เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 10 ตอนที่ 297 การกระทำอันชั่วช้า
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 10 ตอนที่ 297 การกระทำอันชั่วช้า
เล่มที่ 10 ตอนที่ 297 การกระทำอันชั่วช้า
“เหตุใดจึงพูดเช่นนี้?” หลิงมู่เอ๋อร์ถามเซิงเอ๋อร์
แม้นางจะคาดเดาไว้แล้วว่านี่อาจเป็นกลอุบายขององค์ชายเจ็ด แต่นางก็คาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการคาดเดาของนางจะไม่ใช่เรื่องจริง
“ก็เป็นเพราะเมื่อวานมีข่าวลือแพร่ออกมาจากวังหลวงว่าองค์ชายรองกำลังจะประลองกับอามู่เต๋อ โจวฉี่เยี่ยนได้ยินว่าเจ้าเป็นของเดิมพันในการประลองนี้ เขาขอร้องให้เหยียอนุญาตให้เขาพาคนไม่กี่คนไปลอบสังหารอามู่เต๋อ เจ้าก็รู้ว่าอามู่เต๋อผู้นั้นได้รับการฝึกฝนพิเศษมาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งยังเป็นขุนศึกไร้พ่ายของแคว้นซีอวี้ คนผู้นั้นไม่เพียงแต่มีฝีมือในการต่อสู้แต่ยังชำนาญในการใช้พิษด้วย หากไม่ใช่เพราะวันนี้เหยียไม่วางใจจึงส่งคนไปหาเกรงว่ายามนี้โจวฉี่เยี่ยนคนตายอยู่นอกเมืองหลวงไปแล้ว”
เซิงเอ๋อร์อธิบายอย่างละเอียดแม้ยามที่พูดเช่นนี้จะอดตัวสั่นเทาไม่ได้ก็ตาม แต่ยามที่นึกถึงภาพของโจวฉี่เยี่ยนที่เห็นเมื่อครู่นางก็ตกใจกลัวจนเหงื่อเย็นๆ ไหลรินออกมา “หากไม่ใช่เพราะเห็นเขาสาหัสถึงเพียงนี้ข้าก็ไม่คิดจะไปหาเจ้าหรอกมู่เอ๋อร์”
หลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินกับหูก็อดไม่ได้ที่จะสะดุ้งโหยงขนทั่วทั้งร่างลุกชันขึ้นมาเพราะตกใจ ถึงอย่างไรก็เคยทำงานร่วมกันซึ่งพี่ใหญ่โจวก็ปฏิบัติต่อนางราวกับเป็นญาติพี่น้อง
“รบกวนพี่เซิงเอ๋อร์หากระดาษ หมึกดำ พู่กัน และแท่นฝนหมึกมาให้ข้าหน่อยได้หรือไม่?”
