เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 11 ตอนที่ 310 รับประกัน
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 11 ตอนที่ 310 รับประกัน
เล่มที่ 11 ตอนที่ 310 รับประกัน
“ขออภัยท่านพ่อท่านแม่ ขออภัยท่านยายท่านลุง ขออภัยท่านผู้เฒ่าจู มู่เอ๋อร์มาช้า พวกท่านไม่เป็นกระไรใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
นางรีบรุดวิ่งมายังเรือนข้าง เมื่อเห็นสมาชิกในครอบครัวยืนอยู่ตรงหน้าในสภาพที่สมบูรณ์พร้อม หลิงมู่เอ๋อร์พลันรู้สึกโล่งใจ
ทว่าเพราะถูกองค์ชายเจ็ดจับคุมขังอย่างกะทันหัน ใบหน้าของทุกคนจึงเต็มไปด้วยความมืดครึ้ม ราวกับว่าได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างมหันต์ หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกละอายแก่ใจเป็นอย่างยิ่ง นางยืนอยู่ท่ามกลางทุกคน และโค้งคำนับ “ข้าขอโทษทุกท่านในครอบครัว เป็นมู่เอ๋อร์ที่ทำร้ายพวกท่านจนเป็นเช่นนี้ มู่เอ๋อร์ขอโทษพวกท่านด้วยความสัตย์จริง ขออภัยเจ้าค่ะ”
“ไอ๊หยา ลุกขึ้นเถิด ลุกขึ้น เหตุใดต้องทำให้เป็นพิธีใหญ่โตอะไรเช่นนี้ด้วย” ท่านยายอยู่ใกล้ที่สุด นางรีบพยุงหลิงมู่เอ๋อร์ให้ลุกขึ้นมา ก่อนรวบกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน “พวกเรามิได้โทษเจ้าเรื่องที่ถูกคุมขังหนึ่งคืน เพียงแต่ทุกคนเป็นห่วงเจ้า ตกลงแล้วนี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่?”
“ใช่แล้ว มู่เอ๋อร์ เจ้ามิใช่บอกว่าองค์ชายเจ็ดจะช่วยเราหรือ แล้วเหตุใดจู่ๆ เขาถึงขังพวกเราเล่า? อีกทั้งเจ้าหนุ่มเฉินเองก็ด้วย เขากำลังพยายามทำอันใดกันแน่? เหตุใดเขาถึงนำพลทหารมาจับกุมเจ้ามากมายถึงเพียงนั้น?” ใบหน้าของหยางซื่อเต็มไปด้วยความกังวล นางจับมือของหลิงมู่เอ๋อร์ไว้แน่น กลัวว่าในวินาทีถัดไปนางจะถูกพาตัวไปอีกครั้ง
ยามที่นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนวานที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดมาก่อน หลิงมู่เอ๋อร์ก็เดาได้ว่าครอบครัวของนางจะต้องหวาดกลัวมากเพียงใด นอกจากความรู้สึกผิดแล้ว นางไม่รู้ว่าจะชดเชยให้พวกเขาอย่างไร
“ข้าเชื่อว่าท่านพ่อท่านแม่คงเคยได้ยินข่าวเรื่องที่ซีอวี้ส่งทูตมาเยือนเมืองหลวงแล้ว องค์หญิงที่ได้รับหน้าที่อภิเษกเชื่อมความสัมพันธ์ได้เลือกเซ่าเฉินเป็นคู่แต่งงาน ดังนั้นข้าจึงโกรธจนอยากหนีหายไปจากเมืองหลวง ข้าขอโทษ เป็นมู่เอ๋อร์ที่เห็นแก่ตัวมากเกินไปจนทำให้พวกท่านต้องมาลำบากไปกับข้าด้วยเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์อธิบายความจริงเพียงครึ่งเดียว