เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 10 ตอนที่ 292 จากไป
เล่มที่ 10 ตอนที่ 292 จากไป
ในมิติเทพสามารถปกป้องนางไว้ภายในมิติได้อย่างดี ข้างในนางปลูกสมุนไพรและอาหารไว้นานแล้ว อย่าว่าแต่อยู่ได้เพียงระยะหนึ่ง ต่อให้อยู่ทั้งชีวิตนางก็สามารถอยู่ข้างในนี้ได้อย่างไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารหรือเครื่องนุ่งห่ม
แต่น่าเสียดายที่ในมิติมีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งคือไม่สามารถเคลื่อนที่เองได้
ดังนั้นนางจึงเฝ้ามองท่าทีบ้าคลั่งของอามู่เต๋อที่หานางอยู่ในป่าทึบตลอดทั้งบ่าย จนกระทั่งชายผู้นั้นหมดเรี่ยวแรง ความโกรธเกรี้ยวหายไปแล้วแต่ยามที่เขากำลังจะเดินจากไปก็ยังคงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
แค่คิดก็พอจะรู้ว่าชายผู้นี้เสียสติอย่างแท้จริง
ยามที่กลับไปจวนตระกูลหลิงฟ้าก็มืดแล้ว สาเหตุเพราะใกล้ช่วงตรุษจีนแล้วที่เหลาอาหารจึงค่อนข้างยุ่ง นางคิดว่าคนในบ้านคงช่วยงานที่เหลาอาหาร คาดไม่ถึงว่ามาถึงจวนแล้วไฟยังเปิดไว้อย่างสว่างไสวอยู่ นางตะโกนมาแต่ไกล “ท่านแม่มู่เอ๋อร์หิวแล้วเจ้าค่ะ ในบ้านมีอะไรกินหรือไม่เจ้าคะ?”
สิ้นคำพูดก็รู้สึกเพียงลมสองสายพัดมาข้างตัวอย่างกะทันหัน นางหลับตาก่อนจะลืมตาขึ้นอีกคราก็เห็นเพียงชายสองคนอยู่ทางด้านซ้ายและขวาข้างกายนาง
“เจ้าไปที่ใดมาเหตุใดจึงเพิ่งกลับมายามนี้?” ซูเช่อและหลิงจือเซวียนเอ่ยถามอย่างพร้อมเพรียง
หลิงมู่เอ๋อร์กะพริบตาไม่เคยชินกับท่าทีรู้กันสองคนของพวกเขา “สมเป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ ท่าทางการพูดนับวันยิ่งเหมือนกัน แต่พี่ชายข้าอยู่ในบ้านก็เป็นเรื่องปกติ แล้วเสียนหวางมาอยู่ที่นี่ด้วยเหตุใดหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์หมุนกายไปมองซูเช่อก็เห็นเพียงสีหน้ากังวลของเขา คิ้วขมวดแน่นราวกับเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น
“เจ้ามากับข้า”
ไม่ให้โอกาสนางได้ตอบสนองซูเช่อก็บังคับดึงข้อมือลากนางมาที่มุมหนึ่ง
เขาก้าวเดินเร็วมากจนนางต้องวิ่งเพื่อที่จะตามให้ทัน เห็นซูเช่อโกรธเกรี้ยวราวกับมีผู้ใดมายั่วโทสะ หลิงมู่เอ๋อร์ก็ขมวดคิ้วตามเขา “ตกลงเกิดเรื่องอันใดขึ้น ซูเช่อท่านทำข้าเจ็บ”
“เจ็บตรงไหนหรือ?” ได้ยินคำว่าเจ็บซูเช่อก็ปล่อยมือนางอย่างร้อนรนและมองพิจารณาอย่างละเอียด แต่ก็ตระหนักได้ถึงความแตกต่างระหว่างชายหญิง มือของเขาที่ยื่นออกมาตกลงไปอีกครา “ขอโทษ ครั้งหน้าข้าจะไม่หุนหันเช่นนี้อีกแล้ว”
เห็นความเป็นห่วงของเขาอย่างชัดเจนแต่กลับมีท่าทีมือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้หลิงมู่เอ๋อร์อยากหัวเราะขึ้นมา
“เสียนหวางแก้ไขเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นได้แล้วดูท่าท่านจะว่างจริงๆ กลางดึกเช่นนี้ก็ยังมาที่จวนตระกูลหลิงของพวกเรา” นางยิ้มอย่างหยอกล้อ “แต่ปัญหาใหญ่ของท่านดูเหมือนจะยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์เสียทีเดียว หากเสียนหวางยังบอกว่าว่างถึงเพียงนี้จริงๆ เช่นนั้นก็ควรหาเสียนหวางเฟยได้แล้ว”
“พูดมาก” ซูเช่อกล่าวอย่างไม่พอใจหนึ่งประโยค เห็นใบหน้าจริงจังของเขาก็เห็นได้ชัดว่าไม่มีอารมณ์มาล้อเล่นกับนาง
“เรื่องการประลองเกิดขึ้นได้อย่างไร? เหตุใดซั่งกวนเซ่าเฉินจึงตอบรับการประลองกับอามู่เต๋อ?”
