งงานของเรา ทว่าคิดไม่ถึงว่าซูเช่อกลับเป็นคนที่เริ่มลงมือก่อน ทว่าหากข้าไม่เข้าวังทันทีเพื่ออธิบายกับเสด็จพ่อ ย่อมมิอาจหลีกเลี่ยงการจับกุมเจ้าอีกครั้งได้ มิสู้พวกเราแยกย้ายกันไปจัดการ ข้าจะเข้าวังเพื่อเผชิญหน้ากับฮ่องเต้ ส่วนเจ้ากับหนานกงอี้จือไปจวนเสียนหวาง”
หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่าเขามิได้ขอให้หนานกงอี้จือไปจับตาดูนาง ทว่าเพื่อให้เขาตามไปคอยปกป้องนาง
เพราะนางเพิ่งทำให้องค์ชายเจ็ดขุ่นเคืองและยามนี้ฮ่องเต้ก็ต้องการจับกุมตัวนาง หากนางเพียงคนเดียวเดินอยู่ในเมืองหลวงเพียงลำพัง นางอาจถูกใครบางคนจับกุมตัวไปอย่างกะทันหันก็เป็นได้
“ตกลง” หลิงมู่เอ๋อร์ตามหนานกงอี้จือไป ส่วนซั่งกวนเซ่าเฉินก็ออกไปในทิศทางตรงกันข้าม
จวนเสียนหวาง
นี่นับเป็นเพียงสถานที่ที่นางเข้าออกบ่อยที่สุดในทุกวันนี้
ยามที่หลิงมู่เอ๋อร์และหนานกงอี้จือปรากฎตัวที่หน้าประตูจวน จื่อถงก็ได้รออยู่เป็นเวลานานแล้ว “แม่นางหลิงมาแล้ว นายท่านได้รับสั่งเอาไว้ว่าหากแม่นางมาก็เชิญเข้าไปได้โดยตรง”
“เขาอยู่ที่ใดเล่า?” น้ำเสียงของหลิงมู่เอ๋อร์เย็นชา แฝงไปด้วยความโกรธเล็กน้อย ราวกับว่านางมาที่นี่เพื่อทวงหนี้อย่างไรอย่างนั้น
“นายน้อยกำลังรอท่านอยู่ในห้องตำราขอรับ” จื่อถงกล่าว
หลิงมู่เอ๋อร์พาหนานกงอี้จือไปที่ห้องตำราด้วยความคุ้นเคยกับเส้นทาง แม้ว่าจะเป็นวันที่มีอากาศหนาวเย็น ทว่าประตูห้องหนังสือกลับเปิดอยู่ เห็นได้ชัดว่ากำลังรอให้นางเข้าไป
แน่นอน ทันทีที่นางเข้าประตูไปก็เห็นซูเช่อนั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือทันที เขาแต่งกายด้วยชุดของราชสำนักราวกับไม่ทันเปลี่ยน มันทำให้ความสง่าของเขาเปล่งประกายได้อย่างไม่มีใครเทียบเทียม
หลิงมู่เอ๋อร์ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ไม่ใช่เพราะรูปร่างหน้าตาที่มีเสน่ห์สูงส่งของเขา ทว่าเพราะนางรู้สึกว่าวันนี้เขาแตกต่างจากปกติเป็นอย่างยิ่ง
ที่ผ่านมา เขามักแต่งกายด้วยชุดสีขาวอย่างสง่างาม ราวกับเทพเซียนที่ถูกเนรเทศลงมายังโลกมนุษย์
ทว่าวันนี้เขากลับแต่งกายด้วยผ้าแพร ราวกับปรารถนาจะแสดงให้เห็นว่าเขาสูงส่งเพียงใดจากเสื้อผ้าของเขา ราวกับบอกให้โลกรู้ว่าเขาคือเสียนหวาง เสียนหวางผู้สูงส่งอย่างหาที่เปรียบมิได้
“ข้าก็รู้ว่าเจ้าจะมา ทว่าคิดไม่ถึงว่าจะมีแขกอื่นมาด้วย” ซูเช่อเงยหน้าขึ้นและยิ้มให้นาง ทว่าเพียงแวบเดียวสายตาของเขาก็มองเลยผ่านไป “ทหาร ไปยกน้ำชามา”
ด้วยบรรยากาศอันแปลกประหลาด เขาแตกต่างจากบุรุษที่ร่ำสุราไปพร้อมกับนางเมื่อวานอย่างสิ้นเชิง
ยิ่งไปกว่านั้น นางยังจะมีอารมณ์มาดื่มชาที่นี่ได้อย่างไร
“เจ้าทำอันใดลงไป?” หลิงมู่เอ๋อร์ทุบกำปั้นอย่างแรงลงบนโต๊ะ ดวงตาของนางพยายามมองให้ทะลุเขา “เรื่องของซั่งกวนเซ่าเฉินและองค์หญิงแห่งซีอวี้เกี่ยวข้องอันใดกับเจ้า แล้วเจ้าทำอันใดลงไป ซูเช่อ?”