เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 10 ตอนที่ 290 เดิมพัน
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 10 ตอนที่ 290 เดิมพัน
เล่มที่ 10 ตอนที่ 290 เดิมพัน
ซั่งกวนเซ่าเฉินยิ้มหยัน “ก่อนหน้านี้มู่เอ๋อร์ปฏิเสธการขอสมรสพระราชทานจากฝ่าบาทของเปิ่นหวางจื่อจริง แต่นางปฏิเสธเพียงตำแหน่งเช่อเฟยและในยามนี้นางก็ตกลงจะเป็นเจิ้งเฟยของข้าแล้ว ในเมื่อเป็นเจิ้งเฟยของข้าแล้วจะยกให้คนอื่นได้อย่างไร?”
มุมปากของอามู่เต๋อสั่นด้วยความโกรธ เขาหันไปมองฮ่องเต้ “เป็นไปไม่ได้ที่แคว้นเทียนเฉาจะไม่อาจส่งเพียงสตรีผู้หนึ่งมา คงเพียงแค่หาข้อแก้ตัวอันมักง่ายมาให้มากกว่ากระมัง”
เขาพ่นลมหายใจเย็นเฉียบออกมาจากจมูก “เพียงแค่สตรีผู้หนึ่งก็สามารถทำให้ความสัมพันธ์ทางการทูตของทั้งสองแคว้นมั่นคงได้ ในภายภาคหน้าเมื่อแคว้นซีอวี้และแคว้นเทียนเฉามีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ประชาชนก็จะมีบ้านให้พักพิงอย่างสงบมีงานให้ทำอย่างสุขใจไม่ต้องตกอยู่ในความทุกข์ทรมานอีก กระหม่อมเชื่อว่าราชวงศ์เทียนเฉาย่อมไม่ปล่อยโอกาสเช่นนี้ไปถูกต้องหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้ได้ยินก็ทุบกำปั้นบนโต๊ะอย่างแรง “ตกลงนี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินยังต้องการอธิบายแต่สายตาของฮ่องเต้กลับชี้ไปยังหลิงมู่เอ๋อร์ “เจ้าพูดมา”
หลิงมู่เอ๋อร์ส่งสายตาให้บุรุษข้างกายวางใจ ก่อนนางจะเดินออกมาจากด้านหลังของเขาอย่างสงบ นางยกมือที่ทั้งสองคนจับจูงกันอยู่ขึ้นมาต่อหน้าทุกคน “ทูลฝ่าบาทมู่เอ๋อร์กับองค์ชายรองเราสองคนรักกันเพคะ ก่อนเข้าวังหลวงได้ให้คำมั่นชั่วชีวิตต่อกันแล้ว มู่เอ๋อร์เป็นคนของเขาแล้วเพคะ”
ประโยคง่ายๆ ที่ว่า ‘คนของเขา’ ทำให้คนคิดทบทวนซ้ำๆ ซั่งกวนเซ่าเฉินมองหลิงมู่เอ๋อร์โดยพลัน แต่แม่นางน้อยข้างกายกลับมีสีหน้าแน่วแน่ นางยอมรับความสัมพันธ์ของพวกเขาแล้วจะมีอันใดที่เขาต้องอายด้วย?
