เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 10 ตอนที่ 293 ขอร้ององค์ชายเจ็ด
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 10 ตอนที่ 293 ขอร้ององค์ชายเจ็ด
เล่มที่ 10 ตอนที่ 293 ขอร้ององค์ชายเจ็ด
“ข้า…ข้าไปสถานที่ลับของข้ามาแน่นอนว่าไม่อาจบอกท่านพี่ได้”
หลิงมู่เอ๋อร์หาข้ออ้างขึ้นมาอย่างขอไปที
หลิงจือเซวียนยังอยากซักไซ้ต่อแต่นางอ้างว่าหิวมากจนไม่มีแรงแล้ว หลิงจือเซวียนที่ทะนุถนอมนางเป็นธรรมดาที่จะไม่ถามให้มากความอีก
แสงจันทร์ส่องลงมาตัดเงาร่างของทั้งสองคน ยังสามารถได้ยินเสียงเอ็นดูของเขามาจากที่ไกลๆ “ค่อยๆ กินไม่มีคนมาแย่งเจ้าหรอก เหตุใดจึงกินเหมือนเด็กเช่นนี้”
“เพราะมีท่านพี่อยู่ มู่เอ๋อร์จะเป็นเด็กน้อยของท่านพี่ตลอดไป”
หลิงจือเซวียนที่ออกมาจากจวนตระกูลหลิงมิได้กลับไปยังที่พักของเจาหยางก่อนเป็นอันดับแรก แต่สั่งให้คนบังคับรถม้ามุ่งไปยังทิศตรงข้าม “ไปตำหนักขององค์ชายเจ็ด”
“ท่านบุตรเขยของจวิ้นอ๋องยามนี้ดึกมากแล้วพวกเราไม่กลับไปก่อนจะดีหรือขอรับ ทุกวันเวลานี้จวิ้นจู่ล้วนทำอาหารไว้รอท่านที่จวนแล้วขอรับ” แม้คนบังคับรถม้าจะพูดเช่นนี้แต่ก็ยังเปลี่ยนทิศทางมุ่งไปยังตำหนักขององค์ชายเจ็ด
ยามที่นึกถึงเจาหยางในใจของหลิงจือเซวียนก็สั่นไหว ใช่ บอกเขาอยู่หลายครั้งแล้วแต่เจาหยางก็ยังรอเขาจนดึกดื่นอยู่ทุกครา มีบางครั้งที่กับข้าวเย็นแล้วก็ยังรอให้เขากลับไปกิน เมื่อก่อนสตรีผู้นั้นเย่อหยิ่งและบ้าบิ่นเป็นอย่างยิ่ง ทว่าตั้งแต่หลังจากที่ตบแต่งกับเขานิสัยก็เปลี่ยนไป โดยเฉพาะยามที่ใกล้จะเป็นแม่ยิ่งกลายเป็นคนมีนิสัยอ่อนโยนและละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก
แต่เรื่องของหลิงมู่เอ๋อร์ก็สำคัญเช่นกัน เขาเชื่อว่าเจาหยางย่อมเข้าใจ
“ทิ้งรถม้าไว้ เจ้ากลับไปบอกฮูหยินเดี๋ยวนี้ว่าให้นางรีบพักผ่อนไม่ต้องรอข้ากลับไป”
เมื่อมาถึงหน้าประตูตำหนักขององค์ชายเจ็ด หลิงจือเซวียนหมุนกายกลับไปสั่งคนบังคับรถม้า แต่ก็นึกบางสิ่งขึ้นมาได้จึงเรียกคนบังคับรถม้าและหยิบถุงเงินออกมาจากแขนเสื้อ “ช่วงนี้ฮูหยินชอบกินขนมดอกซิ่งและสเต๊กเนื้อวัวของร้านฮวาห่าวเยว่หยวน เจ้าซื้อกลับไปด้วย” เมื่อนึกได้ว่าขาและเท้าของคนบังคับรถม้ายามกลับไปซื้อสเต๊กเนื้อวัวอาจเย็นได้ เขาก็ส่งรถม้าให้อีกฝ่ายอีกครา “ขี่รถม้ากลับไปเถอะเช่นนี้จะได้เร็วหน่อย ฮูหยินจะได้กินของที่ยังร้อนๆ”
“แล้วท่านเล่าขอรับ?”
