เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 10 ตอนที่ 300 การประลอง
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 10 ตอนที่ 300 การประลอง
เล่มที่ 10 ตอนที่ 300 การประลอง
การประลองในอีกห้าวันยิ่งใหญ่ไม่น้อย อามู่เต๋อเสนอว่าต้องการขอให้เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหมดเข้าร่วมได้ เขาอ้างว่ากังวลว่าหากซั่งกวนเซ่าเฉินแพ้แล้วจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ซั่งกวนเซ่าเฉินยิ้มหยันและปล่อยให้เขาตั้งเงื่อนไขขึ้นมา
และองค์ชายเจ็ดก็ลุกออกมาเสนอเงื่อนไขข้อหนึ่งพอดี ว่าทั้งสองคนห้ามใช้กลอุบายเพื่อให้ได้รับชัยชนะ ไม่เช่นนั้นจะถือว่าการเดิมพันเป็นโมฆะ
ยามที่ทั้งสองคนยืนอยู่บนเวทีประลอง ฝูงชนด้านล่างก็ส่งเสียงพูดคุยกัน
“หลิงมู่เอ๋อร์ผู้นี้ตกลงแล้วเป็นผู้ใดกันแน่ นึกไม่ถึงว่าจะทำให้องค์ชายรองผู้มิได้ชื่อชอบในสตรีของพวกเรามาประลองอย่างไม่ลังเลเพื่อให้ได้ตัวนางมา แต่แล้วนางเล่าเหตุใดจึงไม่อยู่ที่นี่?”
“ตั้งแต่ต้นจนจบเป็นองค์ชายรองของพวกเราที่ลุ่มหลงหัวปักหัวปำ แม้แต่องค์ชายรองแคว้นซีอวี้ก็ยังยอมจำนนเพราะต้องการนาง นางคงกลัวจนไม่กล้าปรากฏตัว”
“มีข่าวลือว่านางไม่เพียงแต่งดงามยิ่งแต่ยังมีทักษะทางการแพทย์ด้วย แม้แต่ฝ่าบาทยังพระราชทานนามให้นางว่าหัตถ์เทพคืนวสันต์ อีกทั้งยังเป็นแม่นางเซียนแพทย์ของเหล่าราษฎร หากข้าเป็นองค์ชายรองข้าก็ยอมประลองเพื่อชนะใจหญิงงามเช่นกัน”
“…”
ได้ยินเสียงพูดคุยของเหล่าข้าราชบริพารโดยรอบ หลิงมู่เอ๋อร์ที่ปลอมตัวเป็นชายภายในใจก็ยิ่งหนักอึ้ง
เรื่องที่นางกังวลเกิดขึ้นแล้ว ทุกคนยกย่องนางสูงส่งเกินไป ในอนาคตนางต้องยิ่งน่าเวทนาเป็นแน่ เกรงว่าวันนี้ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะเหล่าประชาชนก็ล้วนวิจารณ์นางอยู่ดี แล้วฮ่องเต้เล่าเกรงว่าคงยิ่งไม่ปล่อยให้คนเช่นนางได้ยืนอยู่ข้างกายองค์ชายรอง
เงยหน้าขึ้นไปบนเวทีซั่งกวนเซ่าเฉินก็เตรียมตัวพร้อมแล้ว เขายังคงมีใบหน้างดงามมิมีผู้ใดเทียบ แต่เสื้อเกราะโลหะเปล่งประกายปกคลุมทั่วทั้งร่างของเขา ทำให้กลิ่นอายของราชาที่มีมาแต่กำเนิดเผยออกมาอย่างเต็มเปี่ยม
อามู่เต๋อที่อยู่ตรงข้ามเขามีท่าทางมั่นใจว่าชัยชนะจะอยู่ในมือ สายตาของหลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่ฝ่ามือของเขา แม้จะไม่ชัดเจนแต่ก็เห็นว่าในแขนเสื้อของเขาเหมือนจะมีบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ ใบหน้านิ่งสงบของนางแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดโดยพลัน
“ทุกคนแทบจะเทียบว่าเจ้าเป็นเทพธิดาลงมาจุติแล้ว เหตุใดจึงมีท่าทีไม่มีความสุขเลยเล่า?” ซูเช่อยืนอยู่ด้านข้างนางยิ้มพลางหยอกล้อนาง