เมื่อสบตากับหลิงมู่เอ๋อร์ ทั้งสองคนก็คุกเข่าลงเบื้องหน้าฮ่องเต้โดยพลัน ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวอย่างหนักแน่น “มู่เอ๋อร์จิตใจงดงามฉลาดเฉลียวใจกว้างอย่างพอเหมาะ ไม่เพียงแต่มีทักษะทางการแพทย์สูงส่งแต่ยังแก้ไขวิกฤตของแคว้นเทียนเฉาครั้งแล้วครั้งเล่าและได้รับหัวใจของกระหม่อมไป ขอเสด็จพ่อโปรดทรงมอบสมรสพระราชทานให้ลูกกับมู่เอ๋อร์ รับปากให้นางได้รับตำแหน่งเจิ้งเฟยขององค์ชายรองด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เหลวไหล!” ฮ่องเต้โกรธเกรี้ยวยิ่ง ลุกขึ้นยืนจากบัลลังก์มังกรโดยพลัน “เจ้าเป็นองค์ชายรองของราชวงศ์เทียน เป็นโอรสที่เจิ้นไว้ใจที่สุดจะตัดสินใจเรื่องที่มีผลทั้งชีวิตเอาเองตามอำเภอใจได้อย่างไร นางเป็นเพียงหญิงชาวบ้านที่ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์หรือเจ้ายังไม่เข้าใจ เห็นว่าเรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานเป็นเรื่องล้อเล่นหรือ!”
จำต้องยอมรับว่าหลังจากได้ยินคำพูดนี้ของฮ่องเต้ในใจหลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกหดหู่ยิ่ง แม้จะรู้มาตลอดว่าฮ่องเต้ไม่ชอบนางอย่างไร แต่หลายคราที่เรียกให้มาเข้าเฝ้าก็ให้ความสำคัญกับทักษะทางการแพทย์ซึ่งเป็นแนวคิดที่แปลกใหม่แตกต่างจากคนทั่วไป ทว่าเขาก็เตือนนางไว้นานแล้วเช่นกันว่าไม่อนุญาตให้โอรสของเขาไปมาหาสู่กับประชาชนคนธรรมดา แต่การที่คนสองคนรักกันมันผิดหรือ? ฮ่องเต้ต้องการแยกคู่รักออกจากกันหรือ?
“ดูเหมือนฝ่าบาทจะไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานของพวกเจ้า” อารมณ์ของอามู่เต๋อดีขึ้นเป็นอย่างยิ่งโดยพลัน
เขาเดินไปตรงหน้าหลิงมู่เอ๋อร์ย่อตัวลงไปมองนางอย่างสนใจ “ข้าว่าเจ้าควรมากับข้า ที่แคว้นซีอวี้ของพวกเราหาได้มีการแบ่งแยกสถานะอันใดทั้งยังไม่ต้องตบแต่งกันตามสถานะที่เหมาะสม ข้าจะดีต่อเจ้าให้มากๆ เจ้าจะได้อยู่ในสถานะเจิ้งเฟยขององค์ชายรองเหมือนกัน ในยามนี้การตัดสินเล็กๆ อย่างเดียวนี้จะสามารถกำหนดความสัมพันธ์ในอนาคตของทั้งสองแคว้นได้ เจ้าต้องตั้งใจพิจารณาหน่อยมิใช่หรือ?”
พูดจบอามู่เต๋อก็ยกมุมปากขึ้นก่อนจะลุกขึ้นด้วยท่าทางราวกับมีชัยชนะอยู่ในกำมือ
ซั่งกวนเซ่าเฉินถูกคำพูดนี้ของเขาทำให้เดือดดาลก่อนจะมองไปยังฮ่องเต้ “ลูกหาได้เคยคิดว่าเรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานเป็นเรื่องล้อเล่นพ่ะย่ะค่ะ ลูกจะชอบคนผู้หนึ่งแต่ไหนแต่ไรก็มิใช่เพราะภูมิหลังหรือฐานะทางสังคม มู่เอ๋อร์จิตใจดีมีไหวพริบใจกว้างทั้งยังช่วยกระหม่อมจากอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า แม้นางจะเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาแต่นางก็ล้วนสูงส่งกว่าสตรีสูงศักดิ์คนใด กระหม่อมชอบนางอยากให้ทุกสิ่งที่ดีที่สุดกับนาง นี่เป็นสิ่งที่กระหม่อมเคยรับปากนางแล้ว ในฐานะผู้สืบเชื้อสายราชวงศ์จะไม่รักษาสัจจะได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ!”
