เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 10 ตอนที่ 274 องค์หญิงที่ถูกส่งมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 10 ตอนที่ 274 องค์หญิงที่ถูกส่งมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์
เล่มที่ 10 ตอนที่ 274 องค์หญิงที่ถูกส่งมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์
นางไม่คิดจะติดต่อกับซูเช่อบ่อยเกินไป แต่นางรู้อย่างลึกซึ้งจากที่ได้อยู่ในค่ายทหารเดียวกับซูเช่อ
หากมีคนที่หมายจะจัดการกับซูเช่อ เช่นนั้นคนพวกนั้นย่อมไม่ยอมปล่อยนางไปเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงคิดว่าจำเป็นต้องไปถามเขาว่าตกลงแล้วมันเกิดอันใดขึ้นกันแน่
แต่นางก็ต้องผิดหวังยามที่ไปถึงจวนเสียนหวางซูเช่อกลับไม่อยู่ในจวน ผู้ดูแลจวนบอกว่าเขาถูกเรียกตัวไปเข้าเฝ้าในวังหลวง ถึงอย่างไรวันนี้ก็เป็นวันที่องค์หญิงที่มาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ต้องเข้าวังหลวง
หลิงมู่เอ๋อร์มีเพียงทางเลือกที่ต้องกลับไป โดยที่ไม่รู้เลยว่าในห้องลับมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองอยู่ตลอด
“เหยียเหตุใดท่านจึงไม่ไปพบแม่นางหลิงหรือขอรับ เห็นได้ชัดว่าท่าน…”
คำพูดของจื่อถงยังไม่ทันจบก็ได้รับแรงกดดันจากสายตาเย็บเฉียบ เขาจึงทำได้เพียงปิดปากอย่างว่าง่าย
“นางย่อมมาเพียงเพื่อถามว่าเหตุใดข้าจึงเลือกลงมือในยามนี้ เป็นข้าที่บุ่มบ่ามเกินไปไม่จำเป็นต้องให้นางมาเห็นเรื่องน่าขัน!”
ซูเช่อหลับตาลงอย่างเซื่องซึมขณะที่รอบกายแผ่บรรยากาศเย็นเยือกไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้ ทำให้คนรู้สึกราวกับร่างอยู่บนธารน้ำแข็งพันปี
“ข้าน้อยคิดว่าแม่นางหลิงเป็นห่วงท่านจริงๆ ขอรับ นางย่อมไม่หัวเราะเยาะเหยียเหมือนผู้อื่นอย่างแน่นอน หากเป็นยามนี้ท่านยังไล่ตามไปทันขอรับ” จื่อถงรู้สึกร้อนใจแทนเจ้านายจริงๆ
ใครจะรู้ว่าซูเช่อกลับโกรธเกรี้ยวขึ้นมา “ตั้งแต่เมื่อใดที่เรื่องของเปิ่นหวางเป็นเรื่องที่แม้แต่พวกเจ้าก็ชี้นิ้วออกความเห็นได้ มายามนี้เจ้าคิดจะสอนว่าข้าควรเกี้ยวพาสตรีเช่นไรหรือ?”
จื่อถงรู้สึกละอายรีบคุกเข่าลงบนพื้น “ข้าน้อยมิกล้า”
“ในเมื่อไม่กล้าก็ปิดปากอย่างเชื่อฟังเสีย วันนี้ยังมีเรื่องน่าขันไม่พอหรือ!”
ซูเช่อคำรามอย่างเกรี้ยวกราดทั้งร่างเต็มไปด้วยไอสังหารราวกับอสูรที่ปีนขึ้นมาจากนรก
เขาร้อนรนเกินไปจริงๆ เป็นเพราะถูกกระตุ้นจากหลิงมู่เอ๋อร์ จึงทำให้เขาคิดอยากกำจัดหญิงเฒ่าชั่วร้ายผู้นั้นในวังหลวงโดยเร็วที่สุด
แต่คาดไม่ถึงว่าการมาถึงขององค์หญิงที่ถูกส่งมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ จะทำให้แผนการทั้งหมดของเขาปั่นป่วนจนเขากลายเป็นตัวตลกของเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหลาย!
ทุกคนต่างรู้อย่างชัดเจนว่าเรื่องนี้เขาทำเพราะมีเหตุผล เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้เขาทำไปเพื่อล้างแค้นให้กับชีวิตของตัวเขาเอง แต่เพราะสาเหตุจากองค์หญิงที่มาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ฮ่องเต้จึงปล่อยนางไปก่อนเป็นการชั่วคราวทำให้นางมีเวลามากพอที่จะหาโอกาสพลิกสถานการณ์ของตัวเอง!