หลิงมู่เอ๋อร์หันกลับไปฉีกมุมปากแต่เพียงครู่เดียวก็หันกลับมา นางเชิดหน้าอย่างหยิ่งผยอง “เพราะข้าเป็นพระโพธิสัตว์อย่างไรเล่า”
ซู่เช่อที่เดิมทีตึงเครียดเช่นเดียวกันหลังจากได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ‘พรืด’ ออกมา ทันใดนั้นก็นึกถึงยามนั้นที่พวกเขาอยู่ในหมู่บ้านตระกูลเฟิ่ง
เช้าวันนี้เขาได้รับการฝากฝังจากหลิงจือเซวียนให้มารับนางเข้าวังหลวง ด้วยเกรงว่าหากพบภาพเช่นนี้จะควบคุมได้ยาก เขายืนกรานให้หลิงมู่เอ๋อร์เปลี่ยนไปสวมชุดผู้ชายตามเขามาในฐานะผู้ติดตาม
ดูท่าการตัดสินใจนี้จะถูกต้องแล้ว ไม่เช่นนั้นหากผู้ที่ไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของหลิงมู่เอ๋อร์มาพบนางที่นี่ คงแทบอยากจะลอกผิวนางเพื่อดูว่านางมีเสน่ห์เพียงใด
“เรื่องมาถึงขั้นนี้เครียดไปก็เปล่าประโยชน์ ไม่สู้ดูการแสดงให้ดีจะดีกว่ากระมัง หรือเจ้าไม่เชื่อใจเขา?” ซูเช่อยื่นชาร้อนถ้วยหนึ่งให้นาง ส่งสัญญาณให้นางทำร่างกายให้อบอุ่นไม่ต้องเครียด
ยามนี้หลิงมู่เอ๋อร์หาได้มีอารมณ์จะดื่มชา เพียงแค่ถือถ้วยชาไว้ในมือเป็นเตาอุ่นเท่านั้น มองดูทั้งสองคนที่ต่อสู้กันอยู่เบื้องหน้าอย่างตึงเครียด “ดูเหมือนเสียนหวางจะหวังให้ข้าได้ไปตบแต่งที่แคว้นซีอวี้กระมัง”
“ผายลม!” ซูเช่ออดไม่ได้ที่จะสบถออกมา ภาพลักษณ์คุณชายอ่อนโยนของเขานับว่าถูกทำลายลงต่อหน้านางแล้ว “เจ้าวางใจเถอะแม้เขาจะแพ้ก็ยังมีข้าอยู่”
ยามที่หลิงมู่เอ๋อร์หันกลับไปก็บังเอิญเห็นท่าทียกมุมปากขึ้นอย่างลำพองใจของซูเช่อ รอยยิ้มของเขาแทบจะเทียบได้กับดอกเหมยขี้ผึ้งในอุทยานหลวง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขาคงเตรียมบางสิ่งไว้แล้ว
ยังดีที่นางทำข้อตกลงกับองค์ชายเจ็ดไว้แล้ว ไม่เช่นนั้นวันนี้หากซั่งกวนเซ่าเฉินแพ้จริงๆ ซูเช่ออาจทำเรื่องอันใดที่แม้แต่สวรรค์ยังตกตะลึงผีสางยังหลั่งน้ำตา [1] ก็เป็นได้ คนโง่ผู้นี้ขอเพียงเป็นเรื่องของนางก็จะพยายามทำทุกสิ่งโดยไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน นางรับไม่ได้จริงๆ
“ซั่งกวนเซ่าเฉินเจ้าแพ้แน่!” อามู่เต๋อมองเขาอย่างยั่วยุ ใช้กำลังภายในเจ็ดส่วนจู่โจมออกไปอย่างรวดเร็ว
“คำพูดนี้เปิ่นหวางจื่อขอคืนให้เจ้า!” ซั่งกวนเซ่าเฉินยิ้มหยัน ด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อไม่เพียงแต่จะหลบเลี่ยงการโจมตีของเขาแต่ยังรัดคอของเขาเอาไว้ด้วย
เห็นว่ากำลังจะถูกเขารัดคอจนตายอามู่เต๋อก็เอาสัตว์ตัวเล็กๆ ที่เตรียมเอาไว้ออกมา สิ่งนั้นรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาดหลังกัดที่ข้อมือของเขาคราหนึ่งก็ถอยกลับไป
คนรอบข้างเห็นไม่ชัดว่าทางฝั่งนี้เกิดอันใดขึ้น แต่ซั่งกวนเซ่าเฉินรู้สึกเพียงข้อมือเจ็บแปลบ
เขาขมวดคิ้ว “ไอ้คนต่ำช้า!”