มองอามู่เต๋ออีกคราสายตาของซั่งกวนเซ่าเฉินแฝงไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้าย “หากต้องเสียสละสตรีผู้หนึ่งแลกกับความสงบสุขของทั้งสองแคว้น เช่นนั้นราชวงศ์เทียนของข้ายอมใช้แสนยานุภาพเพื่อพิสูจน์ความแข็งแกร่งของแคว้นเทียนเฉา ไม่ทราบว่าองค์ชายรองแคว้นซีอวี้คิดเห็นเช่นไร?”
เห็นได้ชัดว่าอามู่เต๋อคาดไม่ถึงว่าเขาจะพูดเช่นนี้ อารมณ์อันดีเมื่อครู่หายไปราวกับฟองอากาศในทะเลอีกครา “ความหมายขององค์ชายรองแคว้นเทียนเฉาคือไม่คิดจะเจรจาสงบศึกกับแคว้นซีอวี้ และต้องการก่อสงครามอีกคราหรือ?”
เขามีสายตาชั่วร้ายคำที่พูดออกมายิ่งชั่วร้ายอย่างถึงที่สุด “เพื่อสตรีผู้เดียวแคว้นเทียนเฉาถึงกับยินดีก่อสงครามกับแคว้นซีอวี้ ให้เหล่าราษฎรต้องใช้ชีวิตทุกวันราวกับตกนรกทั้งเป็น และไม่คำนึงถึงเหล่าทหาร แคว้นเทียนเฉาแน่ใจหรือว่าต้องการทำเช่นนี้?”
“พอแล้ว!”
เสียงอันเย็นชาของฮ่องเต้ขัดจังหวะคำพูดของทั้งสองคน เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ยามที่ลืมตาอีกคราในก้นบึ้งของดวงตาฉายแววแปรปรวนอย่างจนปัญญา
เดิมทีเรื่องของหวางโฮ่วก็ทำให้เขาเสียใจมากพออยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันได้ฟื้นฟูสภาพจิตใจก็ยังมาเกิดเรื่องนี้ขึ้นอีก เขารู้สึกราวกับแก่ขึ้นอีกสิบกว่าปีโดยพลัน
“แคว้นเทียนเฉาและแคว้นซีอวี้สร้างสัมพันธไมตรีขึ้นมานี่เป็นเรื่องของทั้งสองแคว้น อีกทั้งพวกเราก็ตกลงกันว่าจะไม่ก่อสงครามไปก่อนหน้านี้แล้ว ถึงขั้นที่ตอบรับคำขอที่จะส่งองค์หญิงองค์หนึ่งมาและให้ส่งสตรีนางหนึ่งกลับไป เรื่องผู้ที่จะได้รับเลือกไม่สู้พวกเราหารือกันอย่างละเอียดเสียหน่อยจะดีกว่า”
เพราะฮ่องเต้หาได้รับปากซั่งกวนเซ่าเฉิน ทั้งยังมิได้ตอบรับอามู่เต๋อทำให้มองไม่ออกว่าเขามีแผนอันใด
แต่อามู่เต๋อไม่เห็นด้วย “กระหม่อมต้องการเพียงหลิงมู่เอ๋อร์ ขอกล่าวตามตรงว่ากระหม่อมตกหลุมรักนางตั้งแต่แรกเห็นในสนามรบ เพื่อนางแล้วแคว้นซีอวี้ของกระหม่อมจึงยอมจำนน เอาอย่างนี้เถิดพวกเรายังมิรู้ผลแพ้ชนะในสงคราม ไม่สู้ให้มาแข่งกันบนเวทีประลองสู้กันให้รู้ผลแพ้ชนะจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ หากกระหม่อมชนะนางเป็นของกระหม่อม หากกระหม่อมแพ้กระหม่อมจะไม่มาข้องเกี่ยวด้วยอีก”
อามู่เต๋อเริ่มออกความเห็นก่อน เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวมาแล้ว
เขาสองคนเป็นคู่ต่อสู้ที่ปะทะกันในสนามรบซึ่งผลลัพธ์มิได้เหมือนบนเวทีประลอง แต่เขายืนกรานเช่นนี้ไม่รู้ว่าดีดลูกคิดรางแก้วอันใดไว้เบื้องหลัง
“ข้าไม่เห็นด้วย!” ท่าทางของซั่งกวนเซ่าเฉินเด็ดเดี่ยวยิ่ง เขามองหลิงมู่เอ๋อร์ในก้นบึ้งของแววตามีความอบอุ่นสายหนึ่ง “มู่เอ๋อร์เป็นผู้หญิงของข้านางหาใช่สิ่งของไม่ และยิ่งมิใช่สิ่งที่จะเอามาโต้แย้งกันของเจ้ากับข้า นางเป็นมนุษย์มีชีวิตมีอิสระและสิทธิมนุษยชน นางหาได้เป็นของพวกเราคนใด ไม่ว่าเจ้าหรือข้าจะชนะต่อหน้าธารกำนัล แต่จะมีสิทธิ์อันใดมาพานางไป?”