รู้ว่าเขามาเพราะเรื่องนี้หลิงมู่เอ๋อร์ก็สูดหายใจเข้าลึก “ในเมื่อไม่ว่าสิ่งใดท่านก็ล้วนได้ยินหมดแล้วเหตุใดต้องมาถามให้มากความเช่นนี้?”
“ซั่งกวนเซ่าเฉินมีสิทธิ์อันใดเอาเจ้าไปเป็นของเดิมพัน!” ซูเช่อโกรธเกรี้ยวขึ้นมาโดยพลัน บรรยากาศเย็นเยือกทั่วทั้งร่างราวกับคิดจะเข้าไปคิดบัญชีกับเขาได้ทุกเมื่อ
เห็นว่าตัวเองมีสหายคอยเป็นห่วงเช่นนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง “เรื่องนี้เป็นข้าสมัครใจเองอย่าโทษพี่ใหญ่เลย”
ความโกรธของซูเช่อหลังจากได้ยินคำพูดนี้ของนางก็ยิ่งมากขึ้น “เจ้าปกป้องเขาหรือ?”
“อามู่เต๋อจงใจเสนอการประลองฝีมือ หากเขาไม่ตอบรับย่อมกระทบความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองแคว้น และหากพวกเราไม่ตอบรับข้าจะไม่กลายเป็นคนบาปหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์ส่งเสียงไม่พอใจคราหนึ่ง “ยิ่งไปกว่านั้นซั่งกวนเซ่าเฉินก็ไม่แน่ว่าจะแพ้เสียหน่อย”
“เจ้าก็พูดเองว่าไม่แน่เช่นนั้นหากเขา…” ซูเช่อไม่กล้าคิดจริงๆ “เจ้ายังจะตามเขาไปแคว้นซีอวี้จริงหรือ?”
“ข้าเชื่อในตัวพี่ใหญ่เขาต้องชนะแน่นอน” หลิงมู่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าความเชื่อมั่นของตัวเองมาจากที่ใด แต่เพียงแค่พูดถึงซั่งกวนเซ่าเฉินมุมปากของนางก็จะยกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ซูเช่อเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกเพียงว่าดวงตาแสบร้อน
วันนี้ยามที่เขาได้ข่าวก็เร่งรุดมาหานางที่จวนตระกูลหลิง เมื่อได้รู้ว่านางไม่อยู่เขาก็รออยู่ที่นี่มาโดยตลอด คาดไม่ถึงว่ารอจนคนมาถึงแล้วแต่กลับมีท่าทีไม่ยี่หระเช่นนี้ มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าในใจของนางแทบจะปะทุความโกรธออกมาอย่างเดือดดาล
“หลิงมู่เอ๋อร์มากับข้าเถอะ ข้าจะพาเจ้าไป”
เขานั่งลงเบื้องหน้านางโดยพลัน จับมือของนางอย่างระมัดระวังด้วยท่าทางจริงใจและน้ำเสียงอ่อนโยนเป็นพิเศษ “อามู่เต๋อผู้นี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายย่อมไม่เลือกวิธีการ เขาต้องการสิ่งใดแน่นอนว่าย่อมพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มา แม้ซั่งกวนเซ๋าเฉินจะชนะแต่เขาย่อมไม่ยอมรามือเป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นคนหน้าเนื้อใจเสือและเหลี่ยมจัด เรื่องการใช้กลอุบายในสนามมิมีผู้ใดเทียบได้ เจ้า…”
ซูเช่อสูดหายใจเข้าลึกๆ เกลี้ยกล่อมนางราวกับเป็นเด็กคนหนึ่ง “ข้าสามารถพาเจ้าไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยได้ พวกเราออกจากเมืองหลวงกันเถอะ เจ้าวางใจได้ครอบครัวของเจ้าที่เจ้าเป็นห่วง ข้าจะจัดการดูแลให้อย่างดีแทนเจ้าเอง ออกไปจากสถานที่อันแสนวุ่นวายแห่งนี้กับข้าเถอะ นะ?”
