เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 10 ตอนที่ 283 อุณหภูมิสูงขึ้น
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 10 ตอนที่ 283 อุณหภูมิสูงขึ้น
เล่มที่ 10 ตอนที่ 283 อุณหภูมิสูงขึ้น
เช้าวันรุ่งขึ้นรถม้าของซั่งกวนเซ่าเฉินก็มาหยุดอยู่หน้าประตูจวนสกุลหลิง เพื่อรับหลิงมู่เอ๋อร์เข้าวังหลวง
เดิมทีคิดว่าเป็นเพียงรถม้าอย่างเดียว หลิงมู่เอ๋อร์คาดไม่ถึงว่าเมื่อแยกม่านของรถม้าเข้าไปนั่งจะเห็นคนด้านในจนทำให้ตกใจ “เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่?”
“รถม้าของข้าเหตุใดข้าจะนั่งไม่ได้เล่า?” หลังซั่งกวนเซ่าเฉินถามก็ตบที่นั่งข้างกายแสดงท่าทีให้นางนั่งลง
หลิงมู่เอ๋อร์เบะปากไม่เพียงแต่ไม่นั่งตรงนั้น ทว่ายังไปนั่งอยู่ตรงข้ามเขาด้วยระยะห่างที่ไกลที่สุด “เหตุใดก่อนหน้านี้ท่านจึงไม่บอกว่านั่งรถม้ามาด้วยเล่า?”
“หากบอกไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้เจ้าจะออกมาก่อนเวลาหรือ?” ในเมื่อนางไม่มาเช่นนั้นเขาจึงไปนั่งเองเรียบร้อย แม้จะนั่งหันหลังในการเดินทางจนทำให้เวียนหัวตาลายอยู่บ้าง
เห็นเขาเข้ามาใกล้หลิงมู่เอ๋อร์ก็ย้ายไปอยู่ตำแหน่งเฉียงจากเขา คาดไม่ถึงว่าซั่งกวนเซ่าเฉินจะตามมานั่งใกล้ๆ นางย้ายที่นั่งอีกคราเขาก็ยังย้ายตามมานั่งใกล้ๆ อีกครั้งถึงขั้นเอาหัวมาซบบนไหล่ของนาง “อย่าขยับ ข้าไปนั่งฝั่งตรงข้ามมาแล้วรู้สึกเวียนหัวตอนนี้รู้สึกไม่ค่อยดี”
ซั่งกวนเซ่าเฉินชี้มาที่ศีรษะของตัวเอง หลับตาลงพิงร่างของนางเพื่อพักผ่อน
หลิงมู่เอ๋อร์คิดอยากจะผลักเขาออก ยามที่ก้มหน้าไปเห็นใบหน้าซีดเซียวของเขานางก็ตัดใจทำไม่ลงโดยพลัน
หนึ่งชั่วยามก่อนมีคนมาแจ้งว่ารถม้าขององค์ชายรองมาถึงหน้าประตูจวนแล้ว ในยามนั้นนางกำลังทานข้าวกับท่านพ่อท่านแม่ ตั้งแต่กลับมาจากกองทัพนางได้ทานข้าวร่วมกับครอบครัวน้อยมากจึงไม่ได้รีบออกมา
หลังกินข้าวเสร็จท่านพ่อกับท่านลุงก็เอาบัญชีของร้านอาหารทั้งสองแห่งมาให้นาง เดิมทีนางไม่ได้คิดจะเปิดดู แม้นางจะชอบเงินแต่ในใจนางได้ส่งร้านอาหารให้ท่านลุงไปนานแล้ว ภัตตาคารอาหารตะวันตกกลายเป็นทรัพย์สินของท่านพ่อนานแล้ว นางดูแลแค่ร้านอาหารเท่านั้น แต่ท่านพ่อกลับยืนกรานให้นางดูเสียหน่อย นางดูท่าแล้วว่าคงไม่อาจเปลี่ยนความคิดคนได้จึงทำตามที่อีกฝ่ายต้องการ แค่คาดไม่ถึงว่าไปๆ มาๆ จะเสียเวลาไปมากถึงเพียงนี้
แน่นอนว่าหากนางรู้ว่าในรถม้ามีเขาอยู่ ทั้งครอบครัวย่อมไม่กล้าให้องค์ชายรอ
หลิงมู่เอ๋อร์ลองทดสอบแตะไปที่หน้าผากของเขาอย่างระมัดระวัง ก็พบว่าเย็นจนน่ากลัว “ข้างนอกอากาศเย็นมากข้าไม่ออกมาท่านก็ไม่รู้จักส่งคนไปแจ้งข่าวเสียหน่อยเลย คงไม่กลัวตัวเองกลายเป็นก้อนน้ำแข็งด้วยกระมัง”
แม้นางจะพูดเช่นนี้แต่ก็ยังฉวยโอกาสยามที่เขาไม่ทันระวัง ยัดยาลูกกลอนเข้าปากเขาไปเม็ดหนึ่ง
ซั่งกวนเซ่าเฉินเป็นเพราะดวงตาปิดอยู่จึงรู้สึกถึงมือนุ่มนวลที่จู่โจมเข้ามาข้างหนึ่ง เขาเปิดปากตามสัญชาตญาณคาดไม่ถึงว่าลูกกลอนรสขมปร่าจะถูกยัดเข้ามา
เขาเงยศีรษะขึ้นทันที “เจ้าป้อนอะไรให้ข้ากิน?”