นางถอนหายใจ “สำหรับองค์ชายเจ็ด ข้าต้องดูแลพี่หญิงเซิงเอ๋อร์ พระชายารองของเขาให้ดี ช่วยให้นางคลอดลูกได้สำเร็จ แล้วเขาจะขอบคุณข้าโดยการช่วยให้ข้าออกจากเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัย ทว่าคิดไม่ถึงว่าเซ่าเฉินจะถูกลอบสังหารระหว่างทางกลับเมืองหลวงจากค่ายทหาร และนักฆ่าคนนั้นเป็นคนขององค์ชายเจ็ด นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เซ่าเฉินมาพาตัวข้าไปด้วยวิธีนั้น องค์ชายเจ็ดกังวลกลัวว่าเซ่าเฉินจะแก้แค้น ดังนั้นเขาจึงจับกุมพวกท่านไว้เพื่อขู่เซ่าเฉินเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ? องค์ชายเจ็ดถึงกับกล้าส่งคนไปลอบสังหารเจ้าหนุ่มเฉิน?” ท่านพ่อท่านแม่เป็นคนซื่อสัตย์และไม่ออกนอกลู่นอกทาง พวกเขาจึงมิอาจยอมรับความจริงเช่นนั้นได้
พี่น้องควรรักกัน จะลอบฆ่ากันได้อย่างไร
ทว่ายามเห็นสีหน้าจริงจังของหลิงมู่เอ๋อร์ พวกเขาล้วนอ้าปากค้างด้วยความกลัว โดยเฉพาะหยางซื่อที่รู้สึกกังวลจนหัวใจแทบจะลอยออกมาจากคอ “แม้ว่าข้าจะไม่รู้หนังสือ ทว่าข้าก็รู้ด้วยเหตุผลที่รีบเร่งด้วยไฟเร้าเผาผลาญ เหตุใดองค์ชายเจ็ดถึงทำเรื่องที่โหดร้ายเช่นนั้นได้ เช่นนั้นแล้วจือเซวียนของพวกเราจะเป็นอันตรายมากเช่นกันหรือไม่?”
เมื่อพูดถึงพี่ชาย หลิงมู่เอ๋อร์พลันตระหนักได้ว่า หลิงจือเซวียนและจูฉีไม่ได้อยู่ในฝูงชน
สันนิษฐานว่านี่คือแผนการรับมือระลอกสองจากองค์ชายเจ็ด
“ท่านแม่ พี่ชายเล่าเจ้าคะ?”
“มู่เอ๋อร์ ทั้งพี่ชายและพี่จูของเจ้าถูกจับตัวไป หากองค์ชายเจ็ดเป็นคนโหดเหี้ยมชั่วร้ายขนาดนั้น มิใช่ว่าพวกเขากำลังตกอยู่ในอันตรายหรือ?” หยางซื่อเป็นกังวลเหลือเกิน นางรีบคว้ามือของหลิงมู่เอ๋อร์ “หากมู่เอ๋อร์สามารถช่วยพวกเราได้ ก็ต้องมีวิธีที่จะช่วยพวกเขาใช่หรือไม่ มู่เอ๋อร์ รีบคิดหาวิธีเถิด”
“ท่านแม่ โปรดวางใจ พี่ชายและพี่ชายจูต่างก็เป็นขุนนางในท้องพระโรง ไม่ว่าองค์ชายเจ็ดจะต้องการอันใด พวกเขาก็จะไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ”
หลิงมู่เอ๋อร์ตบมือแม่ของนางอย่างปลอบประโลม จากนั้นจึงเดินมาอยู่ตรงหน้าท่านผู้เฒ่าจูและภรรยาของเขา
นางเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำขอโทษ ทว่าก่อนที่นางจะทันได้พูด ท่านผู้เฒ่าจูก็ขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน “แม่นางน้อย เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดอันใด ผู้เฒ่าเช่นข้าก็เป็นคนที่วางมือจากตำแหน่งขุนนางเช่นกัน เรื่องเล่ห์เหลี่ยมและการแย่งชิงอำนาจในเมืองหลวงแห่งนี้ ข้าเองก็รู้แจ้งแก่ใจชัดเจนดี นับตั้งแต่วันที่จูเอ๋อร์ถูกพวกมันใช้ประโยชน์ ข้าก็คิดถึงผลลัพธ์เช่นนี้มาก่อน ทว่าข้าเชื่อว่าเจ้าจะช่วยพวกเขาทั้งสองให้รอดออกมาได้อย่างปลอดภัย”