“พวกเราสนใจเพียงแพ้ชนะสิ่งอื่นไม่สำคัญ” เห็นสีหน้าของซั่งกวนเซ่าเฉินเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า ภายในใจของอามู่เต๋อก็จินตนาการของภาพของชัยชนะ แต่ผ่านไปสิบกระบวนท่า ผ่านยี่สิบกระบวนท่า ซั่งกวนเซ่าเฉินที่อยู่ตรงหน้านอกจากสีหน้าที่เปลี่ยนไปก็หาได้มีสัญญาณของการถูกพิษอันใด
“นี่มันเกิดอันใดขึ้น?” อามู่เต๋อตกตะลึงอย่างถึงที่สุดคิดจะปล่อยงูพิษออกมาอีกครา แต่น่าเสียดายที่ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่ให้โอกาสลอบโจมตีอีกเป็นครั้งที่สอง
“หรือเจ้ามีร่างกายที่ร้อยพิษมิกล้ำกราย?” ความคิดนี้ปรากฏขึ้นมาในหัวของอามู่เต๋อ ขณะที่เขาต่อสู้ก็ถามคำถามนี้ออกไปด้วย ในหัวภาวนาไม่หยุดว่าไม่ใช่ เขาต้องไม่ใช่
น่าเสียดายที่สวรรค์มิให้คนสมปรารถนา
“นับว่าเจ้าฉลาดทีเดียว” ซั่งกวนเซ่าเฉินยิ้มอย่างมั่นใจในตัวเอง พลิกฝ่ามือฟาดเข้าไปที่หลังศีรษะของเขาจัดการกดอามู่เต๋อลงบนพื้นได้สำเร็จ
เหตุใดอามู่เต๋อจึงถูกเขาจัดการได้ง่ายดายเพียงนี้?
แม้เขาจะแขนขาดข้างหนึ่งแต่ก็เป็นบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดของแคว้นซีอวี้ทั้งยังมีขาทั้งสองข้าง เขาใช้ขาทั้งสองข้างควบคุมซั่งกวนเซ่าเฉิน ทั้งสองคนตกเข้าสู่สภาพหยุดชะงักไป
“ในสนามรบเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ในตอนนี้ก็ไม่ใช่เช่นกัน!”
“จริงหรือ? เช่นนั้นวันนี้พวกเรามาตัดสินกันไปเลยว่าผู้ใดแข็งแกร่งกว่า!”
ฝูงชนด้านล่างเวทีมองภาพดุเดือดด้านบนโดยพากันยืดคอ หัวใจยิ่งรู้สึกราวกับถูกยกขึ้นมาอยู่ตรงลำคอ
ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ก็อยากจะยืนขึ้นอยู่หลายครา สีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง กลับเป็นองค์หญิงที่มาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์มั่วจวินเหยาที่อยู่ไม่ไกลจากเขานักที่มีสีหน้าสนุกสนาน ท่าทางอารมณ์ดียิ่ง “ตีเลย ใช่ ตีกลับไป ว้าว ตีโดนแล้ว”
“องค์ชายรองสู้ๆ องค์ชายรองสู้ๆ เพคะ!”
เสียงของนางเดิมก็โดดเด่นอยู่แล้วทั้งไพเราะและฟังดูออดอ้อน หากเป็นในยามปกติฟังแล้วรู้สึกพิเศษเป็นอย่างมาก ส่วนในยามนี้ก็ทำให้คนรู้สึกถึงความโวยวาย
ฮ่องเต้มองนางอย่างดูถูกอยู่หลายครา หมิ่นกุ้ยเฟยที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไป “ไม่ทราบว่าองค์หญิงให้กำลังใจองค์ชายรองผู้ใดหรือ?”