“ฮูหยินสำคัญกว่าไม่จำเป็นต้องห่วงข้า อย่าลืมบอกฮูหยินด้วยว่าข้าจะรีบกลับไปให้เร็วที่สุด ไม่ต้องให้นางรอข้าแล้วให้รีบพักผ่อนเสีย” พูดจบหลิงจือเซวียนก็หมุนกายกลับไปเคาะประตูตำหนักขององค์ชายเจ็ด
“ท่านบุตรเขยของจวิ้นอ๋องดีต่อฮูหยินจริงๆ” คนบังคับรถม้าพึมพำก่อนจะรีบหมุนกายขึ้นรถม้าไปทำเรื่องที่ได้รับมอบหมายให้ลุล่วง
“ดึกถึงเพียงนี้เหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่?”
องค์ชายเจ็ดส่งชาร้อนให้หลิงจือเซวียนพลางหาวออกมา ”เมื่อวานข้าช่วยเสด็จพ่อจัดการเรื่องในราชสำนักจนฟ้าสางจึงเพิ่งได้พัก หากเจ้าไม่มาเกรงว่ายามนี้ข้าคงได้พักไปแล้ว พูดมาเถอะว่าเรื่องใดทำให้เจ้าที่มีนิสัยเยือกเย็นร้อนรนได้เช่นนี้?”
องค์ชายเจ็ดให้ความสำคัญกับผู้ที่มีความสามารถ ตั้งแต่เขาและจูฉีติดตามองค์ชายเจ็ดก็ถูกใช้ให้ปฏิบัติหน้าที่ที่สำคัญมาโดยตลอด และเขาก็ได้รับการปฏิบัติอย่างสุภาพเป็นอย่างยิ่ง
หลิงจือเซวียนมองเขาอย่างจริงจังครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็คุกเข่าลงบนพื้น “จือเซวียนมีเรื่องที่อยากขอร้องเรื่องหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ ขอองค์ชายเจ็ดโปรดตอบรับด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“นี่เจ้าทำอันใด?” การคุกเข่าอย่างกะทันหันของหลิงจือเซวียนทำให้องค์ชายเจ็ดตะลึงงัน
หลิงจือเซวียนปฏิบัติหน้าที่อย่างใจเย็นมาโดยตลอดเป็นผู้ที่พบเจอเรื่องใดก็หาได้ร้อนรน เขามีพรสวรรค์และเฉลียวฉลาดเป็นอย่างมาก เรื่องใดที่มอบหมายให้เขาทำก็ล้วนสำเร็จลุล่วงอย่างงดงามยิ่ง แต่ถึงแม้จะเป็นเรื่องเร่งด่วนก็ล้วนไม่เคยเห็นเขาขมวดคิ้ว ทั้งร่างของคนราวกับเป็นเทพเซียนลงมาจุติ วันนี้ไปพบเจอเรื่องอันใดมาจึงทำให้เขาผิดปกติเช่นนี้?