วันนี้ในท้องพระโรงแม้เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊จะล้วนเห็นใจเขาเป็นอย่างยิ่ง แต่จะมีผู้ใดบ้างที่จะมิหัวเราะเยาะเขาอยู่ในใจ
ครั้งนี้ไม่อาจโค่นล้มหวางโฮ่วได้ คราหน้าหากต้องการประหารนางต่อหน้าธารกำนัลเกรงว่าคงยาก
ยิ่งไปกว่านั้นเพราะเรื่องครานี้หวางโฮ่วจะต้องพยายามมากขึ้นเพื่อกำจัดเขาเป็นแน่ เขาอยู่ข้างหลิงมู่เอ๋อร์มาโดยตลอด ตามความคิดของคนผู้นั้นไม่มีทางปล่อยหลิงมู่เอ๋อร์ไปเด็ดขาด
ดังนั้นหากต้องการรักษาความปลอดภัยของนาง เช่นนั้นทางเดียวที่สามารถทำได้คือการอยู่ให้ห่างหญิงสาวผู้นั้นให้มากอีกสักหน่อย
“จากซีอวี้ อามู่เหยาเหยาขอถวายบังคมฮ่องเต้ ขอให้ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปีเพคะ”
สตรีโฉมงามคุกเข่าถวายบังคมฮ่องเต้ด้วยความอ่อนน้อมยิ่ง ทุกคนที่มากับนางล้วนมีท่าทีเช่นเดียวกันกับนาง แต่ทุกคนล้วนหาได้มีความยินดีปรีดาบนใบหน้า
องค์หญิงองค์นี้ไม่เพียงแต่สวยสง่าทว่าน้ำเสียงยังหวานหยดย้อย ที่สำคัญเห็นได้ชัดว่าถูกพาตัวมาเพื่อแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ด้วยความต้องการที่จะยอมจำนน แต่นางกลับมีท่าทีมีความสุขเป็นอย่างยิ่งและเต็มไปด้วยความสนใจใคร่รู้
“องค์หญิงไม่จำเป็นต้องมากพิธี ลุกขึ้นเถอะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เต็มไปด้วยความสุข “เจ้าบอกว่าเจ้าชื่ออามู่เหยาเหยาหรือ?”
สตรีผู้สวมเสื้อผ้าอันเป็นเอกลักษณ์ของซีอวี้ ยามที่ลุกขึ้นก็ยังคงทำตามธรรมเนียมของซีอวี้ หมุนกายอย่างงดงามยิ่งทำให้นางดูน่ารักซุกซน
นางมองฮ่องเต้ด้วยท่าทีอยากรู้อยากเห็นพยักหน้าราวกับเด็กที่มีไหวพริบ “เพคะฝ่าบาท ทว่าตามธรรมเนียมแล้วทันทีที่หม่อมฉันได้เข้ามาเป็นคนของราชวงศ์เทียน เช่นนั้นหม่อมฉันจะต้องตั้งชื่อของตัวเองจากฝั่งพวกท่านมาใช้เพคะ”
“ชื่อจากฝั่งพวกข้า?” ฮ่องเต้ตกตะลึงกับการที่นางพูดเช่นนี้ ทว่าเพียงพริบตาเดียวก็หัวเราะออกมาเสียงดังอย่างพึงพอใจ “ฮ่ะ ฮ่าๆๆ น่าสนใจ องค์หญิงช่างเป็นคนที่ดูอิสระและร่าเริงนัก ช่างน่าสนใจจริงๆ เช่นนั้นองค์หญิงจะตั้งชื่อให้ตัวเองว่าอย่างไร?”
“หม่อมฉันชื่นชอบวัฒนธรรมของราชวงศ์เทียนเป็นอย่างยิ่งมาตั้งแต่เด็กเพคะ ‘แสงสุริยันเมฆาเหลืองทอดยาวพันลี้ ลมอุดรพัดพาห่านป่าและหิมะโปรยปรายมาตามกัน หาได้หวั่นเกรงหนทางเบื้องหน้าซึ่งไร้คนคุ้นเคย ในใต้หล้าไหนเลยจะมีผู้ใดมิรู้จักองค์ราชา’ นามของหม่อมฉันคือมั่วจวินเหยาเพคะ!”