“ยาพิษ พิษแรงทำท่านถึงตาย” หลิงมู่เอ๋อร์บุ้ยปากมองไปรอบด้าน “เหตุใดรถม้าขององค์ชายจึงไม่มีเตาอุ่น ดูแล้วท่านช่างเหมือนเป็นองค์ชายที่ยากจนจริงๆ”
ซั่งกวนเซ่าเฉินแทบจะถูกคำพูดนี้ของนางทำให้สำลัก เขายากจนหรือ?
ในโลกนี้หากเขารวยเป็นอันดับสองย่อมมิมีผู้ใดกล้าเป็นอันดับหนึ่งอย่างแน่นอน
ช่างเถิด ยังไม่จำเป็นต้องพูดออกมาให้นางตกใจ
“แต่ไหนแต่ไรข้าก็มิได้ใช้เตาอุ่นจึงไม่ได้เอามาด้วย แต่เจ้าวางใจเถิดครั้งหน้ารถม้าของข้าที่เจ้านั่งข้างในจะต้องอบอุ่นไม่ทำให้เจ้าหนาวเด็ดขาด” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวทั้งยังชี้ไปที่กล่องยาของนาง “ยาพิษที่ป้อนข้าเมื่อครู่ยังมีอีกหรือไม่?”
“ทำไม?” มิเคยเห็นผู้ใดชอบกินยาพิษมาก่อน หลิงมู่เอ๋อร์เหลือบมองเขาด้วยความโกรธ
“หากมีอีกเจ้าก็กินด้วยกันสิ ได้ยินว่าเหล่าสตรีล้วนไม่ถูกกับความหนาว” เขาพูดก่อนที่ฝ่ามืออบอุ่นจะกอบกุมฝ่ามือเล็กๆ ของนางเอาไว้ภายใน บางทีมือของนางอาจเย็นเกินไปเขาจึงสั่นเทา “เหตุใดจึงเย็นเช่นนี้? เจ้าหนาวมากหรือ?”
ไม่รอให้หลิงมู่เอ๋อร์ตอบ ซั่งกวนซ่าเฉินก็ถอดเสื้อคลุมมาคลุมบนร่างของนาง หากเป็นไปได้เขาก็แทบทนไม่ไหวอยากจะถอดเสื้อผ้าทั้งหมดไปสวมให้นาง
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้ปฏิเสธ
“อืม ปกติข้าไม่ถูกกับอากาศหนาว แต่ท่านรู้ได้อย่างไรว่านั่นไม่ใช่ยาพิษ?”
