เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 10 ตอนที่ 280 ไหน้ำส้มสายชู [1]
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 10 ตอนที่ 280 ไหน้ำส้มสายชู [1]
เล่มที่ 10 ตอนที่ 280 ไหน้ำส้มสายชู [1]
“อามู่เต๋อ?”
หลิงมู่เอ๋อร์พูดออกมาทีละคำยามที่นึกชื่อนี้ออกมาก็กัดฟันแน่นอย่างชิงชัง
“เจ้ายังไม่ตายหรือ?” สายตาของนางราวกับจะฆ่าคนได้ แน่นอนว่าเขาแหย่รังแตนเข้าแล้ว
“วันนี้ผู้ที่มาปรากฏตัวที่โรงหมอของข้าก็คือเจ้าหรือ? เช่นนั้นข้าก็หาได้มองคนผิดไปหรือ? ไม่ถูก เจ้าถูกพิษร้ายแรงถึงเพียงนั้นเหตุใดยังสามารถเอาชีวิตรอดมาได้? อีกทั้งแขนของเจ้าเห็นได้ชัดว่าถูกข้าตัดขาดไปแล้ว เหตุใดมันจึง…”
“เจ้าพูดถึงสิ่งนี้หรือ?” อามู่เต๋อพูดด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ได้ยินเพียงเสียง ‘แกร๊ก’ คราหนึ่ง เขาดึงแขนที่เห็นว่าอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ออกมา หลิงมู่เอ่อร์จึงพบว่ามันเป็นแขนเทียม
แขนข้างหนึ่งสามารถทำออกมาได้เหมือนจริงเช่นนี้ กอปรกับการศึกษาด้านยาพิษมาตลอด ร่างกายของเขาเข้าสู่ภาวะผิดปกติมานานแล้ว จึงสามารถอธิบายได้อย่างดีว่าเหตุใดเขาจึงถูกพิษแล้วไม่ตาย
แต่นางคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าองค์ชายรองแคว้นซีอวี้ ซึ่งเป็นทูตที่ถูกส่งมากับองค์หญิงที่มาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์จะเป็นอามู่เต๋อ
“เจ้ากล้ามาปรากฏตัวในวังหลวงข้าจะฆ่าเจ้า!”
หลิงมู่เอ๋อร์ซัดเข็มเงินในมือสามเล่มออกไปทางอามู่เต๋อโดยพลัน ด้วยความเร็วที่มองตามไม่ทัน
อามู่เต๋อที่ฟื้นฟูร่างกายได้นานแล้วทะยานตัวหลบหลีกอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็เคลื่อนตัวไปเบื้องหลังนางด้วยความเร็วที่ไม่อาจมองตามได้ ก่อนจะใช้แขนซ้ายที่เหลืออยู่รัดคอนางไว้จากข้างหลัง กักขังนางไว้ในอ้อมกอดอย่างแน่นหนา
“ข้าเคยบอกแล้วว่าพวกเราจะได้พบกันอีก หลิงมู่เอ๋อร์เป็นอย่างไรเล่า รู้สึกประหลาดใจมากใช่หรือไม่ ตกใจมากเลยหรือ?” อามู่เต๋อมีรอยยิ้มชั่วร้ายคำพูดที่พูดออกไปยิ่งเย็นยะเยือกไร้ความรู้สึก
หลิงมู่เอ๋อร์พยายามดิ้นรนอยู่หลายคราแต่กลับพบว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา นางขมวดคิ้วแน่นออกแรงดิ้นรนถึงขั้นแผดเสียงออกมา “เจ้าปล่อยข้าเสีย!”
อามู่เต๋อไม่เพียงไม่ปล่อยแต่ยังสูดลมหายใจอยู่ข้างใบหูของนาง สูดกลิ่นอายของนางอย่างละโมบ “ไม่ง่ายกว่าจะจับเจ้าได้เหตุใดข้าต้องปล่อยเจ้าด้วย?”
น้ำเสียงของเขาชั่วร้ายอย่างถึงที่สุด ต่างกับท่าทีอ่อนโยนเมื่อครู่โดยสิ้นเชิงราวกับเป็นคนละคน
หากเมื่อครู่เขาเป็นเพียงชายหนุ่ม เช่นนั้นในยามนี้เขาก็เป็นปีศาจร้ายที่ขึ้นมาจากนรกน่าหวั่นเกรงอย่างถึงที่สุด!