“เรื่องเป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ…” หลิงจือเซวียนบอกเขาเรื่องการประลองในอีกห้าวันอย่างครบถ้วน พูดจบเขาก็ทอดถอนใจมีสีหน้ากังวลเป็นอย่างยิ่ง “หากองค์ชายรองแพ้มู่เอ๋อร์ก็ต้องไปแคว้นซีอวี้กับอามู่เต๋อ องค์ชายเจ็ดขอท่านโปรดหาหนทางช่วยหลิงมู่เอ๋อร์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หลังได้ฟังเรื่องทั้งหมดองค์ชายเจ็ดก็แปลกใจเป็นอย่างยิ่ง “วันนี้ข้าแค่ไม่เข้าวังหลวงวันเดียวคิดไม่ถึงว่าที่วังหลวงจะเกิดเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้” แต่เห็นหลิงจือเซวียนยังคุกเข่าอยู่บนพื้น เขาก็รีบพยุงอีกฝ่ายลุกขึ้นมาด้วยตัวเอง “เจ้าเสียสละเพื่อน้องสาวมากจริงๆ”
“หากไม่มีมู่เอ๋อร์ก็ไม่มีกระหม่อมหลิงจือเซวียนในวันนี้พ่ะย่ะค่ะ เป็นมู่เอ๋อร์ที่ดูแลกระหม่อมมาโดยตลอด แต่กระหม่อมในฐานะพี่ชายยามที่นางเจอกับความลำบากกลับคิดหนทางช่วยเหลือนางไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” หลิงจือเซวียนอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ มองไปยังองค์ชายเจ็ดอีกคราเขาเอาความหวังทั้งหมดไปไว้ที่อีกฝ่าย “จือเซวียนรู้ว่าองค์ชายเจ็ดต้องมีหนทางแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“นั่งดื่มชากันก่อนเถอะ” องค์ชายเจ็ดใช้สายตาบอกเขาว่าอย่าหุนหันพลันแล่น ทั้งยังให้สาวใช้จัดชาต้อนรับเขา เห็นความวิตกของเขาลดลงไม่น้อยจึงค่อยๆ เปิดปากพูด “เรื่องใหญ่เช่นนี้เหตุใดไม่ไปหาซั่งกวนเซ่าเฉิน ตราบใดที่เขาชนะหลิงมู่เอ๋อร์ก็ไม่จำเป็นต้องไปที่แคว้นซีอวี้มิใช่หรือ?” องค์ชายเจ็ดยิ้ม “หรือไม่หนิงกั๋วโหว พ่อบุญธรรมของเจ้าอำนาจมากล้น เจ้ามาหาข้าไม่สู้ไปหาพวกเขาจะดีกว่า”
หลิงจือเซวียนเชื่อใจองค์ชายเจ็ดเป็นอย่างยิ่ง ได้ยินคำพูดเช่นนี้ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวัง “หรือแม้แต่ท่านก็ไม่มีหนทางหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“เมื่อครู่เจ้าก็พูดแล้วว่าการเดิมพันนี้เกี่ยวพันกับความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้น เจ้าคิดว่าในยามนี้นอกจากองค์ชายรองชนะแล้วยังจะมีผู้ใดมีหาทางอีกหรือ?” องค์ชายเจ็ดทอดถอนใจอย่างจดปัญญา “จือเซวียนไม่ใช่เปิ่นหวางจื่อไม่อยากช่วยเจ้า แต่ความจริงคือข้าก็ไร้หนทางเช่นกัน”
ได้รับคำตอบเช่นนี้หลิงจือเซวียนก็ราวกับลูกบอลที่ถูกปล่อยลมมีท่าทีหดหู่ขึ้นมา
ใช่ เขาไม่เชื่อใจซั่งกวนเซ่าเฉิน หากเขาเอาชนะอามู่เต๋อได้จริงคงได้หัวบนบ่าของอามู่เต๋อมาจากสนามรบแล้ว แค่หากเขาแพ้จริงๆ มู่เอ๋อร์ก็ต้องแต่งออกไปแคว้นซีอวี้ อามู่เต๋อหน้าตาอัปลักษณ์ก็แล้วไปเถอะ แต่ได้ยินมาว่าคนผู้นั้นชั่วร้ายยิ่ง หากน้องสาวแต่งออกไปก็เท่ากับรอร่วงหล่นสู่เหวลึก
“ในเมื่อองค์ชายเจ็ดก็ไร้หนทางเช่นกัน เช่นนั้นโปรดอภัยที่จือเซวียนมารบกวน กระหม่อมจะไปคิดหาหนทางดูพ่ะย่ะค่ะ” หลิงจือเซวียนต้องการใช้เวลาอย่างคุ้มค่าถึงอย่างไรห้าวันก็หาได้เป็นเวลามากมายนัก
เห็นเขาคิดจะลุกขึ้นจากไปองค์ชายเจ็ดก็ไม่ได้ขัดขวางเช่นกัน เพียงแค่พ่นเสียงเย็นชาออกมาจากโพรงจมูก “เจ้าจะคิดหาหนทางได้หรือ? ยามนี้นอกจากเสด็จพี่รองจะชนะการประลองเจ้าคิดว่ายังมีผู้ใดสามารถช่วยเรื่องนี้ได้หรือ? หรือจะบอกว่าเจ้าอยากไปประลองกับองค์ชายรองแคว้นซีอวี้แทนเสด็จพี่รองเล่า?”