เซิงเอ๋อร์รู้ว่านางสะเทือนใจจึงรีบตอบรับและให้สาวใช้ไปเอามา
ภายในเวลาไม่นานหลิงมู่เอ๋อร์ก็เขียนใบสั่งยาลงไป ทั้งยังหยิบขวดยาออกมาจากแขนเสื้อสองขวดส่งให้เซิงเอ๋อร์ “ใบสั่งยานี้สามารถกำจัดพิษบนใบหน้าของเขาได้ ส่วนยาสองขวดนี้ขวดหนึ่งไว้ใช้ภายนอกวันละสองครั้ง อีกขวดหนึ่งเป็นยาภายในซึ่งจะช่วยทำให้ร่างกายของเขาฟื้นฟูพลังชีวิตโดยเร็วที่สุด แต่พี่เซิงเอ๋อร์โปรดอย่าบอกเขาว่าข้าเป็นคนให้ยาพวกนี้”
เซิงเอ๋อร์ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นระหว่างนางกับโจวฉี่เยี่ยน แต่เมื่อเป็นคำขอของมู่เอ๋อร์นางย่อมตอบรับแน่นอน
“ได้ เช่นนั้นข้าจะไปรายงานให้เหยียทราบ ให้เหยียมาออกมาพบเจ้าโดยเร็วที่สุด”
เซิงเอ๋อร์เข้าไปรายงาน หลิงมู่เอ๋อร์ไม่สามารถทนเห็นภาพโจวฉี่เยี่ยนกำลังทุกข์ทรมานได้อีก จึงวิ่งออกมารอหน้าห้องโถงอย่างมีน้ำอดน้ำทน
นางไม่แน่ใจว่าองค์ชายเจ็ดเป็นห่วงโจวฉี่เยี่ยนจริงหรือแค่เสแสร้งแกล้งทำ แต่นางรออยู่หนึ่งชั่วยามก็ยังไม่มีวี่แววว่าองค์ชายเจ็ดจะออกมา นางเป็นห่วงว่าเจาหยางจะรออยู่ที่บ้านอย่างร้อนใจ ยามที่ฟ้าใกล้จะมืดนางจึงให้หลิงจือเซวียนกลับไปก่อนแล้ว
ยามที่รอองค์ชายเจ็ดออกมาอีกครานางก็นั่งดื่มชาอยู่บนเก้าอี้เงียบๆ ราวกับครุ่นคิดอันใดจนใจลอย
“ในเมื่อมาแล้วเหตุใดจึงไม่เข้าไปดูอาการ แม้พวกเราจะไม่ได้บอกว่าใบสั่งยาเป็นเจ้าที่ให้มา แต่ยาสองขวดที่เจ้าให้มาทำให้เขาเดาออกว่าเป็นเจ้า” เสียงขององค์ชายเจ็ดดังขึ้นจากข้างหลัง
ยามที่หลิงมู่เอ๋อร์หันศีรษะไปก็เห็นเพียงใบหน้าเหนื่อยล้าของเขา เห็นท่าทีเหนื่อยล้ายิ่ง ก็ราวกับเขาเป็นห่วงพี่ใหญ่โจวจริงๆ
“เส้นทางที่เลือกเดินแตกต่างก็ไม่อาจร่วมทางกันได้ พี่ใหญ่โจวหาใช่พี่ใหญ่โจวคนเดิม ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราก็เห็นพ้องแล้วว่ายามที่พบกันอีกคราก็จะไม่ใช่สหายกันอีกแล้ว ในเมื่อมิใช่สหายของหม่อมฉันเหตุใดหม่อมฉันต้องสิ้นเปลืองเวลาและแรงไปดูเขาด้วยเพคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างเย็นชาใบหน้าเรียบสงบเป็นอย่างยิ่ง
“เหอะ” องค์ชายเจ็ดรู้สึกขัน “เมื่อก่อนต่างฝ่ายต่างก็ปฏิบัติต่ออีกฝ่ายราวกับเป็นญาติพี่น้อง มายามนี้คาดไม่ถึงว่าจะเป็นศัตรูกันแล้ว? ในเมื่อไม่ใช่สหายเหตุใดต้องเขียนใบสั่งยาให้เขา เหตุใดจึงไม่มองดูเขาตกตายไปอย่างสุขใจเล่า?”
หลิงมู่เอ๋อร์ค่อยๆ ออกแรงบีบถ้วยชาในมือ แทบจะทนไม่ไหวจนอยากบีบมันให้แตกเป็นเสี่ยง มององค์ชายเจ็ดอีกครานางก็แหงนหน้าด้วยสีหน้าดูหมิ่น “มู่เอ๋อร์เป็นเพียงสตรีต่ำต้อยหาได้มีแผนการสูงส่งลึกซึ้งเหมือนองค์ชายเจ็ด หม่อมฉันรู้แค่ว่าถึงอย่างไรครั้งหนึ่งพวกเราก็เคยเป็นสหายกัน หม่อมฉันไม่เห็นเขาทุกข์ทรมานอยู่ตรงหน้าก็แล้วไปเถอะ แต่องค์ชายเจ็ดคงไม่เหมือนกันกระมังเพคะ”
ได้ยินคำพูดของนาง ดวงตาทั้งสองข้างขององค์ชายเจ็ดก็ค่อยๆ หรี่ลงจนกลายเป็นเส้นเดียว ทั้งร่างแผ่บรรยากาศเย็นยะเยือกออกมาเขากัดฟัน “หืม? เปิ่นหวางจื่อมีอันใดแตกต่างหรือ?”