“ขอบคุณท่านผู้เฒ่าจูที่เข้าใจ ขอให้ท่านวางใจ ข้าจะทำให้ดีที่สุด!” หลิงมู่เอ๋อร์กำกำปั้นโค้งคำนับขอบคุณ
เมื่อมองไปยังเจาหยางที่อยู่บริเวณมุมห้อง ท่าทางของนางยังคงดูกังวลเหลือเกิน
“อย่าเพิ่งกังวลมากเกินไปเลยพี่สะใภ้ ข้าจะหาทางให้จงได้ ไม่สู้ยามนี้พวกเรากลับบ้านไปก่อนเล่า?” หลิงมู่เอ๋อร์เอื้อมมือไปจับมือของเจาหยาง ทว่าจู่ๆ นางกลับผลักหลิงมู่เอ๋อร์ออกอย่างแรง
“อย่ามาแตะต้องข้า!”
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหันจนทุกคนตกใจ เมื่อก่อนสองคนนี้สนิทกันมากมิใช่หรือ?
“เจ้าจะคิดหาทางให้จงได้? เจ้ายังจะคิดหาทางอันใดได้? แม้แต่ตัวข้าที่เป็นจวิ้นจู่ องค์ชายเจ็ดยังไม่เก็บไว้ในสายตา นับประสาอันใดกับประชาชนธรรมดาเช่นเจ้า” เจาหยางคำราม “ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า จือเซวียนไม่ได้กลับมาทั้งคืน ยามนี้ก็ถูกจับไปเพราะเจ้าอีก อีกอย่างเจ้ารู้อยู่แต่แรกแล้วว่าองค์ชายเจ็ดเป็นคนฆ่าซั่งกวนเซ่าเฉินใช่หรือไม่? แล้วเพราะเหตุใดเจ้าไม่พูดออกมาตั้งแต่แรก! หากจือเซวียนอายุสั้นขึ้นมา ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า!”
“เจาหยาง เจ้าพูดเช่นนั้นได้อย่างไร?”
เมื่อเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ถูกชี้หน้าและถูกด่า หยางซื่อและท่านยายพลันรู้สึกลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง หญิงชราทั้งสองยืนประกบซ้ายขวาอยู่ข้างๆ นาง “มู่เอ๋อร์คิดไม่ถึงว่าเรื่องจะออกมาเป็นเช่นนี้ นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองพี่น้องยังผูกพันลึกซึ้ง หากนางรู้ว่าจือเซวียนจะตกอยู่ในอันตราย นางจะปล่อยให้เขาตกอยู่ในอันตรายเช่นนั้นได้อย่างไร?”
ยามที่ต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบาก แม้แต่แม่สามีและท่านยายที่ดีต่อนางก็ยังปกป้องลูกสาวหลานสาวของตน นั่นทำให้เจาหยางรู้สึกโศกเศร้าเล็กน้อย ทว่าตราบใดที่นางคิดว่าสามีของนางกำลังตกอยู่ในอันตราย การปฏิบัติที่ให้ความสำคัญแตกต่างกันเหล่านี้ย่อมไม่สำคัญอีกต่อไป
“ใช่นะสิ สองพี่น้องมีความผูกพันอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นเจ้าควรรู้เอาไว้ว่าจือเซวียนพยายามมากแค่ไหนเพื่อให้ได้มาซึ่งทุกสิ่งที่เขาครอบครองทุกวันนี้! เจ้าควรรู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงแต่งงานกับข้าตั้งแต่แรก!”