เสื้อคลุมบนร่างมีกลิ่นอายของเขาเมื่อพาดไว้บนร่างทำให้รู้สึกปลอดภัยยิ่ง ไม่เพียงแต่ทั้งร่างกายรู้สึกอบอุ่น ในใจก็ยังกลายเป็นความหวานล้ำ หลิงมู่เอ๋อร์ไม่คิดจะเอาเสื้อคลุมคืนเขา
“ข้ารออยู่ในรถม้ามากว่าครึ่งชั่วยาม เป็นธรรมดาที่เจ้าจะห่วงว่าข้าอาจเป็นไข้หวัดดังนั้นเมื่อครู่จึงป้อนยาให้ข้า หากมันเป็นยาพิษจริงเหตุใดเจ้าต้องทำอันใดมากมายเช่นนี้ แค่ปล่อยให้ข้าหนาวตายก็พอแล้ว” ใบหน้าเย่อหยิ่งของซั่งกวนเซ่าเฉินมองไปทางนาง สายตานั้นราวกับจะบอกว่า ‘เจ้าดูเถิดข้าฉลาดทีเดียว’
“เหอะ” หลิงมู่เอ๋อร์พ่นลมหายใจเย็นชาออกมาทางจมูกเสียงหนึ่ง
นางไม่คิดจะวกเข้าประเด็นอันไร้ประโยชน์แล้วกวนใจเขามากนัก “หวางโฮ่วนอกจากพิษจากหญ้าไส้ขาดแล้วยังตรวจพบว่าได้รับพิษอีกชนิดหนึ่งด้วย มันชื่อว่าเทียนหมา พิษชนิดนี้หายากเช่นเดียวกันยิ่งไปกว่านั้นยังมีฤทธิ์รุนแรง หากได้รับพิษไปหลังจากสิบชั่วยามมันจะค่อยๆ ออกฤทธิ์ ผู้ที่ได้รับพิษจะเจ็บปวดจนทนไม่ไหวสุดท้ายจะมีอาการป่วยราวกับตายไปแล้ว แต่น่าเสียดายที่หลังจากนั้นยังถูกพิษจากหญ้าไส้ขาดด้วย เมื่อพิษทั้งสองผสมเข้าด้วยกันก็ส่งผลกระทบต่อกัน ส่งผลให้นางที่ได้รับพิษโดยตรงหมดสติไปอย่างที่ทุกคนเห็น”
ได้ยินนางอธิบายสีหน้านิ่งเฉยของซั่งกวนเซ่าเฉินก็เปลี่ยนไปทันที “หากเป็นไปตามที่เจ้าคาดเดาพิษเทียนหมาเป็นหวางโฮ่วเลือกกินลงไปเองก่อนหน้านี้ พิษหายากเช่นนี้นางไปหามาได้อย่างไร?”
หลิงมู่เอ๋อร์เม้มริมฝีปาก “ไม่ใช่การคาดเดาแต่เป็นความจริง”
นางเงยศีรษะอย่างมั่นใจ “ข้าส่งคนไปตรวจสอบแล้วภูมิลำเนาเดิมของหวางโฮ่วอยู่ที่ตงหลิน และเมื่อสิบปีก่อนตงหลินมีการผลิตเทียนหมามากที่สุด หลังจากนั้นเป็นเพราะมันเป็นอันตรายร้ายแรงต่อร่างกายมนุษย์ เมื่อสิบปีก่อนฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้เผาเทียนหมาในตงหลินจนหมด ดังนั้นจึงทำให้มันกลายเป็นยาพิษที่พบเจอได้ยาก”
ดวงตาเฉียบแหลมของหลิงมู่เอ๋อร์จ้องมองเขาเงียบๆ “ยามนี้ไม่จำเป็นต้องให้ข้าพูด องค์ชายรองก็รู้ว่าควรทำเช่นไรกระมัง? ขอเพียงเอาเรื่องนี้ไปกราบทูลฝ่าบาทยามที่หวางโฮ่วฟื้นขึ้นมาครานี้ก็ไม่อาจหลบเลี่ยงความผิดได้อีก”
หวางโฮ่วองค์ปัจจุบันของราชวงศ์กลับมียาพิษที่มีรับสั่งให้เป็นสิ่งต้องห้ามของแคว้นอยู่ในครอบครอง ไม่ว่านางจะกินมันลงไปด้วยตัวเองหรือได้รับมาจากผู้อื่นที่มีเจตนาร้ายการกระทำนี้ก็ย่อมสมควรต้องได้รับโทษ
ต่อให้มีคนวางยาพิษนางและนางเป็นเหยื่อ แต่การกระทำเช่นนี้ของนางย่อมไม่อาจได้รับความเห็นใจจากฮ่องเต้ได้ง่ายๆ
“เพื่อเสียนหวาง เจ้าคงพยายามอย่างมากทีเดียวเพื่อช่วยเขา” ซั่งกวนเซ่าเฉินรู้สึกหึงซึ่งผลลัพธ์ที่ตามมาก็รุนแรงยิ่ง
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้พูดอันใดและตกอยู่ในห้วงความคิด
หวางโฮ่วยังไม่ตายและไม่อาจตายได้ ซูเช่อรู้ผลลัพธ์เช่นนี้ในใจย่อมไม่สบายใจเป็นแน่ แต่หากมีเทียนหมาอยู่ในมือความเห็นใจที่ฮ่องเต้มีต่อหวางโฮ่วย่อมลดลงแน่นอน บางทีอาจเป็นไปได้ว่าความเห็นใจครั้งสุดท้ายที่ฮ่องเต้มีให้หวางโฮ่วคงหมดลงแล้วเช่นกัน ขอเพียงฮ่องเต้ไม่รู้สึกสงสารหวางโฮ่วขึ้นมาอีกนางก็จะไม่อาจทำอันใดได้อีกแล้ว ทั้งยังไม่อาจพลิกแพลงสร้างสถานการณ์ได้อีก
ดังนั้นนี่จึงเป็นหนทางสุดท้ายที่นางจะสามารถช่วยซูเช่อได้
“ข้าเพียงแค่ทำหน้าที่ที่ควรทำในฐานะสหายผู้หนึ่งเท่านั้น” หลิงมู่เอ๋อร์พูดจบก็แหวกม่านมองออกไปนอกหน้าต่าง
ซั่งกวนเซ่าเฉินกลับคว้าแขนของนางดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด “เช่นนั้นข้าเล่า? แล้วหน้าที่ที่ต้องทำเพื่อข้าคือในฐานะใดหรือ?”