“กระหม่อม…” หลิงจือเซวียนกลับไร้คำพูดจะเอื้อนเอ่ยโดยสิ้นเชิง
เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเศร้าใจเรื่องที่ไม่มีความสามารถในการต่อสู้ หากรู้เร็วกว่านี้คงไม่เล่าเรียนความรู้ด้านวิชาการวรรณกรรมอันใดจากท่านอาจารย์ แต่เขาควรให้มู่เอ๋อร์หาปรมาจารย์ด้านการต่อสู้มาสั่งสอนเขาจึงจะถูก เขาเรียนรู้สิ่งใดก็ล้วนรวดเร็วยิ่งไม่แน่ยามนี้เขาอาจเป็นยอดฝีมือไปแล้ว
“เอาเถิดในเมื่อเจ้าจะหาทางก็หาไป ข้าจะช่วยเจ้าคิดหาหนทางด้วย” องค์ชายเจ็ดพูดพลางถอนหายใจ
“จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ? องค์ชายเจ็ดมีหนทางจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ?” หลิงจือเซวียนราวกับมองเห็นความหวัง สายตาที่มองไปยังองค์ชายเจ็ดยิ่งเต็มไปด้วยความเคารพ
“เพียงแต่หนทางเช่นนี้ใช่ว่าจะคิดออกได้ในเวลาเพียงชั่วครู่ แต่เจ้าวางใจเถอะเจ้าเป็นคนที่ข้าไว้ใจที่สุดทั้งยังมาขอร้องข้าเป็นครั้งแรก น้องสาวของเจ้าก็เป็นน้องสาวของข้า ยิ่งไปกว่านั้นหลิงมู่เอ๋อร์ยังช่วยเซิงเอ๋อร์ของข้าไว้หลายครา น้ำใจนี้ข้าย่อมต้องตอบแทน”
หลิงจือเซวียนได้ยินคำพูดเช่นนี้ความกลัดกลุ้มที่อัดแน่นอยู่ในอกก็ราวกับเปิดออกมา เขาคุกเข่าลงบนพื้นอีกครา “จือเซวียนขอบพระทัยองค์ชายเจ็ดพ่ะย่ะค่ะ”
“บอกแล้วว่าเป็นเหมือนเป็นพี่น้องคนกันเอง ปกติไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เห็นเจ้าคุกเข่า ใต้เข่าลูกผู้ชายมีทองคำ [1] เจ้าลุกขึ้นมาได้แล้ว!” องค์ชายเจ็ดแสร้งไม่พอใจแต่เขาพูดเช่นนี้หลิงจือเซวียนก็ยิ่งเคารพเขามากขึ้น
เขาตัดสินใจอยู่ในใจว่าในวันข้างหน้าเขาจะพยายามช่วยทำหน้าที่เพื่อองค์ชายเจ็ดอย่างถึงที่สุด
“ยามนี้จือเซวียนเป็นห่วงมู่เอ๋อร์ นางมีนิสัยบริสุทธิ์ ไม่กี่ปีมานี้นางเสียสละเพื่อตระกูลหลิงมากเกินไป แต่พี่ชายคนนี้กลับไร้ความสามารถทำให้นางต้องมาดูแล กระหม่อมช่างไร้ประโยชน์จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ” หลิงจือเซวียนถอนหายใจหยิบถ้วยชามาดื่มราวกับเป็นเหล้า
องค์ชายเจ็ดเห็นเช่นนี้ก็สั่งให้คนเอาเหล้ามาสองไห ใครจะคิดว่าหลิงจือเซวียนจะหยิบไหเหล้าขึ้นมาโดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อยจนไม่นานก็แทบเห็นก้นไห