สตรีผู้นั้นเงยศีรษะขึ้นด้วยความมั่นใจในตนเอง ราวกับพอใจเป็นอย่างยิ่งที่ตัวเองเปลี่ยนชื่อ
“ประโยคที่ว่าในใต้หล้าไหนเลยจะมีผู้ใดมิรู้จักองค์ราชานับว่าดียิ่ง เจิ้นชอบนิสัยใจคอเจ้า” ฮ่องเต้ที่ถูกเยินยอก็มีความสุขจนเลิกคิ้วขึ้น จากที่แรกเริ่มเดิมทีหาได้ยินดีต้อนรับองค์หญิงที่ถูกส่งมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ผู้นี้เท่าใดนัก กลับแปรเปลี่ยนเป็นชื่นชอบไปเสียแล้ว
“ให้คนเข้ามาเตรียมงานเลี้ยง!”
สิ้นรับสั่งฮ่องเต้เหล่าข้าทาสบริวารที่เตรียมตัวอย่างพร้อมเพรียงก็ยุ่งตัวเป็นเกลียวขึ้นมาโดยพลัน
เห็นเพียงอาหารชั้นเลิศหน้าตาน่าอร่อยถูกยกขึ้นมาวางบนโต๊ะจานแล้วจานเล่า มั่วจวินเหยาเห็นเช่นนั้นก็น้ำลายสอ
ฮ่องเต้นำหวางโฮ่วและเหล่าองค์ชายมาด้วยตัวเอง นี่เป็นการแสดงความยิ่งใหญ่ในราชวงศ์ของตนอย่างชัดเจน ในขณะที่ทางฝั่งซีอวี้นอกจากองค์หญิงที่ถูกส่งมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์แล้วคาดไม่ถึงว่าจะไม่มีแม้แต่คนข้างกาย
“ทูตอยู่ที่ใด? ได้ข่าวว่ากษัตริย์แคว้นซีอวี้ส่งทูตที่มีความสามารถเป็นเลิศผู้หนึ่งมาเป็นพิเศษ เพื่อความปลอดภัยขององค์หญิงที่มาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ แต่เหตุใดเจิ้นจึงไม่เห็นเลยเล่า?” ฮ่องเต้สงสัยขึ้นมาฉวยโอกาสยามที่มั่วจวินเหยาไม่ทันสังเกต ส่งสายตาเป็นสัญญาณให้ทหารองครักษ์ที่ทำหน้าคุ้มกันอยู่ให้ไปตรวจสอบ
คณะทูตจากต่างแดนมาถึงแล้วแต่กลับไม่เห็นผู้นำ หากคิดจะทำการลับอันใดในแคว้นของตน เช่นนี้ย่อมไม่เป็นผลดีต่อความปรองดองของทั้งสองแคว้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงการคุ้มกันเลย
มั่วจวินเหยาที่ทำเพียงจ้องมองอาหารชั้นเลิศน่าอร่อย เมื่อได้ยินเช่นนี้จึงเงยหน้าขึ้นมาทว่าใบหน้ากลับไม่ยินดียินร้าย “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องลำบากพวกท่านหาเขาไม่เจอหรอกเพคะ”
เห็นได้ชัดว่าคำพูดนี้มีความนัยบางอย่าง อารมณ์อันดีทั้งหมดสลายหายไปเพราะประโยคนี้ ฮ่องเต้ตรัสถามด้วยความโกรธที่คุกรุ่น “เจ้าพูดอันใด?”