เจาหยางจ้องมองหลิงมู่เอ๋อร์ด้วยความโกรธ “แล้วเจ้าเล่า ตอนแรกเจ้าบอกว่าต้องการจะออกจากเมืองหลวง ทุกคนก็ให้ความร่วมเดินทางไปพร้อมกับเจ้า อีกสักพักหนึ่งเจ้ากลับมาบอกว่าไม่ไปแล้ว นี่เจ้ากำลังเล่นตลกกับพวกเราใช่หรือไม่? ใช่แล้ว เจ้ามีความสามารถ ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใดก็สามารถเปิดร้านอาหารและเปิดโรงหมอได้ เจ้าสามารถทำทุกอย่างได้อย่างโดดเด่นน่าประทับใจ ทว่าเจ้าเคยคิดเกี่ยวกับฐานะของจือเซซียนหรือไม่ ดีร้ายอย่างไรเขาก็เป็นขุนนางขั้นสี่ เจ้าเคยคิดผลที่ตามมาจากการที่ขุนนางออกจากเมืองหลวงโดยไม่ได้รับการอนุญาตจากฮ่องเต้หรือไม่ เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าเขาต้องเสียอะไรไปมากเท่าไหร่กว่าจะได้เป็นเซ่าชิงแห่งศาลต้าหลี่หลังจากออกมาจากหมู่บ้านตระกูลหลิง เขาเต็มใจที่จะหักใจจากไปจริงๆ หรือ? หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้าเห็นแก่ตัวเกินไปแล้ว!”
“เจาหยาง!” เมื่อได้ยินเช่นนี้ หยางซื่อพลันไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
หยางซื่อผู้ไม่เคยชักสีหน้าใส่ลูกสะใภ้พลันมีใบหน้าที่แข็งทื่อทันที “ไม่ใช่ว่าข้าปกป้องมู่เอ๋อร์ ทว่าเจ้าไม่อาจปัดความรับผิดชอบยามที่เกิดเรื่องอันใดขึ้นไปไว้ที่มู่เอ๋อร์เพียงคนเดียวได้ หากหลายปีที่ผ่านมานี้ไม่มีมู่เอ๋อร์ พวกเราจะสามารถมาถึงเมืองหลวงและมีชีวิตที่ดีเช่นนี้ได้อย่างไร พูดตามตรง หากมู่เอ๋อร์ไม่พาครอบครัวของเรามาที่เมืองหลวง เจ้าจะได้รู้จักจือเซวียนของพวกเราได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น หากเจ้าสองคนไม่ยืนกรานที่จะแต่งงานกันตั้งแต่แรก ยามนี้มู่เอ๋อร์กับเจ้าหนุ่มเฉินจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร?”
ยามเห็นสีหน้าของเจาหยางแปรเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า เห็นได้ชัดว่านางกำลังพยายามกดข่มความโกรธอย่างเต็มที่ หลังจากที่หยางซื่อระบายความไม่พอใจของนางแล้ว นางก็จับมือของเจาหยางอย่างอ่อนโยน “เจาหยาง แม่รู้ว่าถึงแม้ภายนอกของเจ้าจะดูเป็นสตรีอารมณ์ร้าย ทว่าจริงๆ แล้วเจ้าอ่อนโยนและมีน้ำใจเป็นอย่างยิ่ง พวกเราทุกคนเห็นความใส่ใจที่เจ้ามีต่อจือเซวียนมาเสมอ ทว่าเจ้าไม่อาจพูดแบบนั้นกับมู่เอ๋อร์ได้ เจ้าเห็นแต่อันตรายที่จือเซวียนเผชิญ แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่ามู่เอ๋อร์ทำอันใดเพื่อจือเซวียนบ้าง? ย้อนกลับไปตอนที่จือเซวียนเสียขาข้างหนึ่งไป หากมู่เอ๋อร์ไม่ใช่คนโชคดี เจ้ายังต้องการจือเซวียนที่เสียขาไปข้างหนึ่งหรือไม่?”