“สดชื่น!” เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ “จือเซวียนคารวะองค์ชายเจ็ด ไม่ว่าเรื่องนี้องค์ชายเจ็ดจะสามารถช่วยเหลือมู่เอ๋อร์ได้หรือไม่ วันนี้ก็นับว่าติดค้างท่านมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“แม้จะบอกว่าเจ้าเป็นคนของข้า แต่ข้าก็ปฏิบัติต่อเจ้าราวกับเป็นพี่น้องมาโดยตลอด เจ้าและจูฉีเป็นมือซ้ายและมือขวาของข้า พวกเจ้าสองคนหากมีผู้ใดลำบากข้าล้วนไม่อาจนั่งนิ่งดูดาย หากเจ้ายังพูดเช่นนี้อีกก็นับว่าเกรงใจข้าแล้ว” องค์ชายเจ็ดยิ้มพลางส่ายศีรษะ “ปกติยามที่ให้เจ้าดื่มเจ้ามักจะอ้างว่าคอไม่แข็ง แต่ที่แท้ก็เป็นเพราะยังไม่น่าดึงดูดมากพอ”
ไม่รู้ว่าถูกเขาทำให้ขำหรือว่าเมาแล้วจริงๆ ใบหน้าของหลิงจือเซวียนค่อยๆ แดงขึ้น “องค์ชายเจ็ดล้อจือเซวียนเล่นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าคุกเข่าเพื่อหลิงมู่เอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าในคราแรกยามที่เจ้าถูกแบ่งให้เสด็จพี่หก หลิงมู่เอ๋อร์ก็เคยมาหาข้าให้ข้าดูแลเจ้าให้ดี ความผูกพันของพวกเจ้าพี่น้องทำให้คนอิจฉาจริงๆ นี่เป็นสิ่งที่ในวังหลวงถึงอย่างไรก็ไม่อาจพบเจอ” คำพูดนี้เขาพูดออกมาจากใจ แต่เป็นเพราะฤทธิ์เหล้าในหัวของหลิงจือเซวียนจึงค่อยๆ เลอะเลือนไปบ้าง
องค์ชายเจ็ดเห็นเช่นนั้นก็ลองถามหยั่งเชิง “แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดอามู่เต๋อผู้นั้นจึงยึดมั่นจะพาหลิงมู่เอ๋อร์ไป?”
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้เมาจริงๆ เพียงแค่สมองตอบสนองช้าเท่านั้น หลิงจือเซวียนเงยหน้าขึ้นโดยพลัน “เรื่องนี้…จือเซวียนละอายใจนัก กระหม่อมไม่รู้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายเจ็ดคิดว่านี่เป็นการปิดบังของหลิงจือเซวียน เขาซักไซ้ต่อ “ตามที่ข้ารู้มาอามู่เต๋อผู้นี้มีนิสัยชั่วช้ายิ่ง เป็นผู้ที่ไม่ควรไปยั่วยุให้โกรธ เขาหมกมุ่นเกี่ยวกับยาพิษเป็นอย่างมาก ตามหลักแล้วหลิงมู่เอ๋อร์เป็นหมอ อามู่เต๋อควรจะแค้นใจผู้ที่มีความสามารถกดข่มกันโดยธรรมชาติ แต่เขากลับเอาแคว้นซีอวี้ทั้งหมดมาแลกเปลี่ยนกับหลิงมู่เอ๋อร์อย่างไม่ลังเล ดูท่าแล้วคงมีความลับบางอย่างที่ปกปิดไว้ไม่ให้ผู้ใดรู้เป็นแน่ หลิงมู่เอ๋อร์ไม่เคยบอกเจ้าจริงหรือ?”