แสงจันทร์ทะลุผ่านยอดไม้ลงมาบนใบหน้าของซูเช่อราวกับแสงนั้นปกคลุมไปทั่วร่างของเขา ซูเช่อเดิมก็หล่อเหล่าอยู่แล้วเสียงก็ไพเราะเป็นอย่างมากเช่นกัน ยามที่พูดอย่างอบอุ่นเช่นนี้กับนางก็ทำให้คนรู้สึกมีความสุขอย่างถึงที่สุด ทำให้ในชั่วขณะนั้นหลิงมู่เอ๋อร์อยากจะหาทางประนีประนอม
“แต่ในฟ้ากว้างแผ่นดินใหญ่เช่นนี้ข้าจะสามารถไปที่ไหนได้เล่า?” นางถามซูเช่อราวกับกำลังถามตัวเอง
“ท่านเดาถูกแล้วอามู่เต๋อต้องการล่วงรู้ความลับของข้า ดังนั้นจึงเดินทางมาไกลนับพันลี้มายอมจำนนเพื่อแลกกับตัวข้า เพราะเหตุนี้แม้ข้าจะออกจากเมืองหลวงไปเขาย่อมต้องไล่ตามไปแน่นอน เขาชั่วร้ายเป็นอย่างมาก หากไม่ได้ก็จะไม่รามือเด็ดขาด ท่านสามารถปกป้องข้าได้เป็นระยะเวลาหนึ่งแต่จะปกป้องข้าไปทั้งชีวิตได้หรือ?”
“ข้า…” ซูเช่ออยากบอกว่าข้าทำได้
แต่กลับถูกหลิงมู่เอ๋อร์ขัดเสียก่อน “ข้าไม่ต้องการชีวิตที่ต้องหลีกหนี ข้าชอบความสงบสุข ข้าไม่อยากเฝ้าระวังใครอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันโดยที่รู้สึกอกสั่นขวัญแขวน ข้าต้องการจัดการเขาให้ถึงที่สุด”
ซูเช่อเปิดปากสุดท้ายก็ล้มเลิกที่จะเกลี้ยกล่อม “ช่างเถิด หากเจ้าเป็นคนที่เจอปัญหาใดแล้วยอมแพ้วิ่งหนีก็คงไม่ใช่เจ้าแล้ว”
เขาลูบผมนางอย่างอ่อนโยน “ข้าส่งคนไปจับตาดูอามู่เต๋อแล้ว ไม่ว่าเขาจะทำอันใดก็ไม่อาจหลบเลี่ยงสายตาข้าได้ การประลองถูกกำหนดไว้ในอีกห้าวัน ในห้าวันนี้เขาต้องลงมือทำอันใดเป็นแน่ เจ้าจำไว้ว่าเมื่อใดที่ตกอยู่ในอันตรายให้ส่งคนมาบอกข้าทันที”
“ได้” หลิงมู่เอ๋อร์ตอบกลับอย่างตรงไปตรงมาเพราะนี่คือสิ่งที่นางกังวลเช่นกัน
หลังจากมองส่งซูเช่อ หลิงมู่เอ๋อร์ก็กำลังคิดจะลุกขึ้นเข้าไปหาของกินในครัวเล็ก แต่หลิงจือเซวียนกลับยืนอยู่ใต้ต้นไม้ซึ่งดูเหมือนจะรอนางอยู่นานมาแล้ว
นางยิ้มหน้าเหยเก “ท่านพี่…”
“เจ้ายังรู้ว่าข้าเป็นพี่เจ้าอยู่หรือ?” ใบหน้าของหลิงจือเซวียนมีความเป็นห่วงเหมือนกับซูเช่อ
เขาก้าวเดินเข้าไปหานางก่อนจะนั่งลงข้างนางเรียบร้อย ตรวจอุณหภูมิร่างกายของนางแล้วพบว่าเย็นอยู่บ้าง เขาถอดเสื้อคลุมบนร่างมาคลุมไว้บนร่างของนาง “มู่เอ๋อร์ ที่เสียนหวางพูดก็ถูก ไม่สู้เจ้าออกไปจากเมืองหลวงจะดีกว่ากระมัง”
เขาพูดเข้าประเด็นน้ำด้วยเสียงเด็ดเดี่ยวเป็นอย่างยิ่ง ราวกับคิดเส้นทางหลบหนีไว้เพื่อนางอย่างดีแล้ว