“แน่นอนว่าย่อมเป็นองค์ชายรองแคว้นเทียนเฉาเพคะ” มั่วจวินเหยามองนางราวกับมองคนโง่ “วันนั้นยามที่เขาขี่ม้าไปต้อนรับหม่อมฉันที่ประตูเมืองหลวง หม่อมฉันรู้สึกว่าชายผู้นี้หล่อเหลามากจริงๆ เพคะ วันนี้เขาสวมชุดเกราะอย่างองอาจดีเลิศเช่นนี้ก็ยิ่งคว้าหัวใจของหม่อมฉันไปหมดแล้วเพคะ”
ดวงตาทั้งสองข้างของมั่วจวินเหยาจ้องมองข้างหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ยอมปล่อยรายละเอียดใดไปแม้แต่น้อย เห็นซั่งกวนเซ่าเฉินเตะกวาดเสด็จพี่ออกไปไกลแม้จะปวดใจแต่ก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น
นางตื่นเต้นจนกระโดดออกจากเก้าอี้ “เก่งเกินไปแล้ว! คาดไม่ถึงว่าองค์ชายรองแคว้นเทียนเฉาจะไม่เพียงแค่หล่อเหลาแต่ยังมีฝีมือถึงเพียงนี้ ช่างเหมาะสมกับข้ามั่วจวินเหยานัก!”
นางกล่าวลุกขึ้นยืนเดินไปเบื้องหน้าฮ่องเต้ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคน “ฝ่าบาทเหยาเหยาตัดสินใจแล้วเพคะ หม่อมฉันต้องการองค์ชายรองของแคว้นเทียนเฉาเพคะ!”
นางเชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่งราวกับนกยูงแสนหยิ่งยโส ยืนอยู่ตรงหน้าของพระหมื่นปีด้วยท่าทีไม่สูงส่งไม่ต่ำต้อย เลือกสามีในอนาคตของนางอย่างตรงไปตรงมา
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเล็กน้อยเห็นได้ชัดว่าคาดไม่ถึงว่านางจะยกเรื่องการแต่งงานขึ้นมาพูดอย่างรุนแรงเช่นนี้ เขารู้สึกไม่พอใจนัก “เขาสองคนยังมิได้ตัดสินแพ้ชนะขอองค์หญิงค่อยไปปรึกษากันในภายหลังอีกครา”
“ได้เพคะ ภายหลังก็ภายหลังแต่ฝ่าบาทรับปากแล้วนะเพคะว่าจะให้หม่อมฉันเลือกสามีของตัวเองได้ หม่อมฉันต้องการซั่งกวนเซ่าเฉินหม่อมฉันต้องการเขาเพคะ!”
นางกลับไปนั่งที่ของตัวเองอย่างเย่อหยิ่ง มั่วจวินเหยายังคงมีท่าทางใสซื่อไร้เดียงสา ฮ่องเต้ที่เห็นมุมปากกระตุกอย่างรุนแรง
หวางโฮ่วถูกลดสถานะให้เข้าไปในตำหนักเย็นแล้ว ยามนี้ในวังหลังนอกจากอี้กุ้ยเฟยก็มีเพียงหมิ่นกุ้ยเฟยที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุด
อี้กุ้ยเฟยไม่สามารถมาดูการประลองในวันนี้ได้เพราะสุขภาพไม่ดี เป็นธรรมดาที่หมิ่นกุ้ยเฟยจะได้นั่งในตำแหน่งข้างฮ่องเต้ เห็นท่าทีมีโทสะของฮ่องเต้นางก็ลูบหลังของเขาอย่างแผ่วเบา “ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะเพคะ อย่าได้ถือสาองค์หญิงที่มาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เลยเพคะ หากทำลายสุขภาพของฝ่าบาทย่อมไม่คุ้มค่าเพคะ”
ฮ่องเต้เดิมทีคิดจะโกรธแต่เห็นหมิ่นกุ้ยเฟยที่อ่อนโยนมีสติเขาก็ตบหลังมือของนางเบาๆ พลางพยักหน้าเงียบๆ
หมิ่นกุ้ยเฟยเห็นเช่นนั้นมุมปากก็ยกขึ้นอย่างน่ามอง นางมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ตำแหน่งที่ว่างในใจนั้น
“องค์ชายรอง!”