การให้เกียรติเช่นนี้ของซั่งกวนเซ่าเฉินทำให้หลิงมู่เอ๋อร์ประทับใจเป็นอย่างยิ่ง
อามู่เต๋อกลับมีโทสะเป็นอย่างมาก “แคว้นซีอวี้ของข้ายินยอมที่จะจ่ายค่าแลกเปลี่ยนเพื่อสันติภาพ แต่แคว้นเทียนเฉาของพวกเจ้ากลับไม่แม้แต่จะให้สตรีผู้หนึ่ง ไม่มีความจริงใจเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเรายังต้องพูดคุยอันใดกันอีก? รอให้ทั้งสองแคว้นก่อสงครามกันอีกคราเถอะ!”
พูดจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อคิดจะออกไปด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่หลิงมู่เอ๋อร์กลับขวางทางเขาเอาไว้
“เขาจะแข่งกับท่าน” คำพูดสั้นๆ ที่เรียบง่ายและสุภาพ หลิงมู่เอ๋อร์เงยหน้าสบตาอามู่เต๋อ เห็นรอยยิ้มยามที่แผนชั่วสำเร็จในแววตาของอามู่เต๋อ แม้จะรู้ว่านี่เป็นอุบายยั่วโทสะของเขาแต่นางก็ยังพยักหน้า “แคว้นเทียนเฉาก็มีความจริงใจเช่นกัน แต่ในเมื่อองค์ชายรองแห่งแคว้นซีอวี้อยากพิสูจน์ด้วยวิธีเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเราก็มาแข่งกันเป็นอย่างไรเพคะ?”
“มู่เอ๋อร์!” ซั่งกวนเซ่าเฉินร้อนรนรีบปกป้องนางไว้ข้างหลังและกล่าวอย่างใช้อำนาจ “ข้าไม่ให้เจ้ามาเป็นของเดิมพัน และไม่อนุญาตให้เจ้ามามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้”
หลิงมู่เอ๋อร์กลับจับข้อมือของเขาไว้ มองเขาด้วยสายตาอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง “ไม่ใช่ว่าจะเอาชนะไม่ได้เสียหน่อยจะกลัวอันใดเพคะ? องค์ชายรองแคว้นซีอวี้มีอารมณ์สุนทรีย์เช่นนี้ พวกเรามีสิทธิ์ที่จะเล่นเป็นเพื่อนเขาเพคะ”
พูดจบนางก็หันไปมองอามู่เต๋อ “หวังว่าองค์ชายรองแคว้นซีอวี้จะยอมรับความพ่ายแพ้และทำตามที่พูดนะเพคะ”
“แน่นอน!” อามู่เต๋อกัดฟันพยายามข่มความโกรธเกรี้ยวสูงเทียมฟ้าในใจไม่ให้ปะทุออกมา
ยามที่ซั่งกวนเซ่าเฉินจะแสดงความไม่เห็นด้วย หลิงมู่เอ๋อร์ก็ฉวยโอกาสตกลงไปแล้ว เดิมทีเขาคิดว่าสตรีผู้นี้ยังต้องการพูดอันใดให้จับใจเพื่อโน้มน้าวเขา คาดไม่ถึงว่ากลับมีท่าทางไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเช่นนี้
“เจ้ารอหลังจากเขาแพ้แล้วกลับไปแคว้นซีอวี้กับข้าได้เลย!”