หยางซื่อมองไปทางเจาหยางด้วยความสนิทสนม ก่อนเอ่ยว่า “แม่เองก็กังวลเกี่ยวกับจือเซวียนเช่นกัน ไม่ได้น้อยไปกว่าความกังวลของเจ้าเลย ทว่าข้าเชื่อว่ามันจะมีทางแก้ไขเสมอ เจ้าอย่าโกรธไปเลย แล้วก็อย่าได้เอาไปลงที่มู่เอ๋อร์ด้วย ทุกคนล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ยามที่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาก็ต้องช่วยกันแก้ไขมิใช่หรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่เคยคิดเลยว่าแม่ของนางจะพูดจาเช่นนี้ได้ นี่ใช่ท่านแม่คนเดียวกับที่เคยถูกหวังซื่อรังแกจนไม่กล้าพูดอันใดอย่างนั้นหรือ?
ท่านแม่รักนางเสมอ ดังนั้นแน่นอนว่านางย่อมไม่อาจทนต่อการเห็นนางถูกทำร้ายได้ ทว่าเจาหยางเองก็เป็นพี่สะใภ้ของนางเช่นกัน หากปัญหาระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้เกิดขึ้นเพราะนาง ไม่ช้าก็เร็วขึ้นพวกเขาจะค่อยๆ เหินห่างกันมากขึ้น นั่นจึงนับเป็นความผิดของนางแล้วจริงๆ
“ท่านแม่ ท่านอย่าได้ประเมินพี่สะใภ้ต่ำไป อย่าได้เอ่ยว่ายามนั้นพี่ชายพิการเหลือขาเพียงข้างเดียว แม้ตอนนี้เขาจะยังพิการก็ตาม พี่สะใภ้ย่อมไม่มีทางปล่อยพี่ชายไป จริงหรือไม่เจ้าคะ พี่สะใภ้?” หลิงมู่เอ๋อร์จงใจหยอกเย้านาง ไม่ว่านางจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ย่อมต้องกอดขานางไว้แน่น ห้ามปล่อยแน่ “เป็นข้าที่ผิดเอง ข้าไม่คิดให้รอบคอบทำให้พวกท่านลำบาก ทว่าพี่ชายรักข้า ไม่มีทางคิดเล็กคิดน้อยกับข้าแน่ ในเมื่อพี่สะใภ้รู้ว่าพี่ชายรักข้า ท่านก็คงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับข้าเช่นกันใช่หรือไม่?”
“เจ้า…” เจาหยางอยากจะโกรธนัก ทว่ายามที่เห็นหลิงมู่เอ๋อร์กะพริบตาและยิ้มให้นาง โทสะที่มีอยู่เต็มท้องก็ไม่รู้จะเอ่ยออกมาเช่นไร
“ท่านจงวางใจเถิด ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้พี่ชายของข้าตกอยู่ในอันตราย ไม่เพียงข้าจะช่วยทั้งพี่ชายและพี่จูเท่านั้น ทว่าข้ายังสามารถรับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่พบกับอันตรายใดๆ ในอนาคตด้วย ดังนั้นพี่สะใภ้ ยามนี้พวกเราคงกลับบ้านกันได้แล้วกระมัง?”
เอ่ยจบ หลิงมู่เอ๋อร์ยังทำท่าผายมือเชิญชวน เย้าทำให้เจาหยางที่อยากจะโกรธแค่ไหนก็ได้แต่กดข่มมันลงไป
“ปากของเจ้านี่ทำให้ข้า… ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ทว่าอย่างไรก็ตามเจ้าจงจดจำคำสัญญานี้ไว้ ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่มีวันยกโทษให้เจ้า!” เจาหยางกลอกตามองนาง ทว่าก็ไม่ได้สะบัดมือที่จับแขนของนางออก
“เจ้าค่ะ พี่สะใภ้”
หลิงมู่เอ๋อร์พาทุกคนกลับไปที่จวนตระกูลหลิง ในช่วงเวลานั้นหลังจากที่เจาหยางและคนอื่นๆ ได้พบเห็นซั่งกวนเซ่าเฉิน อารมณ์ที่ไม่ง่ายเลยกว่าทำให้สงบลงได้ก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
ยามที่องค์ชายเจ็ดขังพวกเขาเอาไว้ พวกเขาพยายามคิดหวังว่าพระองค์จะเห็นแก่องค์ชายรองและปล่อยพวกเขาไป ทว่าองค์ชายเจ็ดกลับตรัสว่า องค์ชายรองจะอภิเษกสมรสกับองค์หญิงแห่งซีอวี้ และไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับมู่เอ๋อร์ของพวกเขา
ยามที่มองไปที่ซั่งกวนเซ่าเฉินในครานี้ ในใจของทุกคนมีเพียงสี่คำ – ได้แล้วก็ทิ้ง
“ขอบพระทัยองค์ชายรองที่ช่วยเหลือครอบครัวของเรา” ในฐานะท่านแม่ของหลิงมู่เอ๋อร์ ยามที่ทุกคนกลับมาถึงหน้าจวนตระกูลหลิง หยางซื่อได้แสดงท่าทีปกป้องลูกสาวไว้ด้านหลังของนางอย่างแน่วแน่ ยามที่นางมองไปที่ซั่งกวนเซ่าเฉินอีกครั้ง ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจ “ข้าได้ยินมาว่าองค์ชายรองและองค์หญิงแห่งซีอวี้กำลังจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสกัน ท่านคงมีเรื่องวุ่นวายมากมายให้จัดการ ดังนั้นข้าขอไม่เชิญท่านเข้าไปในจวน”
เกรงว่าแม้แต่คนแปลกหน้าก็ยังไม่เคยได้รับน้ำเสียงเย็นชาขนาดนี้ของนางมาก่อนเลย
หลิงมู่เอ๋อร์เดินออกจากด้านหลังของหยางซื่อ นางทำท่าจะเอ่ยเปิดปากเพื่อปกป้องซั่งกวนเซ่าเฉิน ทว่าหยางซื่อกลับขัดขวางปากของนางทันที “แม่ไม่รู้หนังสือและไม่เข้าใจหลักการเหตุผล ทว่าแม่รู้ว่าผู้ชายที่แต่งงานแล้วไม่ควรถูกยั่วยวนจากหญิงอื่น มู่เอ๋อร์ ไปกันเถิด”
ยามที่ดึงแขนของหลิงมู่เอ๋อร์ ท่าทีของหยางซื่อหนักแน่นเป็นอย่างยิ่ง น้ำเสียงของนางเย็นชาเหลือเกิน นางแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าตนผิดหวังกับเจ้าหนุ่มเฉินผู้ซึ่งเคยเป็นเหมือนลูกของนาง
ซั่งกวนเซ่าเฉินถอนหายใจในใจ ก่อนเดินตามนางไปทันที “ท่านป้า สิ่งต่างๆ มิได้เป็นอย่างที่ท่านเคยได้ยิน”
“หากองค์ชายรองเป็นคนดีก็ควรปฏิบัติต่อคู่หมั้นของท่านอย่างจริงใจ แทนที่จะไปยุ่งกับบุตรสาวของคนอื่น”
หยางซื่อทิ้งคำพูดสุดท้ายไว้อย่างโหดเหี้ยม นางบังคับพาหลิงมู่เอ๋อร์กลับเข้าไปในจวนสกุลหลิง ก่อนที่ซั่งกวนเซ่าเฉินจะตามทัน นางสั่งให้คนปิดประตูจวนอย่างแน่นหนาเพื่อกันเขาออกไป