หลิงจือเซวียนส่ายศีรษะ “มู่เอ๋อร์ไม่รู้เป้าหมายสูงสุดของคนผู้นั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“จริงหรือ?” องค์ชายเจ็ดไม่เชื่อแต่ในหัวของเขาก็มีความคิดแปลกๆ อย่างหนึ่งวาบผ่านโดยพลัน หรืออามู่เต๋อก็พบความลับของหลิงมู่เอ๋อร์เหมือนกัน?
นึกถึงไป่หลิงเซียนที่เป็นหนามยอกอกเขาอยู่ตลอด ในชั่วขณะนั้นที่เขาไม่อาจกลืนมันทั้งยังไม่อาจเอามันมาได้ ขอเพียงนึกถึงวันนั้นที่ค้นอย่างไรก็หาสมบัติบนร่างของหลิงมู่เอ๋อร์ไม่เจอ แต่เพียงชั่วพริบตาสมบัตินั้นกลับปรากฏอยู่บนฝ่ามือของนาง นับวันเขายิ่งรู้สึกว่าแปลก
หลิงมู่เอ๋อร์มีความลับบางอย่างแน่นอน ไม่แน่อามู่เต๋ออาจค้นพบความลับของนางจึงยอมจ่ายด้วยทุกอย่างเพื่อให้ได้นางมาอย่างไม่เสียดาย
หากเป็นเช่นนี้ดูท่าเขาจำต้องทำอันใดเสียหน่อยแล้ว
เขาหยิบขวดยาขวดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้ออย่างเงียบๆ ฉวยโอกาสยามที่หลิงจือเซวียนไม่ทันสังเกตเทลงไปในชาของเขา
“เจ้าดื่มเหล้ามากไปแล้วดื่มชาก่อนเถอะ”
หลิงจือเซวียนรู้สึกมึนเมาอยู่บ้างยังคิดอยากกลับไปอยู่เป็นเพื่อนเจาหยาง ดื่มน้ำชาที่ถูกวางยาลงไปอย่างไม่ได้ระมัดระวังตัวแม้แต่น้อย
“อามู่เต๋อย่อมไม่ขอตัวหลิงมู่เอ๋อร์อย่างไม่มีสาเหตุ เช่นนี้เจ้ากลับไปสืบหาให้เรียบร้อยว่าจุดประสงค์ของอามู่เต๋อคืออันใด ขอเพียงพวกเรารู้เขารู้เราก็จะสามารถเอาชนะเขาได้ ตราบใดที่หาจุดอ่อนของเขาเจอเปิ่นหวางจื่อย่อมหาหนทางขัดขวางการเดิมพันครั้งนี้ได้”
ได้รับคำตอบที่แน่นอนขององค์ชายเจ็ด หลิงจือเซวียนก็ดีใจยิ่ง “ได้ ได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปหามู่เอ๋อร์พ่ะย่ะค่ะ” เพิ่งพูดจบเขาก็รู้สึกว่าร่างกายสั่นสะท้าน
เชิงอรรถ
[1] ใต้เข่าลูกผู้ชายมีทองคำ หมายถึง ผู้ชายต้องมีศักดิ์ศรีอย่าคุกเข่าให้คนอื่นง่ายๆ