อามู่เต๋อสะบัดแขนเสื้อออกไปอย่างโกรธเกรี้ยว
“มู่เอ๋อร์เหตุใดเจ้าต้องตอบรับเขาด้วย?” ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่ง “เจ้าเป็นผู้หญิงของข้าข้าสามารถปกป้องเจ้าได้ ที่นี่เป็นแคว้นเทียนเฉาไม่อาจทำชั่วอย่างเปิดเผยไร้ความยำเกรงตามใจได้ เริ่มสงครามอีกคราไปเสียเถอะครั้งนี้ข้าจะทำให้เขาพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์ ดูเอาเถอะว่าเขาจะยังกล้ามาโอ้อวดศักดาที่แคว้นเทียนเฉาหรือไม่”
หลิงมู่เอ๋อร์รีบปลอบโยนเขา “แต่ข้าตอบรับไปแล้ว หรือต้องให้เขามีเหตุผลมาพูดว่าแคว้นเทียนเฉาไม่รักษาคำพูดอีก? เขามีท่าทีไม่เห็นองค์ชายรองแคว้นเทียนเฉาในสายตาเช่นนี้ เช่นนั้นท่านก็ไปทำลายศักดิ์ศรีของเขาเสีย ให้เขาได้รู้ว่าสุดท้ายแล้วใครคือผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง!”
แม้นางจะพูดเช่นนี้แต่ในใจก็หาได้มีความสุขนัก
แน่นอนว่านางไม่ชอบการเดิมพัน การปฏิบัติเช่นนี้ของอามู่เต๋อก็ทำราวกับนางมิใช่มนุษย์ แต่หากนางไม่ตอบรับอาจทำให้เกิดสงครามระหว่างสองแคว้นขึ้นจริงๆ มันจะกลายเป็นบาปที่นางจดจำไปชั่วชีวิต
นางไม่อยากให้พี่ใหญ่ต้องลำบากใจ นางสามารถจินตนาการได้อย่างสมบูรณ์เลยว่าหากเมื่อครู่นางไม่เข้าร่วมการสนทนาด้วยพี่ใหญ่จะพูดอันใดออกมา เขาจะต้องใช้สถานะองค์ชายวางอำนาจกดดันฮ่องเต้ไม่ให้รับคำเป็นแน่ เช่นนั้นเมื่อถึงยามที่ทั้งสองฝ่ายตกลงสู่ทางตันฮ่องเต้จะทำเช่นไร อามู่เต๋อจะทำเช่นไร ทุกคนล้วนไม่อาจคาดเดาได้
แทนที่จะให้อันตรายที่ไม่อาจล่วงรู้เข้ามาใกล้ ไม่สู้กำจัดอันตรายนั้นก่อนที่มันจะมาถึงจะดีกว่า!