อาการตกใจสิ้นสุดลงเมื่อตกลงไปอยู่ในอ้อมอกของเขา หลิงมู่เอ๋อร์เป็นเพราะร่างกายไม่มั่นคงจึงราวกับอิงไปที่หน้าอกของเขาเสียครึ่งตัว มือขวาของนางยังจับแขนของเขาไว้อย่างเอาเป็นเอาตายเพราะเกรงว่าจะหล่นลงไป
ได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้าของซั่งกวนเซ่าเฉินในระยะใกล้เช่นนี้ ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าลมหายใจปั่นป่วน ประหม่าจนไม่อาจพูดออกมาได้สักประโยคหนึ่ง
ลมหายใจอุ่นร้อนของเขาปะทะกับใบหน้า ดวงตานางเบิกกว้างอย่างตกตะลึง ใกล้แล้วและยิ่งใกล้ขึ้นอีก ดวงตาเห็นริมฝีปากของซั่งกวนเซ่าเฉินเข้ามาใกล้ต้องการจะจุมพิตนาง หลิงมู่เอ๋อร์จึงหลับตาไปตามสัญชาตญาณ
“องค์ชายรองมาถึงประตูวังหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ยามที่เสียงไม่สบายใจของคนบังคับรถม้าดังขึ้น ก็เป็นการทำลายบรรยากาศอบอุ่นภายในรถม้าทันที
หลิงมู่เอ๋อร์ดึงความคิดออกมาจากในจินตนาการมองไปที่ร่างของคนไม่ดีก่อนนางจะผลักเขาออก “ข้ายังต้องรีบตรวจอาการหวางโฮ่วเหนียงเหนียง แล้วพบกันใหม่”
“สตรีเช่นเจ้านี่ช่าง…” ยังไม่ทันได้ลิ้มลองริมฝีปากแดงน่าดึงดูดนั้น ภายในท้องของซั่งกวนเซ่าเฉินก็เต็มไปด้วยไฟชั่วร้ายที่ยังมิได้จัดการ ดังนั้นจึงเอาโทสะทั้งหมดไปลงที่คนบังคับรถม้า
“หลังจากนี้หากไม่ได้รับอนุญาตอย่าได้มาปรากฏตัวตรงหน้าเปิ่นหวางจื่อ”
คนบังคับรถม้ายังไม่เข้าใจสถานการณ์อย่างชัดเจนไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดอันใดขึ้น เขารีบคุกเข่าลงบนพื้นกอดชายชุดของซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างเอาเป็นเอาตาย “เหยียโปรดละเว้นโทษ เหยียโปรดละเว้นโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทำอันใดผิดจนทำให้เหยียขุ่นเคืองไม่สบายใจขอเหยียโปรดชี้แนะด้วยพ่ะย่ะค่ะ แต่อย่าไล่กระหม่อมออกเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมยังมีคนเฒ่าคนแก่ลูกเด็กเล็กแดงที่บ้าน กระหม่อม…”
“ไสหัวไป!” ซั่งกวนเซ่าเฉินตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด ผลักเขาออกอย่างไร้ปรานี
คนบังคับรถม้าคิดจะลุกกลับมาอีกคราทันใดนั้นก็มีรองเท้าเนื้อดีคู่หนึ่งปรากฏขึ้น เมื่อเงยศีรษะขึ้นไปก็พบว่าเป็นซื่อจื่อน้อยแห่งจวนหนิงกั๋วโหว
“โธ่ ไม่เห็นหรือว่าญาติผู้พี่ของข้าโกรธมาก ญาติผู้พี่บอกว่าไม่อยากเห็นเจ้า เจ้ายังไม่รีบไสหัวไปอีก หรือต้องให้ญาติผู้พี่ระเบิดโทสะออกมาแล้วต้องการปลิดชีวิตเจ้าเล่า?”