“ปล่อยมู่เอ๋อร์เสีย!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงอันทรงอำนาจสายหนึ่งดังขึ้นมาจากเบื้องหลัง สิ้นคำพูดก็มีดาบส่องประกายปรากฏอยู่เบื้องหน้า
ซั่งกวนเซ่าเฉินแทงไปยังอามู่เต๋อด้วยความเร็วดุจสายฟ้าฟาด
เพื่อปกป้องชีวิตอามู่เต๋อจึงปล่อยมือที่กักตัวหลิงมู่เอ๋อร์ไว้นางจึงเป็นอิสระ เข็มเงินสามเล่มในมือพุ่งเข้าไปที่หน้าอกของอามู่เต๋ออย่างรวดเร็ว
“อึก”
อามู่เต๋อได้รับบาดเจ็บเขาพ่นเสียงต่ำออกมาเสียงหนึ่ง เขาขมวดคิ้วมองไปยังหลิงมู่เอ๋อร์อย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่เพียงชั่วครู่เขาก็หัวเราะออกมา “หนึ่งเดือนก่อนเจ้าตัดแขนข้างหนึ่งของข้า หนึ่งเดือนต่อมาเจ้ายังแทงข้าด้วยเข็มเงินสามเล่ม หลิงมู่เอ๋อร์ชีวิตของเจ้ากับข้าล้วนเกี่ยวพันกันแล้ว ฮ่าๆๆ”
“หุบปาก!” ซั่งกวนเซ่าเฉินตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด ใช้แขนข้างหนึ่งออกแรงดึงหลิงมู่เอ๋อร์ปกป้องไว้เบื้องหลังให้ความรู้สึกของบุรุษที่พึ่งพาได้ มองไปยังอามู่เต๋ออีกคราดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็แดงก่ำด้วยแรงโทสะ “กล้ามาทำร้ายผู้หญิงของข้าในวังหลวง แม้เจ้าจะเป็นทูตของแคว้นซีอวี้ทั้งยังเป็นองค์ชายรองแคว้นซีอวี้ แต่วันนี้เจ้าไม่อาจหนีพ้นความตายได้!”
“ได้ เจ้าไปบอกฮ่องเต้เฒ่าของเจ้าเถอะว่าให้เขาส่งคนมาจับข้าเลย แต่เมื่อครู่พวกเราเพียงแลกเปลี่ยนความรู้ทางการแพทย์กันอยู่ เป็นเจ้าที่ปรากฏตัวเข้ามาหมายเอาชีวิตข้า ข้าก็อยากเห็นนักว่าหลังจากที่พวกเจ้าฆ่าข้าแล้วความสัมพันธ์กับแคว้นซีอวี้จะเป็นเช่นไร!” อามู่เต๋อยกมุมปากอย่างลำพองใจ
“ไอ้คนสับปลับ!” เห็นซั่งกวนเซ่าเฉินหมายจะพุ่งเข้าไปปลิดชีวิตของเขาอย่างหุนหัน หลิงมู่เอ๋อร์ก็รีบขวางไว้ “ไม่จำเป็นต้องให้ค่าคนสับปลับเช่นนี้ ที่นี่คือแคว้นเทียนเฉาถึงจะเป็นเขาก็ไม่กล้าทำอันใดเกินขอบเขตแน่”
มองอามู่เต๋ออีกครา หลิงมู่เอ๋อร์ก็หรี่ดวงตาทั้งสองข้างลงจนกลายเป็นขีดเดียวราวกับกำลังมองศัตรู “บอกข้ามาว่าจุดประสงค์ที่มายังแคว้นเทียนเฉาของเจ้าคืออันใด? เจ้าจงใจเสนอเรื่องการยอมจำนนทั้งยังจงใจมาที่นี่ในฐานะของทูต เห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นองค์ชายสูงศักดิ์แต่กลับพาตัวเองมากลายเป็นผีเช่นนี้ ขอเพียงเจ้าบอกความจริงข้าจะให้ยาแก้พิษจากเข็มเงินของข้า”
อามู่เต๋อเพิ่งพบว่าเข็มเงินสามเล่มทั้งหมดล้วนถูกอาบยาพิษไว้
หลิงมู่เอ๋อร์ผู้นี้เหตุใดจึงมีเข็มเงินรวมทั้งยาพิษอยู่บนร่างไม่หมดไม่สิ้นเช่นนี้? เป็นธรรมดาที่เขาจะยิ่งสงสัยใคร่รู้มากขึ้น
“เพราะเจ้า”
เขาพูดอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทางตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง “หากไม่ใช่เพราะเจ้าข้าคงจัดการกองทัพทั้งหมดของแคว้นเทียนเฉาได้แล้วและได้ฆ่าเขาด้วย แต่เพราะเจ้าปรากฏตัวขึ้นมาข้าจึงเปลี่ยนความคิด ข้าเต็มใจยอมจำนนเพื่อเจ้าทั้งยังเต็มใจเดินทางนับพันลี้มาที่แคว้นเทียนเฉาเพื่อเจ้า เป็นอย่างไรซาบซึ้งหรือไม่?”