“ข้าเชื่อว่าท่านไม่มีทางแพ้”
หลิงมู่เอ๋อร์หันกลับไปมองบุรุษที่จมลงไปในความคิดมาตลอดซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร “ฝ่าบาทเพคะ ในเมื่อตัดสินใจเดิมพันแล้วเช่นนั้นฝ่าบาททรงกำหนดวันเวลาเถิดเพคะ ฝ่าบาทโปรดวางใจมู่เอ๋อร์ย่อมรู้จักยอมรับความพ่ายแพ้ แต่แน่นอนว่าหากองค์ชายรองชนะขอฝ่าบาททรงยินยอมเรื่องงานแต่งของพวกเราด้วยเถิดเพคะ”
หญิงชาวบ้านคุกเข่าลงเบื้องหน้าเขา ขอร้องให้เขายินยอมให้นางตบแต่งให้โอรสที่เขารักและไว้ใจมากที่สุด
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วมุ่น “เจ้าไม่คิดหรือว่าหากเฉินเอ๋อร์แพ้แล้วเจ้าจะต้องไปตบแต่งที่แคว้นซีอวี้”
“เขาจะไม่แพ้เพคะ” หลิงมู่เอ๋อร์แน่วแน่เป็นอย่างยิ่ง “บางทีอามู่เต๋อผู้นั้นอาจใช้อุบายต่ำช้าแต่หม่อมฉันเชื่อในตัวเขาว่าจะไม่แพ้แน่นอนเพคะ”
“เจ้าช่างมั่นใจเสียเหลือเกิน” ฮ่องเต้ยิ้มเย็น “แต่หากชนะเดิมพันนี้ก็แค่สามารถเลือกได้ว่าเจ้าจะอยู่หรือไป เหตุใดเจิ้นต้องยินยอมเรื่องการแต่งงานของพวกเจ้าด้วย? อย่าลืมว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนเจ้าเพิ่งจะปฏิเสธการขอสมรสพระราชทานของเฉินเอ๋อร์ ข้าจำได้ว่ายามนั้นเจ้าบอกว่าจะไม่ตบแต่งกับองค์ชายรองเด็ดขาด เช่นนั้นในเมื่อเจ้าปฏิเสธเขาตั้งแต่แรกมายามนี้ก็ไม่ควรมายุ่งเกี่ยวกับเขาอีก!”
สุดท้ายฮ่องเต้ก็ไม่เห็นด้วย
“เสด็จพ่อ!” ซั่งกวนเซ่าเฉินรู้สึกโกรธอยู่บ้าง เขาจับหลิงมู่เอ๋อร์ไว้ บนใบหน้าราวกับมีคำว่า ‘ไม่ใช่นางไม่แต่ง’ เขียนไว้อยู่
หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่าเหตุใดฮ่องเต้จึงไม่เห็นด้วย เป็นเพราะสถานะของนาง นางเป็นหญิงชาวบ้านแม้จะยื่นมือไปช่วยเหลือชาวบ้านธรรมดาทั้งยังมีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม แต่นางก็ไม่อาจช่วยเหลือซั่งกวนเซ่าเฉินอยู่เบื้องหลังได้แม้แต่น้อย
ฮ่องเต้รักและเชื่อใจเขามากที่สุดเก้าในสิบส่วนของบัลลังก์ในอนาคตก็จะถูกส่งต่อให้เขา หากเขาได้นั่งบัลลังก์จริงๆ แต่หวางโฮ่วกลับมีสถานะต่ำต้อยเช่นนี้ก็ยากที่จะได้รับการเคารพนับถือ
แต่ที่นางบอกว่านางเป็นคนของเขาแล้วคำพูดนี้หาใช่คำพูดเลื่อนลอย
“ไม่ทราบฝ่าบาททรงจำได้หรือไม่เพคะว่าพระองค์เคยรับปากเรื่องหนึ่งกับหม่อมฉันไว้ ว่าไม่ว่าเรื่องใดที่หม่อมฉันต้องการก็จะยินยอมทั้งหมด?”
ฮ่องเต้รู้นานแล้วว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้ “คำขอนั้นที่เจ้าต้องการคือการกำจัดอามู่เต๋อหรือ?”
“ไม่ใช่เพคะ แต่หากองค์ชายรองประลองกับอามู่เต๋อแล้วเอาชนะจนแก้ไขปัญหาได้แล้ว หม่อมฉันต้องการเพียงให้ฝ่าบาทรับปากหม่อมฉัน ว่าจะไม่ขัดขวางการตัดสินใจทั้งหมดในอนาคตของหม่อมฉันเพคะ”