“ได้ ข้าจะไปก็ได้ แต่เช่นนั้นท่านพ่อท่านแม่เล่า ท่านยายท่านลุงเล่า พวกเขาอายุมากแล้วต้องมาใช้ชีวิตหลบหนีไปกับข้าอีกหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์เอียงศีรษะถามกลับ “หากยามนี้ข้าหนีไปอามู่เต๋อในฐานะองค์ชายรองต้องไปทูลกับฝ่าบาทว่าต้องการคนเป็นแน่ เช่นนั้นข้าที่กลัวจนหลบหนีไปจะต่างอันใดกับอาชญากรที่หลบหนีความผิดเล่า? ข้าคนเดียวไม่ว่าที่ใดก็ล้วนใช้ชีวิตอยู่ได้ แต่ท่านพ่อท่านแม่ท่านยายและท่านลุงจะรับความเจ็บปวดเช่นนี้ได้หรือ? แล้วท่านกับพี่สะใภ้เล่าจะรับผลที่ตามมาหลังจากข้าหนีไปได้หรือ?”
นางพิงศีรษะลงบนไหล่ของหลิงจือเซวียนอย่างแผ่วเบา “พี่สะใภ้ใกล้คลอดแล้วแม้ท่านจะทนได้แต่พี่สะใภ้จะทนได้หรือ? อาจพูดได้ว่าท่านมีวิธีจัดการแต่ท่านจะอธิบายกับเจาหยางอย่างไรเล่า?”
หลิงมู่เอ๋อร์ฝืนยิ้ม “เจาหยางมีฐานะเป็นจวิ้นจู่ ตั้งแต่เด็กเคยชินกับเสื้อผ้าเนื้อดีอาหารชั้นเลิศ หากวิถีชีวิตต้องมาเปลี่ยนแปลงเพราะข้าในใจย่อมรู้สึกลำบากใจ ยังมีจวนหนิงกั๋วโหวอีก แม่บุญธรรมปฏิบัติต่อข้าอย่างดีข้าจะตอบแทนพวกเขาด้วยการวิ่งหนีได้อย่างไร? หากจู่ๆ ข้าหายตัวไปแคว้นซีอวี้ต้องใช้กำลังทหารเข้ากดดันฝ่าบาทแน่ แล้วฝ่าบาทย่อมลงโทษทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้า ท่านพี่ท่านคิดว่าข้าหนีไปได้จริงหรือเจ้าคะ?”
เขาไม่กล้าสบสายตาหลิงมู่เอ๋อร์ ยามที่หลิงจือเซวียนได้ยินคำพูดนี้ตัวก็สั่นเทาเล็กน้อยอยู่ตลอด เขาหลับตาทั้งสองข้างก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครา ดวงตาที่เปียกชื้นกลับไม่ยอมให้น้ำตาไหลลงมาอย่างดื้อดึง
“เป็นพี่ไร้ความสามารถเอง” เขาตัวสั่นเอามือโอบไหล่นางไว้แน่น “เดิมข้าคิดว่าสถานะเปลี่ยนไปแล้วจะสามารถปกป้องเจ้าได้ แต่คิดไม่ถึงว่าเป็นการนำพาภาระใหญ่หลวงมาให้เจ้า หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้…”
“ไม่มีหากรู้!” หลิงมู่เอ๋อร์ขัดจังหวะไม่ให้เขาเปิดปากพูดอย่างเย็นชา “ท่านพี่อย่าตำหนิตัวเองเพราะข้า ท่านมิได้ทำผิด”
“แต่ข้าเป็นพี่ชายของเจ้าทว่าทั้งชีวิตกลับต้องให้เจ้ามาปกป้องข้าตลอด เป็นข้าที่ไม่อาจทำหน้าที่พี่ชายให้ดีได้!” หลิงจือเซวียนโกรธเป็นอย่างมาก อย่างน้อยที่สุดหลิงมู่เอ๋อร์ก็ยังไม่เคยเห็นเขามีท่าทางเช่นนี้
ดูราวกับท้องฟ้าจะพังทลายลงมาโดยพลัน
“ท่านพี่ท่านเชื่อใจมู่เอ๋อร์หรือไม่?”