“เจ้าหาได้ทำอันใดผิด ที่ผิดคือทางจากจวนสกุลหลิงมาถึงประตูวังหลวงมันสั้นเกินไป”
โบกมือส่งสัญญาณให้องครักษ์พาตัวคนบังคับรถม้าออกไป หนานกงอี้จือตามหลังซั่งกวนเซ่าเฉินไปราวกับเป็นต้องการประจบประแจง “ข้าพูดถูกใช่หรือไม่ญาติผู้พี่?”
เห็นรอยยิ้มหยอกล้อบนใบหน้าของเขา ดวงตาของซั่งกวนเซ่าเฉินก็หรี่จนกลายเป็นเส้นเดียว “เก็บความคิดสกปรกของเจ้าไปเสีย งานที่ข้ามอบหมายไปเจ้าจัดการเรียบร้อยแล้วหรือ?”
หนานกงอี้จือหัวเราะแห้งสองเสียง “ข้าสกปรกหรือ? มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าในรถม้าชายหญิงที่ยังไม่ตบแต่งคิดจะทำอันใดตอนกลางวันแสกๆ ข้าเห็นหมดแล้วว่าบางคนยังมีสีหน้าไม่หนำใจ เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่…”
พูดยังไม่ทันจบเขาก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศเย็นเยือกที่ค่อยๆ ก่อตัวของธารน้ำแข็งหมื่นปี หนานกงอี้จือสั่นสะท้านรีบแก้คำพูด “งานที่ท่านมอบหมายจัดการอย่างเหมาะสมทั้งหมดแล้ว ญาติผู้พี่โปรดวางใจ”
พูดจบเขาก็มองไปรอบด้านอย่างระแวดระวัง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดแอบฟังริมฝีปากของเขาก็เข้าไปใกล้ข้างหูอีกฝ่าย “แพะรับบาปคือนักโทษประหารในคุกหลวง ข้ารับปากว่าจะจัดหาที่ทางให้ครอบครัวของเขา เขาก็ตกลงว่าจะทำตามแผนขอรับ”
ซั่งกวนเซ่าเฉินพยักหน้าอย่างพอใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นหลังจากนี้สามวันก็ลงมือเสีย”
ยามที่หลิงมู่เอ๋อร์มาถึงตำหนักบรรทมของหวางโฮ่ว เป็นเพราะฮ่องเต้รับสั่งไว้ก่อนระหว่างทางนางจึงเข้ามาได้อย่างไร้อุปสรรค แต่ยังไม่ทันเข้าประตูไปก็ได้ยินเสียงร่ำไห้ของสตรีผู้หนึ่งจากที่ไกลๆ
“ฮือๆ… ท่านป้าท่านฟื้นสิเจ้าคะ ท่านลืมตามามองอวี่เตี๋ยเถิดเจ้าค่ะ เหตุใดท่านจึงกลายเป็นเช่นนี้?”
“ท่านป้าขอเพียงท่านฟื้นขึ้นมาอวี่เตี๋ยจะดูแลท่านอย่างดี สัญญาว่าจะไม่ทำให้ท่านขุ่นเคืองจนอารมณ์เสียอีกเจ้าค่ะ ท่านฟื้นขึ้นมาไม่ได้หรือเจ้าคะ?”
“ท่านป้า…”
ยามที่หลิงมู่เอ๋อร์เข้าไปก็เห็นหลินอวี่เตี๋ยกำลังเขย่าร่างของหวางโฮ่วไม่หยุดเข้าพอดี แต่นางกำนัลคนสนิทข้างกายหวางโฮ่วกลับไม่คิดจะห้ามปราม
“หากท่านยังเขย่าตัวนางรุนแรงเช่นนี้ ไม่ต้องรอให้ยาพิษออกฤทธิ์คงถูกท่านโยกไปมาจนตายก่อน แม่นางหลินเช่นนั้นท่านจะกลายเป็นฆาตกรที่ลอบสังหารหวางโฮ่ว”