หากเป็นบุรุษธรรมดาก็พูดได้ว่าเป็นการทุ่มเทในความรักให้สตรี แน่นอนว่าย่อมทำให้คนรู้สึกซาบซึ้ง แต่เมื่อเป็นอามู่เต๋อที่ใช้น้ำเสียงอันผิดแผกเช่นนี้ รวมกับการกระทำที่แสดงออกเกินจริงหลังจากพูดก็ทำให้คนมีเหงื่อเย็นๆ ไหลลงมา
หลิงมู่เอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นขึ้นมา และซั่งกวนเซ่าเฉินที่อยู่ข้างกายที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่นานแล้ว ยกหมัดขึ้นมาซึ่งแฝงด้วยกำลังภายในกึ่งหนึ่งซัดออกไปอย่างโกรธเกรี้ยว
อามู่เต๋อหาได้เตรียมตัวป้องกันหมัดจึงกระแทกเข้าที่ใบหน้าเต็มๆ แต่การตอบสนองของเขารวดเร็วยิ่งเข้าต่อสู้กับซั่งกวนเซ่าเฉินโดยพลัน
มีคำกล่าวที่ว่าเมื่อสองกองทัพสู้รบกันอย่าได้ฆ่าทูต หากถูกคนพบว่าซั่งกวนเซ่าเฉินมาสู้กับทูตของแคว้นซีอวี้ ไม่ว่าคนผู้นี้จะมีจุดประสงค์อันใดเขาก็ย่อมถูกลงโทษอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ซั่งกวนเซ่าเฉินหยุด!” หลิงมู่เอ๋อร์ร้องอย่างตกใจพยายามพุ่งเข้าไประหว่างทั้งสองคน
แต่เขาไม่เพียงแต่ไม่มีความคิดที่จะหยุด ทั้งยังเพราะการเปิดปากพูดของนางทำให้เขายิ่งเคลื่อนไหวมือเร็วขึ้นทั้งยังหมายเอาชีวิต
อาการบาดเจ็บเก่าของอามู่เต๋อเดิมทียังไม่หายดี ทั้งยังเพราะขาดแขนไปข้างหนึ่งทำให้ค่อยๆ เพลี่ยงพล้ำ เห็นไอสังหารเข้มข้นในดวงตาของฝ่ายตรงข้ามเขาก็สังหรณ์ใจว่าสถานการณ์คงไม่ดีแล้ว จึงทิ้งระเบิดควันลูกหนึ่งและกระโดดหนีไปทางหน้าต่าง
“หลิงมู่เอ๋อร์ข้าจะต้องได้ตัวเจ้าแน่” ก่อนไปก็ยังพูดคำพูดเย่อหยิ่งออกมา
ซั่งกวนเซ่าเฉินยังคิดจะไล่ตามเขาออกไป แต่หลิงมู่เอ๋อร์รีบเข้ามาขวางหน้าเขา “ท่านบ้าไปแล้วหรือถึงอย่างไรเขาก็เป็นทูตจากแคว้นซีอวี้ หากท่านฆ่าเขาที่นี่จริงๆ ความสงบสุขที่พวกเราได้รับมาอย่างยากลำบากย่อมสลายหายไป ถึงครานั้นผู้ที่เริ่มสงครามอันรุนแรงก็คือพวกเรา”
“เหตุใดต้องปกป้องเขา!” ซั่งกวนเซ่าเฉินตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด มือทั้งสองข้างจับแขนของนางไว้ “ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าปกป้องชายอื่น!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินคำรามรูม่านตาของดวงตาทั้งสองข้างขยายใหญ่ขึ้น สีหน้าดุร้ายราวกับมีโทสะอย่างยิ่งยวด
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่เคยเห็นเขามีท่าทีเช่นนี้มาก่อน ราวกับสมบัติล้ำค่าอันใดของตนถูกคนแย่งชิงไป ในใจก็รู้สึกหวานฉ่ำ “หึงหรือ?”
ในแววตาของซั่งกวนเซ่าเฉินฉายแววกระดากอาย แต่เพียงครู่เดียวก็กลับมามีท่าทีเผด็จการพลางกล่าว “แม้เจ้าจะไม่ยอมมาเป็นเช่อเฟยของข้า แต่เจ้าฟังข้าให้ดีข้าไม่อนุญาตให้เจ้าไปใกล้ชิดกับชายอื่นนอกจากข้า และกับอามู่เต๋อผู้นั้นเจ้าอย่าได้ไปคลุกคลีอันใดกับเขาอยู่ให้ห่างจากเขายิ่งมากยิ่งดีเข้าใจหรือไม่!”
ชั่วพริบตานั้นเขาราวกับกลับไปเป็นผู้ที่เงียบขรึมเช่นกาลก่อน หลิงมู่เอ๋อร์หันไปมองเขาด้วยใบหน้าโกรธเคือง แต่ยามที่ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเต็มไปด้วยภาพของตนในใจของนางก็ราวกับมีดอกไม้ไฟถูกจุดขึ้น
“อามู่เต๋อเป็นคนโหดเหี้ยมยิ่งไม่ต้องให้ท่านบอกข้าก็ไม่คิดจะเริ่มเข้าไปใกล้ชิดเขา แต่ท่านมาสั่งข้าเช่นนี้จะไปมีประโยชน์อันใด? ข้าต้องแสดงความยินดีกับท่านด้วยที่ใกล้จะกลายเป็นราชบุตรเขยของแคว้นซีอวี้แล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์มองเขาด้วยสายตาเย่อหยิ่งเดินอ้อมเขาคิดจะออกไป แต่ซั่งกวนเซ่าเฉินกลับใช้แขนยาวโอบรอบเอวนางจากข้างหลังไว้แน่น ทำให้แผ่นหลังของนางแนบชิดกับอกแกร่งของเขา “ข้าพูดเมื่อใดว่าข้าอยากตบแต่งกับหญิงอื่น?”
“ข่าวลือที่ว่าองค์หญิงที่มาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เลือกองค์ชายรองกระจายไปทั่ววังหลวงทุกซอกทุกมุมแล้ว ข้าเพิ่งเข้าวังมาก็ได้ยินแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังได้ยินว่าฝ่าบาทสัญญาว่าจะให้นางเลือกสามีเองได้ ทำไมหรือท่านยังคิดว่าจะปิดบังข้าได้?” หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกขุ่นเคืองที่เขาปกปิดอยู่บ้างจึงพยายามคิดจะเปิดโปงเขา
ซั่งกวนเซ่าเฉินกลับยิ่งกอดแน่นขึ้นทั้งยังวางคางไว้บนไหล่ของนาง “เป็นเสด็จพ่อรับปากหาใช่ข้าไม่ สตรีที่ข้าอยากตบแต่งด้วยอยู่ที่นี่ไม่ใช่ที่นั่น นางจะเลือกอันใดแล้วเกี่ยวอันใดกับข้า?”
แม้คำพูดเหล่านี้จะยังดูเย่อหยิ่งอยู่มากแต่กลับทำให้ในใจของนางหวานล้ำ
ใบหน้างามของหลิงมู่เอ่อร์แดงก่ำ ยามที่นึกได้ว่าที่นี่คือตำหนักบรรทมของหวางโฮ่ว สตรีที่นอนอยู่บนเตียงอาจได้สติฟื้นขึ้นมาได้ทุกเมื่อ และเหล่านางกำนัลข้างนอกก็อาจเข้ามาได้ตลอดนางจึงพยายามดิ้นรนอยู่หลายครา “ปล่อยข้า”
คาดไม่ถึงว่าครั้งนี้ซั่งกวนเซ่าเฉินจะปล่อยมือจริงๆ แต่ทันใดนั้นเขาก็เริ่มจัดกล่องยาให้นาง การกระทำอันต่อเนื่องนี้ทำให้หลิงมู่เอ๋อร์มองอย่างงุนงง
“ท่านกำลังทำอันใด?”
“เจ้าจะศึกษาเรื่องยาที่ใดก็ไม่ต่างกันกระมัง? หากเจ้าไม่ชอบวังหลวงเช่นนั้นข้าจะส่งเข้าออกไป” ซั่งกวนเซ่าเฉินจูงมือหลิงมู่เอ๋อร์พูดอย่างเผด็จการก่อนจะเดินไปข้างหน้า
“แต่การรักษาทางนี้ยังไม่เสร็จ”
“ถึงอย่างไรนางก็ไม่ตายไม่จำเป็นต้องรีบร้อน พรุ่งนี้ข้าจะไปรับเจ้ามาเข้าวังหลวง” พูดจบซั่งกวนเซ่าเฉินก็พานางเดินออกมานอกตำหนักบรรทมแล้ว
เห็นทั้งสองคนผสานนิ้วมือทั้งสิบเข้าด้วยกัน หลิงมู่เอ๋อร์ราวกับถูกเขาบังคับลากตามหลังมา แต่ฝ่ามืออันหยาบกระด้างนั้นกลับอบอุ่นยิ่งราวกับสามารถทำให้ทั้งร่างของนางอบอุ่นได้ นางอดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปาก
“ท่านจงใจขอสืบหาคนร้ายที่ลอบทำร้ายหวางโฮ่วหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์ถาม
ซั่งกวนเซ่าเฉินหยุดฝีเท้าโดยพลัน มองนางด้วยสายตาชื่นชม “ดูท่าการเสียสละของข้าจะไม่สูญเปล่าแล้ว ในเมื่อทำอันใดไปแล้วเจ้าก็รู้อยู่ในใจ”
“ท่านทูลขอรับสั่งด้วยตัวเองแล้วมันเกี่ยวข้องอันใดกับข้าหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์มองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า
“เจ้าคนใจร้ายหากไม่ใช่เพราะข้าครั้งนี้เจ้าคงจำต้องลุยน้ำโคลนแล้วกระมัง?” ซั่งกวนเซ่าเฉินบีบใบหน้าของนางแสร้งทำเป็นไม่พอใจ “เจ้าก็รู้แก่ใจว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารครานี้คือผู้ใด ในยามนี้เจ้ามีความเกี่ยวพันอันใดกับเขาเล่า? หากให้ผู้อื่นตรวจสอบแล้วสืบเจอว่าเป็นเขา เจ้าคิดว่าเจ้าจะรอดพ้นจากความรับผิดชอบไปได้หรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์ชะงักไปในวังหลวงมีคนที่เฉลียวฉลาดมากมาย ซั่งกวนเซ่าเฉินมองออกผู้อื่นก็ย่อมมองออกเป็นแน่ นางก็ยังสงสัยซูเช่อเรื่องนี้คงยากที่จะเลี่ยงไม่ไล่จับคนที่มีแรงจูงใจเป็นพิเศษ
เช่นองค์ชายเจ็ดที่เพิ่งมีความขัดแย้งกับเขาไปหรือ?
ยามที่พูดทั้งสองคนก็มาถึงประตูวังหลวงแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ปล่อยมือเขาทันที “ข้าต้องไปพบเสียนหวาง ท่านคงไปกับข้าไม่ได้กระมัง?”
เมื่อมือที่จับแน่นถูกนางปล่อยอย่างกะทันหันก็ราวกับทำของมีค่าอันใดในมือหล่นหายไป ทำให้ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่สบอารมณ์ยิ่ง
แต่สิ่งที่แม่นางน้อยคนนี้เปิดปากพูดก็ยิ่งทำให้เขาไม่พอใจมากขึ้นไปอีก
“หรือเมื่อครู่ข้ายังพูดไม่ชัดเจนพอหรือ? ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าไปใกล้ชิดกับชายอื่นนอกจากข้า เจ้าตั้งใจต่อต้านข้าหรือ?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินกดหลิงมู่เอ๋อร์ไปที่กำแพงสีชาด มือข้างหนึ่งยันกำแพงไว้ทำให้นางอยู่ระหว่างกำแพงกับอกของเขา “ตกลงในใจเจ้าซ่อนบุรุษไว้กี่คนกันแน่ หืม?”
เชิงอรรถ
[1] ไหน้ำส้มสายชู หมายถึง หึงหวง