หลิงมู่เอ๋อร์อยู่ในอ้อมแขนของเขาเงยหน้ามองดวงดาราบนท้องฟ้า ทันใดนั้นก็นึกถึงยามที่เพิ่งมาถึงโลกนี้
ยามนั้นครอบครัวสิ้นไร้ไม้ตอก คนเหล่านั้นที่รังแกคนอื่นก็ชี้หน้าของนางด่าว่านางเป็นตัวซวย พี่ชายของนางก็เป็นคนขาพิการ ครอบครัวของพวกเขาเกือบตายอยู่ในซอกเขาอันยากไร้นั้น
แต่ในเวลาไม่กี่เดือนพวกเขาเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เข้ามาในเมือง ทั้งยังได้เข้ามาถึงเมืองหลวง
เชื่อว่าคนตระกูลหลิงให้ตายก็ไม่คาดคิดว่าพวกเขาจะกลายเป็นคนที่คนพวกนั้นไม่อาจเทียบได้ไปชั่วชีวิต นางเชื่อว่าความสุขนี้หาได้จะอยู่เพียงชั่วคราว
“แน่นอน” ในดวงตาของหลิงจือเซวียนเปล่งประกายด้วยความเลื่อมใสศรัทธาจริงๆ
“มู่เอ๋อร์ของข้าเป็นผู้ที่พี่ไม่อาจไล่ตามได้ทันมาโดยตลอด เจ้าเฉลียวฉลาดเด็ดขาดยอดเยี่ยม พี่เชื่อว่าเจ้าจะเป็นคนที่มีวาสนา”
“บังเอิญเสียจริงข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันเจ้าค่ะ!”
นางถอดเสื้อคลุมออกส่งคืนให้เขา “ตั้งแต่เด็กมู่เอ๋อร์ไม่ถูกกับความหนาวแล้วท่านพี่จะไม่เป็นเหมือนกันได้อย่างไร? แต่ท่านพี่ยอมทนหนาวเพื่อข้า มู่เอ๋อร์ก็เหมือนกันเจ้าค่ะ ดังนั้นเพื่อท่านพี่เพื่อคนในครอบครัวที่ข้ารักมู่เอ๋อร์จะปกป้องตัวเองให้ดีเข้าค่ะ”
“แต่หากองค์ชายรองแพ้เจ้าต้อง…”
“เขาไม่มีทางแพ้เจ้าค่ะ!” หลิงมู่เอ๋อร์ตอบกลับอย่างหนักแน่นเป็นอย่างมาก “เขาจะปกป้องข้าได้ข้าเชื่อในตัวเขาเจ้าค่ะ!”
“เช่นนั้นหาก…”
“ไม่มีหากเจ้าค่ะ!” หลิงมู่เอ๋อร์ชิงตัดบท เห็นหลิงจือเซวียนยังต้องการพูดอันใดนางก็กอดเขาออดอ้อนด้วยท่าทีน้อยใจ “ช่างเถิดท่านพี่ มู่เอ๋อร์หิวมากจริงๆ มู่เอ๋อร์ยังมิได้กินอันใดตั้งแต่บ่าย ท่านปล่อยให้ข้าไปกินอะไรเสียหน่อยดีหรือไม่?”
หาได้ยากที่จะเห็นนางมาอ้อนตัวเอง ดูเหมือนว่าตั้งแต่นางเริ่มช่วยค้ำจุนครอบครัวก็ไม่เคยเห็นยามที่นางทำตัวเป็นเด็กสาวตัวน้อยเช่นนี้อีก
ถึงแม้หลิงจือเซวียนจะยังอยากพูดอันใดแต่กลับไม่อาจตัดใจเปิดปากพูดได้อีก “ได้ๆๆ มู่เอ๋อร์ของพวกเราหิวแล้ว เช่นนั้นพี่จะไปกินเป็นเพื่อน แต่เจ้าบอกข้าก่อนว่าวันนี้ช่วงบ่ายเจ้าไปที่ใดมา?”