“มู่เอ๋อร์เป็นเพียงสตรีชาวบ้านผู้หนึ่งจะกล้าพูดจากระด้างกระเดื่องต่อคำพูดขององค์ชายได้อย่างไรเพคะ” หลิงมู่เอ๋อร์ก้มศีรษะลงดื่มน้ำจับเลี้ยงก้นถ้วยลงไปในคราเดียว
ยามที่แหงนหน้าขึ้นมาอีกคราไม่รู้ว่าองค์ชายเจ็ดมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้านางตั้งแต่เมื่อใด ระยะห่างนั้นใกล้จนหากนางเงยศีรษะขึ้นก็ชนกับกรามล่างของเขาได้
“สตรีบ้าบิ่นเช่นเจ้าปกติทำตัวกระด้างกระเดื่องน้อยครั้งเสียเมื่อไหร่เล่า?”
องค์ชายเจ็ดกล่าวพลางลอบออกแรงกำหมัดในแขนเสื้อ “หากไม่ใช้เพราะเปิ่นหวางจื่อเห็นว่าเจ้าเคยช่วยชีวิตข้ารวมถึงช่วยให้กลับคืนสู่สถานะของข้า เจ้าคิดว่าข้าจะยืนพูดกับเจ้าที่หยิ่งยโสถึงเพียงนี้อยู่ที่นี่หรือ?”
“แน่นอนว่าไม่เพคะ เกรงว่าคงไม่ต่างกับหมอเหล่านั้นที่เอาหัวโขกพื้นอยู่กระมังเพคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์สบสายตากับเขาอย่างกล้าหาญไม่เห็นการคุกคามของเขาอยู่ในสายตา
เขาเย็นชาแต่นางเย็นชายิ่งกว่าเขา
สายตาของเขาดุร้ายยิ่งแต่นางดุร้ายยิ่งกว่าเขา
“หลิงมู่เอ๋อร์!” องค์ชายเจ็ดกัดฟันกรอดอย่างโกรธแค้น ยามที่เอ่ยชื่อนางในฝ่ามือก็รวบรวมกำลังภายในครึ่งหนึ่งคิดจะหักคอนางอยู่ตลอดเวลา
“เป็นท่านที่วางยาพี่ชายหม่อมฉัน ที่จงใจให้เขาทิ้งหม่อมฉันไว้ที่ตำหนักองค์ชายเจ็ดก็เพราะเกรงว่าหลังจากเขาได้สติจะไม่ทำงานให้ท่านอีก และจะไม่ได้รู้เหตุผลที่อามู่เต๋อต้องการหม่อมฉัน หลังจากทำเรื่องต่ำช้าทั้งหมดลงไปเหตุใดองค์ชายเจ็ดกลับไม่ยอมรับเล่าเพคะ?”
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มเย็น “พิษสลายจิตวิญญาณ ผู้ที่ได้รับพิษจะมึนหัวตาลายหลังจากนั้นหนึ่งก้านธูปจะเข้าสู่ห้วงนิทรา หลังจากหลับไปพิษก็จะสลาย แต่วันถัดมาคนจะรู้สึกไม่มีชีวิตชีวาราวกับสูญเสียจิตวิญญาณไป คาดไม่ถึงว่าตัวขององค์ชายเจ็ดจะมีสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ มู่เอ๋อร์ได้เรียนรู้แล้วจริงๆ!”