เสียงร้องอย่าตกใจดังขึ้นมาจากข้างล่างอย่างกะทันหัน สายตาของทุกคนจ้องมองไปยังเวทีประลองอีกครา เห็นเพียงเขาสองคนที่โจมตีกันคนละหมัด ก่อนที่ทั้งคู่จะพากันหงายหลังไปและกระอักเลือดออกมาพร้อมกัน
“พี่ใหญ่?” หลิงมู่เอ๋อร์ถึงขั้นยืนขึ้นมาเบื้องหน้าซูเช่ออย่างตึงเครียด
เห็นท่าทางกำมือทั้งสองข้างแน่นอย่างกังวลของนาง ทันใดนั้นซูเช่อก็รู้สึกว่าในใจว่างเปล่าขึ้นมา มีความอิจฉาแต่เขากลับไม่อาจทำอันใดได้
ฝั่งตรงข้าม องค์ชายเจ็ดที่เฝ้ามองการกระทำของอามู่เต๋อก็เคร่งเครียดเช่นเดียวกัน และสั่งให้หลิงจือเซวียนที่อยู่ข้างกายไปจับตาดูอามู่เต๋ออย่างถี่ถ้วน โดยสั่งว่าหากเห็นอามู่เต๋อมีอันใดไม่ชอบมาพากลก็ให้มารายงานทันที
“ฮ่ะ ฮ่าๆๆ ซั่งกวนเซ่าเฉินเจ้ายอมรับความพ่ายแพ้เสีย บนสนามรบเจ้าหาใช่คู่ต่อสู้ของข้า วันนี้เจ้าก็หาใช่คู่ต่อสู้ของข้าเช่นเดิม เหตุใดต้องรอให้ตัวเองพ่ายแพ้จนทำให้ตัวเองขายหน้าด้วยเล่า?” อามู่เต็อมองไปยังซั่งกวนเซ่าเฉินที่บาดเจ็บสาหัสกว่าด้วยรอยยิ้ม พยายามใช้คำพูดจู่โจมจิตใจของเขา
ซั่งกวนเซ่าเฉินเช็ดเลือดที่มุมปากด้วยบรรยากาศน่าเกรงขาม หลังจากสูดลมหายใจไม่กี่คราเขาก็พยุงร่างของตัวเองขึ้นมาตั้งท่าพร้อมสู้อีกครา “ในพจนานุกรมของข้าหาได้มีคำว่ายอมแพ้สองคำนี้ และมู่เอ๋อร์ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้เจ้าพานางไป!”
“ได้ ช่างมีปณิธานนัก!” อามู่เต๋อยิ้มหยัน “แต่เจ้าจะต้องมองนางถูกข้าพากลับไปยังแคว้นซีอวี้เป็นแน่ กลายเป็นผู้หญิงของข้า คุกเข่าให้ข้า…”
“สารเลว!”
หลังจากได้ยินไม่กี่ประโยคสุดท้ายซั่งกวนเซ่าเฉินก็ถูกทำให้เดือดดาล เขาพยุงร่างที่บาดเจ็บเข้าไปโจมตีอามู่เต๋ออีกครา ศักยภาพของคนจะถูกดึงขึ้นมาเมื่อได้รับแรงกระตุ้น ศักยภาพของเขาไร้ที่สิ้นสุด อามู่เต๋อคาดไม่ถึงว่าความเร็วของเขาจะรวดเร็วถึงเพียงนี้ กำลังภายในก็ถูกยกระดับขึ้นกว่าปกติ เขาถูกจู่โจมจนต้องถอยร่น สุดท้ายทั้งร่างก็ถูกเขากดลงบนพื้นไม่อาจต่อสู้ได้อีก
“ชนะแล้ว!”
หลิงมู่เอ๋อร์ดีใจเป็นอย่างยิ่งกำลังคิดว่าจะได้ยินขันทีข้างๆ ตะโกนว่าองค์ชายรองแห่งแค้วนเทียนเฉาชนะ แต่ในยามนั้นเองอามู่เต๋อที่ถูกกดข้างหลังไว้ก็ลงมือทำบางสิ่ง นางเห็นเข็มอ่อนที่เล็กเป็นอย่างมากในมือของเขา
“ไม่ดีแล้ว!” หลิงมู่เอ๋อร์แอบร้องว่าเห็นท่าไม่ดีแล้ว นางมองไปยังองค์ชายเจ็ดอย่างเคร่งเครียดหวังว่าเขาไม่ผิดคำสัญญาของตัวเอง
แต่น่าเสียดายยามที่นางพบว่าสถานการณ์ผิดปกติ อามู่เต๋อก็ลงมืออย่างรุนแรงไปก่อนเสียแล้ว
ซั่งกวนเซ่าเฉินที่ไม่ทันระวังตัวทั้งร่างถูกคนเตะลอยออกจากเวทีประลอง
“องค์ชายรองแคว้นซีอวี้ชนะ!”
เชิงอรรถ
[1] สวรรค์ยังตกตะลึงผีสางยังหลั่งน้ำตา หมายถึง เรื่องที่น่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง