เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 10 ตอนที่ 275 ราชบุตรเขย
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 10 ตอนที่ 275 ราชบุตรเขย
เล่มที่ 10 ตอนที่ 275 ราชบุตรเขย
สายตาของทุกคนมองไปยังซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างพร้อมเพรียง
ทุกคนรวมถึงฮ่องเต้ล้วนแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง คำพูดอันเปิดเผยนี้ขององค์หญิงที่มาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เป็นการกล่าวถึงองค์ชายที่ต้องการตบแต่งด้วยอย่างตรงไปตรงมา เห็นได้ชัดว่าในใจนางตัดสินใจไว้นานแล้ว แต่ความคิดนี้ก็ดึงดูดความไม่พอใจของคนที่นั่งอยู่หลายคนโดยพลัน
“หืม? องค์หญิงมีสายตาเฉียบแหลมนัก เฉินเอ๋อร์เป็นองค์ชายรองที่พลัดพรากจากไปและเพิ่งหวนกลับมา เจิ้นยังไม่ทันได้ใช้เวลาแบ่งปันความสุขสร้างสายสัมพันธ์ฉันท์ครอบครัว ก็ต้องถูกเจ้าเลือกไปเสียแล้วหรือ?”
แม้จะพูดเช่นนี้ด้วยรอยยิ้มแต่ก้นบึ้งในแววตาของฮ่องเต้กลับฉายชัดถึงแรงโทสะอันขุ่นเคืองที่ยากจะสังเกตเห็น แต่เขาเชื่อว่ามั่วจวินเหยาย่อมมองออก
แน่นอนว่าองค์ชายเจ็ดก็จับกระแสความไม่สบอารมณ์นี้ได้ และยังเป็นเรื่องแน่นอนที่เขาจะไม่เห็นด้วยที่จะให้องค์หญิงที่มาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ตบแต่งกับซั่งกวนเซ่าเฉิน!
หากมั่วจวินเหยาเลือกตามใจชอบระหว่างเขากับองค์ชายหก เพราะมาจากต่างแคว้นก็มีแต่จะดึงฐานะและอำนาจของพวกเขาให้ต่ำลง แต่หากเป็นซั่งกวนเซ่าเฉินย่อมต่างออกไป เขากลับจะสามารถหยิบยืมอำนาจจากต่างแคว้นมาเสริมสถานะของตัวเองให้มั่นคงขึ้นได้
ในยามนี้เขาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้แล้ว หากยังมีกำลังอันแข็งแกร่งของต่างแคว้นสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง เช่นนั้นเขาก็จะเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากในเส้นทางการชิงบัลลังก์
“องค์หญิงมีสายตาที่เฉียบแหลมอย่างยิ่งยวดจริงๆ แต่เกรงว่าคงต้องทำให้องค์หญิงผิดหวังแล้ว พี่รองของพวกข้าไม่ง่ายกว่าฝ่าบาทจะสามารถตามหากลับมาได้ ในยามนี้เป็นคนข้างกายที่ฝ่าบาททรงไว้วางใจที่สุด เกรงว่าฝ่าบาทคงไม่อาจยอมตัดใจให้ไปได้” เมื่อพูดจบองค์ชายเจ็ดก็จงใจมองไปยังฮ่องเต้ ยามที่สิ้นสุดคำพูดนี้มั่วจวินเหยาไม่เพียงแต่ไม่หยุดความคิดที่จะตบแต่งกับซั่งกวนเซ่าเฉิน ทั้งยังเห็นได้ชัดว่ายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับฮ่องเต้ คิดจะแย่งชิงมาเพราะชื่อเสียงอันดีในกองทัพ
“น้องเจ็ดพูดถูกต้อง พี่รองเพิ่งกลับเข้าวังหลวงยังมีเรื่องมากมายที่ยังไม่ได้สะสางให้เรียบร้อย เกรงว่าคงยังไม่มีความคิดที่จะรับสนม” องค์ชายหกมององค์ชายเจ็ด สายตานั้นราวกับจะกล่าวว่า ‘เจ้าคิดเรื่องนี้ได้แล้วเหตุใดเปิ่นหวางจื่อจะคิดไม่ได้’
ไม่สนใจสายตายั่วยุขององค์ชายหก องค์ชายเจ็ดมองไปยังมั่วจวินเหยาด้วยสมาธิแน่วแน่ “องค์หญิงเพิ่งมาถึงย่อมยังไม่ค่อยรู้เรื่ององค์ชายในราชวงศ์เทียนของพวกเรา เหตุใดจะต้องรีบตัดสินใจเล่า ไม่สู้ลองพิจารณาให้มากไปอีกสักระยะจะดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องการแต่งงานก็หาใช่เรื่องเล่นๆ ต้องมองให้ทะลุปรุโปร่งถึงจะรู้ว่าผู้ใดเหมาะสมกับเจ้า”
“เจ้าเจ็ดพูดถูก โอรสของเจิ้นแต่ละคนล้วนเป็นมังกรในหมู่มนุษย์ [1] เจ้าอยู่ในวังหลวงทำความรู้จักเหล่าโอรสของเจิ้นไปสักระยะก่อนค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย!” ฮ่องเต้กล่าวปิดท้าย ยามที่สายตามองไปยังองค์ชายหกและองค์ชายเจ็ดในแววตาก็มีความชื่นชม
เห็นพวกเขาสามพ่อลูกล้วนไม่เห็นด้วยที่จะให้นางตบแต่งกับซั่งกวนเซ่าเฉิน มั่วจวินเหยาก็ไม่ใคร่จะพอใจนัก “เมื่อครู่ฝ่าบาทไม่ใช่ยังรับปากว่าให้หม่อมฉันสามารถเลือกองค์ชายที่จะตบแต่งด้วยได้ตามใจหรือเพคะ? ที่แท้ฮ่องเต้ของราชวงศ์เทียนก็เป็นผู้ที่ไม่รักษาคำพูด”
“สามหาว!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินตะโกนขึ้นมาอย่างเดือดดาล
หลังจากได้ยินคำพูดนี้ของมั่วจวินเหยาสีหน้าของเขาที่เย็นชามาตลอดช่วงงานเลี้ยง ทั้งร่างก็ยิ่งมีบรรยากาศเย็นยะเยือกยิ่งขึ้น
เดิมเขาไม่คิดจะข้องเกี่ยวกับองค์หญิงที่มาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ผู้นี้ ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนจบสายตาจึงไม่ได้มองนางแม้แต่คราเดียว ทั้งยังคร้านจะพูดกับนางแม้เพียงประโยคเดียว แต่คำพูดนี้ของนางไม่เพียงแต่สร้างความอับอายให้ฮ่องเต้ แต่ยังสร้างความอับอายให้ราชวงศ์เทียนอีกด้วย การกระทำที่โอหังเช่นนี้จะปล่อยไปเฉยๆ ได้อย่างไร ไม่เช่นนั้นนางจะยิ่งกำเริบเสิบสาน
“เสด็จพ่อให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชวงศ์เทียนและแคว้นซีอวี้ ดังนั้นจึงทำตามคำขอไร้เหตุผลทุกประการขององค์หญิงที่มาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ด้วยความเมตตาเป็นอย่างยิ่ง!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินพูดจบก็กวาดตามองนางอย่างเย็นชา ในดวงตาฉายถึงความดูหมิ่นอย่างยิ่งยวดราวกับมองขยะชิ้นหนึ่งอย่างไม่สนใจ
ในแววตาของมั่วจวินเหยาไม่เพียงแต่ไม่โกรธเคือง แต่กลับยังมีท่าทีสนใจเป็นอย่างยิ่ง “ที่แท้ท่าทางยามโกรธของท่านก็ดูดีเช่นนี้?”
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกไปผู้คนในงานเลี้ยงที่กำลังกินอาหารก็เกือบจะพ่นเหล้าออกมา ต่างพากันมองไปยังมั่วจวินเหยาราวกับมองสตรีบ้าบุรุษ
เพียงครู่เดียวมั่วจวินเหยาก็ยืนขึ้นและคำนับฮ่องเต้อย่างสุภาพ “ขอฝ่าบาททรงอย่าตำหนิเลยเพคะ เมื่อครู่เหยาเอ๋อร์เลือกใช้คำพูดไม่ถูกต้อง ปกติเสด็จพ่อของหม่อมฉันทรงเอ็นดูหม่อมฉันเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงทำให้เมื่อครู่เหยาเอ๋อร์ลืมกฎเกณฑ์การให้ความเคารพไปเพคะ แต่ขอฝ่าบาททรงวางใจหลังจากนี้เหยาเอ๋อร์จะพยายามอย่างสุดกำลัง เพื่อปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของราชวงศ์เทียนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จะไม่ประพฤติตัวอย่างไร้มารยาทอันใดอีกเด็ดขาดเพคะ”
เมื่อครู่ยังมีท่าทีจองหองแต่กลับเปลี่ยนไปเป็นเด็กสาวที่น่าเอ็นดูโดยพลัน แม้ฮ่องเต้จะอยากโกรธในคำถามเมื่อครู่แต่ในยามนี้ก็ไม่มีเหตุผลแล้ว
นางคงมีนิสัยตรงไปตรงมาโดยเนื้อแท้กระมัง
“องค์หญิงไม่จำเป็นต้องฝืนจนเกินไป ถึงอย่างไรในอนาคตเจ้าก็ต้องแต่งให้โอรสของข้า สุดท้ายพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ราชวงศ์เทียนของพวกเราแม้จะมีกฎเกณฑ์มากมาย แต่ข้าเชื่อว่าด้วยความฉลาดเฉลียวของเจ้าจะต้องเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วแน่นอน” ฮ่องเต้หยักหน้าแสดงท่าทีให้นางลุกขึ้นอย่างอ่อนโยน
ใครจะรู้ว่ามั่วจวินเหยาจะปรับตัวตามสถานการณ์ได้ในทันใด “เช่นนั้นในยามนี้ฝ่าบาททรงยินยอมเรื่องการแต่งงานของหม่อมฉันกับองค์ชายรองแล้วใช่หรือไม่เพคะ?”
เมื่อพูดคำนี้จบคนที่นั่งอยู่โดยรอบก็ตะลึงงันอีกครา ทุกคนพากันยืดคอมองไปยังมั่วจวินเหยา ต่างคิดอยากจะเข้าใจว่าสตรีผู้นี้ตกลงแล้วมีนิสัยอย่างไรกันแน่
หรือนางแอบไปทำสัญญาอย่างลับๆ กับซั่งกวนเซ่าเฉินไว้ก่อนแล้ว เพราะเหตุนั้นพอเพิ่งเข้าวังมาจึงพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าต้องการแต่งให้เขา?
หรือบางทีนี่จะเป็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของแคว้นซีอวี้ พวกเขาอาจรู้นานแล้วว่าในยามนี้องค์ชายรองมีความสำคัญที่สุดในราชวงศ์เทียน พวกเขาจึงจงใจทำเช่นนี้?
“นั่น…” ฮ่องเต้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้าง
ซั่งกวนเซ่าเฉินที่ตลอดมาไม่คิดจะออกหน้าในงานเลี้ยงครั้งนี้มากเกินไปนัก มองไปยังมั่วจวินเหยาอย่างไม่มีทางเลือกอีกครา “องค์หญิงเพิ่งมาถึงเมืองหลวงครั้งแรกมีเรื่องราวมากมายที่ยังไม่รู้ เช่นนั้นเปิ่นหวางจื่อก็ไม่ถือสาที่จะอธิบายให้เจ้าฟังสักครา”
น้ำเสียงของเขายังคงเย็นชาอีกทั้งยังผสมกับความรำคาญเป็นอย่างยิ่ง “ในใจของข้ามีเจ้าของแล้ว ทั้งชีวิตนี้นอกจากนางก็ไม่อาจแต่งงานกับผู้ใดได้อีก องค์หญิงเลือกคนอื่นเถอะ”
การปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมานี้ทำให้ใบหน้าเปื้อนยิ้มของมั่วจวินเหยาจางลงโดยพลัน แต่เพียงชั่วครู่นางก็กลับมาเป็นปกติ “เดิมทีหม่อมฉันเพียงแค่สนใจท่านคาดไม่ถึงว่าท่านจะปฏิเสธหม่อมฉัน พระองค์รู้หรือไม่ว่ามีคนมากมายในซีอวี้ที่ไม่มีแม้แต่โอกาสจะเลียนิ้วเท้าของหม่อมฉัน?”
หมดคำจะพูดกับองค์หญิงที่มาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ผู้นี้จริงๆ ซั่งกวนเซ่าเฉินโค้งริมฝีปากเย้ยหยัน “เช่นนั้นองค์หญิงคงยิ่งต้องเช็ดดวงตาให้แจ่มชัดแล้วเลือกให้ดี แต่ถึงอย่างไรองค์ชายในราชวงศ์เทียนของพวกเราก็หาได้มีผู้ใดยินยอมจะเลียนิ้วเท้าของเจ้า”
เมื่อจบคำพูดนี้ทั้งงานเลี้ยงก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมา แม้แต่ฮ่องเต้ก็แอบเลื่อมใสในฝีมือการต่อปากต่อคำของซั่งกวนเซ่าเฉิน
ถึงอย่างไรคนก็เป็นเพียงเด็กสาวผู้หนึ่ง เขาทำให้อับอายตรงๆ เช่นนี้หากเป็นแม่นางธรรมดาเกรงว่าคงร้องไห้ไปนานแล้ว
แต่มั่วจวินเหยามีท่าทีไม่ยี่หระแม้แต่น้อย “นั่นเป็นความคิดของท่าน หม่อมฉันเป็นองค์หญิงตราบใดที่แต่งกับหม่อมฉันแล้ว หลังแต่งงานทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับคำพูดของหม่อมฉัน! แน่นอนว่าท่านอย่าได้คิดว่าเปิ่นกงจู่สนใจท่านแล้วท่านจะสามารถหลงลำพองใจได้ หม่อมฉันยังต้องค่อยๆ ทดสอบท่านเสียก่อน”
มั่วจวินเหยาหันสายตาไปมองฮ่องเต้ “ขอฝ่าบาททรงอย่าเพิ่งรีบร้อนให้เราสองคนแต่งงานกันเพคะ แม้ว่าหม่อมฉันจะสนใจองค์ชายรองจริงๆ แต่ก็ยังอยากทดสอบเขาเสียหน่อยเพคะ หม่อมฉันต้องการให้เขายอมแต่งงานกับหม่อมฉันด้วยความเต็มใจเพคะ”
เผชิญหน้ากับคำพูดจองหองและไร้เดียงสาของมั่วจวินเหยา ฮ่องเต้ก็ตะลึงงัน
ตกลงสตรีผู้นี้เติบโตมาในสภาพแวดล้อมเช่นไร จึงทำให้นางหยิ่งทะนงและมั่นใจในตัวเองเช่นนี้
ฮ่องเต้อยากหัวเราะแต่รู้สึกว่าคงไม่เหมาะสมจึงกลั้นขำและพยักหน้า “เจิ้นยังชอบนิสัยตรงไปตรงมาเช่นนั้นของเจ้าจริงๆ กล้าพูดกล้าทำหากเหล่าสตรีในราชวงศ์เทียนของข้าล้วนเป็นเช่นเจ้าคงเป็นภาพที่น่าดูชม ดี เจ้าค่อยๆ ทดสอบไปบางทีไม่แน่ว่าผลลัพธ์อาจทำให้เจ้าเปลี่ยนใจ”
หากเป็นคนทั่วไปได้รับคำตอบเช่นนี้ ย่อมเข้าใจว่าคำพูดของฮ่องเต้คือให้นางล้มเลิกความหวังลมๆ แล้งๆ ไปเสีย
แต่มั่วจวินเหยาไม่เพียงแต่ไม่คิดยอมแพ้ กลับยิ่งแน่วแน่ที่จะเอาชนะใจของซั่งกวนเซ่าเฉิน
นางหันหน้าไปใช่น้ำเสียงที่ได้ยินเพียงสองคน “หม่อมฉันต้องการท่านแล้ว จะเป็นการดีที่สุดหากท่านแสดงท่าทีให้ดี เช่นนั้นหม่อมฉันจึงจะให้ตัวหม่อมฉันแก่ท่าน”
ซั่งกวนเซ่าเฉินที่กำลังดื่มเหล้าเกือบถูกคำพูดนี้ทำให้สำลัก
เขาพ่นลมหายใจเย็นชาออกมาทางจมูก “นี่หาใช่สถานที่ที่ให้เจ้ามาเพ้อฝัน เมื่อครู่ข้าพูดไปแล้วว่าเปิ่นหวางจื่อมีคนในใจแล้วจะไม่ตบแต่งกับผู้ใดนอกจากนาง เกรงว่าองค์หญิงคงต้องผิดหวังแล้ว”
ใครจะคิดว่ามั่วจวินเหยาที่พูดเสียงเบาให้พวกเขาสองคนได้ยินเพราะเกรงว่าผู้อื่นจะได้ยิน ทันใดนั้นจะกดแก้วเหล้าลงบนโต๊ะและร้องไห้ ‘ฮือ’ ออกมาคราหนึ่ง “ฮือๆๆ ท่านรังแกข้า ซั่งกวนเซ่าเฉินท่านมันคนชั่ว คาดไม่ถึงว่าจะกล้ามารังแกเปิ่นกงจู่!”
ในงานเลี้ยงตัวเอกของวันนี้ร้องไห้โฮออกมาอย่างกะทันหัน ทุกสายตามองไปยังซั่งกวนเซ่าเฉินโดยพลัน
เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่ยังมีท่าทียิ้มแย้มอย่างอ่อนหวาน ในยามนี้กลับร้องไห้น้ำตาไหลทำราวกับนางถูกเขารังแกจริงๆ
ซั่งกวนเซ่าเฉินขมวดคิ้วความรู้สึกในก้นบึ้งจิตใจรุนแรงยิ่ง เกรงว่าองค์หญิงที่มาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ผู้นี้ภายนอกดูเป็นคนร่าเริงตรงไปตรงมา แต่ภายในใจลึกๆ แล้วแท้จริงร้ายกาจ เกรงว่าคงไม่อาจยั่วยุได้โดยง่าย
“หาเรื่องโดยใช่เหตุ!” หลังจากซั่งกวนเซ่าเฉินมองมั่วจวินเหยาอย่างรังเกียจก็ลุกขึ้นคิดจะเดินออกไป ซึ่งหนานกงอี้จือก็กลับมาที่วังหลวงพอดี ใครจะคิดว่ามั่วจวินเหยากลับคว้าแขนของเขาไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย
“ท่านยังไม่ได้รับอนุญาตให้ไป วันนี้เป็นงานเลี้ยงต้อนรับเปิ่นกงจู่ ท่านเป็นพระสวามีในอนาคตเพียงผู้เดียวที่ต้องตาเปิ่นกงจู่ ในฐานะตัวเอกท่านจะออกไปก่อนได้อย่างไร?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินกลับสะบัดแขนของนางทิ้งอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย “องค์หญิงหรือ? เจ้าเป็นองค์หญิงของแคว้นซีอวี้ แต่เจ้าเป็นองค์หญิงที่ถูกส่งมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ในภายภาคหน้าองค์หญิงที่ถูกส่งมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ก็ต้องตบแต่งเข้าราชวงศ์เทียนของข้า ขออภัยเป็นอย่างยิ่ง บางทีเจ้าอาจกลายเป็นหวางเฟยขององค์ชายผู้หนึ่ง แต่องค์ชายของราชวงศ์เทียนหาใช่พระสวามีของแคว้นซีอวี้อย่างเด็ดขาด”
คำพูดนั้นมีความนัยเป็นการบอกมั่วจวินเหยาว่าอย่าได้จองหองเกินไป ถึงอย่างไรนางก็ต้องแต่งเข้ามาเป็นผู้ที่ก้มหัวอยู่ใต้ชายคา
“ท่าน…” มั่วจวินเหยาหายใจถี่กระชั้นนางโกรธจริงๆ แล้ว นิ้วเรียวยาวขาวผ่องกำหมัดแน่น ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างมองแผ่นหลังของซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างโกรธเคือง โกรธเกรี้ยวจนราวกับจะสามารถปล่อยดาบแหลมคมออกไปนับพันนับหมื่นเล่มได้
ฮ่องเต้เห็นเช่นนั้นก็กระแอมอย่างกระอักกระอ่วน “หรือองค์หญิงต้องการ…”
“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องปลอบหม่อมฉันเพคะ หม่อมฉันหาได้โกรธเคือง กลับกันหม่อมฉันชอบนิสัยขององค์ชายรองเป็นอย่างยิ่ง เขาพูดถูกต้องเพคะ หม่อมฉันทะนงตนเกินไป ที่นี่คือราชวงศ์เทียนหาใช่แคว้นซีอวี้ ฝ่าบาททรงวางใจหม่อมฉันจะต้องเป็นพระสุณิสาในอนาคตที่ยอดเยี่ยมที่สุดของพระองค์อย่างแน่นอนเพคะ”
กล่าวจบมั่วจวินเหยาก็ลุกขึ้นโค้งคำนับอย่างสุภาพ แม้ฮ่องเต้จะยังอยากพูดอันใด แต่สุดท้ายก็ทำเพียงเปลี่ยนเป็นยิ้มเล็กน้อยพยักหน้าอย่างพอใจ
แต่ซั่งกวนเซ่าเฉินกลับตรงไปยังหนานกงอี้จือโดยไม่หันกลับไป “เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ท่านดูเอาเองเถิด” หลังจากหนานกงอี้จือผ่อนลมหายใจอย่างหนักหน่วงอยู่หลายครา ก็ใช้คางชี้ไปด้านข้าง เห็นเพียงร่างคุ้นเคยของชายผู้หนึ่งที่รายล้อมด้วยกลุ่มผู้คุ้มกันซึ่งกำลังค่อยๆ เดินเข้ามา
เพียงครู่เดียวขันทีก็กราบทูล “ทูตแห่งซีอวี้มาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เชิงอรรถ
[1] มังกรในหมู่มนุษย์ หมายถึง ผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นไม่ธรรมดา