ถูกคนเปิดเผยการกระทำในที่สาธาณะใบหน้าอันเรียบสงบขององค์ชายเจ็ดก็ถูกยั่วให้เกิดโทสะ เขายื่นมือออกไปคิดจะบีบคอนางแต่เซิงเอ๋อร์กลับมายืนอยู่ข้างหลังเขาเมื่อใดไม่ทราบ “เหยีย”
องค์ชายเจ็ดที่ได้ยินเสียงก็วางมือลงโดยพลัน ทว่ากลับไม่หันกลับไป “ออกไป!”
“เหยีย” เซิงเอ๋อร์เรียกเขาด้วยเสียงนุ่มนวลเสียงหนึ่ง ส่งขนมอบสองจานวางลงไปบนโต๊ะของแต่ละฝั่ง นางเดินไปข้างกายหลิงมู่เอ๋อร์และจับมือนาง “หากเหยียและมู่เอ๋อร์คุยเรื่องสำคัญจบแล้วก็ให้มู่เอ๋อร์ไปอยู่เป็นเพื่อนหม่อมฉันเถิดเจ้าค่ะ หม่อมฉันไม่ได้พบน้องสาวตัวเองนานมีเรื่องมากมายอยากพูดด้วย หวังว่าเหยียจะสนับสนุนเจ้าค่ะ”
เซิงเอ๋อร์ออกหน้าปกป้องหลิงมู่เอ๋อร์ไม่อยากให้เขาเอาชีวิตนาง
องค์ชายเจ็ดสูดหายใจเข้าลึกๆ อยากตะคอกให้นางใส่หัวไปเป็นอย่างยิ่ง แต่มือทั้งสองข้างของเซิงเอ๋อร์ไม่รู้ว่าเจตนาหรือมิได้ตั้งใจ นางจงใจวางมือลงบนท้องแบบราบราวกับจะเตือนอันใดเขา
เปลวไฟในใจของเขาสลายหายไปโดยพลัน หลังจากพ่นเสียงไม่พอใจออกจากจมูก ก็กลับไปนั่งบนเก้าอี้ “พวกเจ้าพี่น้องไม่ได้พบกันนานย่อมมีเรื่องมากมายอยากพูดคุยกัน ได้ รออีกเดี๋ยวจะให้นางไปหาเจ้า เจ้าออกไปก่อนเถอะ”
เซิงเอ๋อร์ไม่กล้าพูดหรือทำตามใจด้วยเกรงว่าการรับปากที่ได้มายากจะหลุดหายไป หลังจากใช้สายตาส่งสัญญาณให้หลิงมู่เอ๋อร์นางก็ออกจากห้องไปทิ้งให้ทั้งสองคนอยู่ในความเงียบงัน
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากเซิงเอ๋อร์ไม่โผล่มาเจ้าคงกลายเป็นร่างไร้วิญญาณอยู่ในฝ่ามือของข้าแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ข้าแนะนำว่าหลังจากนี้ก่อนจะพูดควรคิดให้ดีเสียก่อน ไม่เช่นนั้นคราหน้าชีวิตของเจ้าจะไม่ได้อยู่ดีเช่นนี้อีก!”
องค์ชายเจ็ดกัดฟันจ้องมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างเดือดดาล แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยรู้สึกเกลียดชังสตรีผู้ใดเช่นนี้ แต่สตรีน่ารังเกียจผู้นี้กลับทำให้เขารู้สึกได้ไม่หยุด
“เห็นทีวันนี้หม่อมฉันจะเป็นหนี้ชีวิตพี่เซิงเอ๋อร์คราหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจเสียแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์เลิกคิ้วยิ้ม “มีวิญญาณอาฆาตภายใต้น้ำมือขององค์ชายเจ็ดน้อยเสียเมื่อไหร่เพคะ? เหตุใดเมื่อครู่ท่านจึงคิดจะฆ่าหม่อมฉัน? ก็เพียงแค่ถูกหม่อมฉันพูดใส่ ท่านจงใจทำดีต่อโจวฉี่เยี่ยนตั้งใจแสดงละครให้เขาเห็น ความจริงท่านแทบทนไม่ไหวที่จะให้เขาออกห่างจากท่าน เพราะเขาเป็นคนไร้ประโยชน์ไปแล้วเขาเป็นคนขาพิการ แต่เพราะเช่นนี้เขาจึงยิ่งทุ่มเทกายใจทำงานเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของท่าน หม่อมฉันพูดไม่ผิดกระมัง?”
มององค์ชายเจ็ดที่เม้มปากไร้คำพูดหลิงมู่เอ๋อร์ก็กล่าวต่อ “ท่านรับปากพี่ชายหม่อมฉันว่าจะล้างแค้นให้หม่อมฉันทั้งยังจงใจพูดให้เขาได้ยิน เพราะท่านรู้ว่าหากทำเช่นนี้ในอนาคตพี่ชายหม่อมฉันก็จะถวายความภักดีให้ท่านอย่างไม่สนใจชีวิต องค์ชายเจ็ดไม่เคยมีคนบอกท่านหรือว่าการกระทำของท่านช่างต่ำช้าจริงๆ!”
หมัดที่บีบแน่นเผยให้เห็นข้อกระดูกขาว หมัดขององค์ชายเจ็ดทุบลงบนโต๊ะอย่างรุนแรง “การกระทำของข้าต่ำช้าหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ข้ารู้ว่าหากเจ้ายังเย่อหยิ่งเช่นนี้ต่อไปเจ้าจะตายอย่างไรก็คงไม่รู้!”
“ท่านจงใจมอมเหล้าพี่ชายหม่อมฉันและวางยาเขา อยากให้เขากลับมาถามกับหม่อมฉันถึงเหตุผลที่อามู่เต๋อยืนกรานต้องการตัวหม่อมฉัน เพราะท่านเกิดความสงสัยในตัวหม่อมฉัน ท่านรู้สึกว่าตัวหม่อมฉันมีความลับอันใดอยู่”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่เพียงแต่มุ่งมั่นที่จะพูดแต่ยังถึงขั้นก้าวเข้าไปหาเขาทีละเก้า “ไป่หลิงเซียน ท่านต้องการมันมากยามที่อยู่นอกเมือง เมื่อท่านรู้ว่าในมือหม่อมฉันมีสมบัตินั้นอยู่จึงให้คนไปลอบสังหารหม่อมฉัน”
หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราะเยาะ “นักฆ่านั่นเหตุใดจึงต้องมาลอบฆ่าข้า ฝีมือของท่านสูงส่งไม่ธรรมดาเหตุใดจึงไม่อาจต่อกรกับนักฆ่าผู้นั้นได้ นั่นก็เพราะนักฆ่านั่นเป็นคนของท่าน วันนั้นท่านออกหน้าช่วยเขาเล่นละครตบตาให้ข้าดูหลังจากท่านสองคนเจตนาจู่โจมจนข้าสลบไป หากข้าเดาไม่ผิด หลังจากข้าสลบไปท่านก็มาค้นตัวข้า ข้าพูดถูกหรือไม่?”
หลังได้ยินคำพูดต่อว่าคุกคาม ความโกรธขององค์ชายเจ็ดก็ค่อยๆ ปะทุขึ้นมา
“หลังจากนั้นเล่า? เจ้ายังรู้อันใดอีก?”
“ข้ายังรู้ด้วยว่าท่านหาสิ่งที่ท่านต้องการบนตัวข้าไม่พบ แต่ท่านรู้สึกว่ามันแปลกมากดังนั้นท่านจึงคาดเดาว่าจุดประสงค์ของอามู่เต๋อเหมือนกับท่าน ว่าเขาก็พบส่วนที่แปลกประหลาดอันใดของข้าใช่หรือไม่”
หลิงมู่เอ๋อร์พูดเร็วขึ้นเรื่อยๆ “ข้ายังรู้อีกว่าหลังจากท่านรู้ว่าพี่เซิงเอ๋อร์กินกลีบดอกไป่หลิงเซียนลงไปแล้ว ย่อมต้องการแย่งชิงไปเป็นอย่างมาก แต่น่าเสียดายเพื่อป้องกันไม่ให้ท่านแย่งชิงไปจริงๆ ข้าจึงดูนางกินลงไปด้วยตาตัวเอง เป็นอย่างไรเล่าท่านโกรธมากเลยใช่หรือไม่? อยากจะฆ่าให้ข้าตายตกไปเสียใช่หรือไม่?”
“หลิง-มู่-เอ๋อร์!” ความเดือดดาลขององค์ชายเจ็ดถูกนางจุดขึ้นมาอีกครา เขากัดฟันจะพุ่งเข้าไปจู่โจมนางอีกครา แต่น่าเสียดายที่หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ให้โอกาสเขาได้ทำตามแผนร้ายอีก
“ระหว่างทางที่กลับมาเมืองหลวงผู้ที่ลอบสังหารซั่งกวนเซ่าเฉินก็คือคนของท่าน เพราะท่านไม่อยากให้คนที่มีความสามารถมากกว่าท่านกลับมาแทนที่ตำแหน่งของท่าน เพราะในยามนั้นท่านคาดเดาตัวตนที่แท้จริงของเขาได้แล้ว หากเขามีชีวิตกลับมาจะต้องเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของท่านเป็นแน่ เพื่อไม่ให้ถูกคนสงสัยท่านจึงต้องการฆ่าซูเช่อให้ตายตกไปด้วย ทั้งหมดที่ข้าพูดมาคงไม่ผิดกระมัง?”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ลังเลที่จะเผยการกระทำอันชั่วช้าของเขาทั้งหมดออกมา เห็นใบหน้าที่แปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดขององค์ชายเจ็ดโดยพลัน นางก็รู้สึกได้แต่ความสะอิดสะเอียน
“ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านแสดงให้โลกได้เห็นในยามนี้ล้วนเป็นการเสแสร้งแกล้งทำ ท่านหาได้ทะนุถนอมผู้ที่มีความสามารถเช่นนั้น ท่านแค่อยากให้คนเหล่านั้นมาทำงานให้ท่านอย่างจงรักภักดี ท่านไม่ได้ปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างดียิ่งเหมือนในข่าวลือ เพราะท่านรู้ว่ามีเพียงการกระทำอย่างเสแสร้งแกล้งทำเท่านั้นจึงจะสามารถได้รับความจงรักภักดีของพวกเขา องค์ชายเจ็ดเรื่องชั่วช้ามากมายที่ท่านเคยทำมาต่อให้พูดสามวันสามคืนก็ไม่จบ แต่ข้ารู้สึกว่าไม่ควรจะมาพูดตรงนี้แต่ควรไปพูดต่อหน้าฝ่าบาท พูดให้ฝ่าบาทได้ฟังและพูดให้คนทั้งใต้หล้าได้ฟัง ให้พวกเขาได้เช็ดอย่างชัดแจ้งว่าการแสดงออกอันสง่างามอ่อนโยนต่อผู้คน ทั้งหมดนั้นเบื้องหลังความใจกว้างเอื้อเฟื้อขององค์ชายเจ็ดเป็นแค่คนหน้าเนื้อใจเสืออย่างไรเล่า!”
เพล้ง!
ถ้วยชาในมือขององค์ชายเจ็ดถูกโยนลงบนพื้นอย่างแรง ยามที่มองหน้าหลิงมู่เอ๋อร์ใบหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวดูดุร้าย