ฉับพลันนั้นที่ฟังออกว่าฮ่องเต้ไม่สบอารมณ์ องค์หญิงที่มาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์จึงยืดตัวขึ้นมานั่งหลังตรง “ฝ่าบาทโปรดอย่าทรงเข้าใจผิดเพคะ ในเมื่อแคว้นซีอวี้ของพวกหม่อมฉันยอมจำนนด้วยความจริงใจย่อมไม่ลงมือกระทำการอันใดอย่างลับๆ ขอกล่าวตามจริงอย่างมิปิดบังว่าทูตซึ่งถูกส่งมารับหน้าที่ติดตามหม่อมฉันในครานี้คือเสด็จพี่ของหม่อมฉันเพคะ ระหว่างทางที่มาเสด็จพี่ซึ่งเห็นแก่เล่นสนุกยามที่ไปออกล่าไม่ระวังจึงได้รับบาดเจ็บที่มือ ได้ยินมาว่าที่เมืองหลวงมีแม่นางเซียนแพทย์ผู้หนึ่งมิใช่หรือเพคะ เขาจึงได้ไปที่โรงหมอเพื่อรักษาแล้วเพคะ”
ยามที่คำว่า ‘แม่นางเซียนแพทย์’ ถูกยกขึ้นมาสีหน้าของซั่งกวนเซ่าเฉินก็แปรเปลี่ยนไป คิดจะลุกขึ้นมาหมายจะออกไปแต่กลับถูกหนานกงอี้จือที่อยู่ด้านข้างรีบขวางไว้
หนานกงอี้จือส่งสายตาให้เขาใจเย็นอย่าได้วู่วาม
ซั่งกวนเซ่าเฉินรู้ว่าแม้เขาจะอยากเร่งรุดออกไปแต่ก็จำต้องรั้งรออยู่ครู่หนึ่งก่อน เขาเป็นถึงองค์ชายรองแห่งราชวงศ์เทียน หากหุนหันลุกขึ้นมาในยามนี้ย่อมถือเป็นการหมิ่นเกียรติขององค์หญิงผู้มาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ จึงทำได้เพียงใช้สายตาบอกให้หนานกงอี้จือไปตรวจสอบ
หนานกงอี้จือซึ่งเป็นเพียงซื่อจื่อในครานี้ปรากฏตัวเพื่อเป็นตัวแทนของจวนหนิงกั๋วโหว มางานเลี้ยงต้อนรับองค์หญิงผู้มาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ดังนั้นเขาจะอยู่หรือไปย่อมไม่สำคัญนัก
หนานกงอี้จือส่งสายตาให้เขาวางใจเมื่อได้รับคำสั่งก็ออกไปจากงานเลี้ยงเงียบๆ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” ได้ฟังคำพูดที่ตรงไปตรงมาของมั่วจวินเหยา ฮ่องเต้ก็คลายความสงสัยและระแวดระวังโดยพลัน “แม้จะบอกว่าเป็นความจริงที่แม่นางเซียนแพทย์มีทักษะทางการแพทย์สูงยิ่ง แต่หมอหลวงในวังของเจิ้นก็หาได้มีฝีมือด้อยไปกว่านาง อย่างไรก็ขอให้องค์หญิงส่งคนไปเรียกทูตกลับมาเถอะ มีเจิ้นอยู่ย่อมต้องให้เขารักษาให้หายดีอย่างเร็วที่สุดแน่นอน”
“เพคะฝ่าบาท” มั่วจวินเหยาตอบรับอย่างสบายๆ สั่งสาวใช้ข้างกายให้ไปเรียกพี่ชายกลับมาในทันที
หลังมอบหมายคำสั่งเรียบร้อยนางก็รีบหมุนกายกลับมาอย่างรวดเร็ว “ทูลฝ่าบาท พวกเราสามารถเริ่มทานได้เลยหรือไม่เพคะ?”
เห็นได้ชัดว่าเป็นองค์หญิงที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างสูงส่ง แต่กลับดูเหมือนเด็กที่ยังไม่โต ดวงตาไร้เดียงสาดูไม่ได้คิดอันใด ทำให้ฮ่องเต้รู้สึกขบขันขึ้นมาโดยพลัน
“เป็นเจิ้นสะเพร่าเอง องค์หญิงเดินทางมาอย่างเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้เกรงว่าคงเจอกับความยากลำบากมาไม่น้อย กินเถอะงานเลี้ยงเริ่มอย่างเป็นทางการแล้วองค์หญิงไม่จำเป็นต้องรั้งรอ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทเป็นอย่างยิ่งเพคะ!”
คำพูดยังไม่ทันจบขาไก่ข้างหนึ่งก็ถูกยัดเข้าปาก องค์หญิงราวกับเห็นสิ่งอื่นจึงรีบวางขาได้ทั้งยังกินอาหารอันโอชะอย่างอื่นต่อ
ท่าทีของนางราวกับอาหารอันโอชะบนโต๊ะนี้ล้วนไม่เคยพบเจอมาก่อน เมื่อเห็นว่าทั้งสดทั้งอร่อยนางก็ยิ่งไม่สนใจฐานะองค์หญิงกินเข้าไปคำใหญ่ ทำให้รู้สึกถึงความเรียบง่ายไร้การป้องกันอันใด
ฮ่องเต้และทุกคนมองเห็นเช่นนั้นก็ถูกนางที่กินอย่างไร้ซึ่งมารยาทำให้ตะลึงงันโดยพลัน แต่เป็นเพราะความเรียบง่ายของนางทำให้ฮ่องเต้มีสีหน้ามีความสุข
“ช่างมีนิสัยเรียบง่ายร่าเริงทีเดียว เจิ้นชอบนัก หากองค์หญิงกินอิ่มแล้วเช่นนั้นพวกเราก็มาพูดคุยเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กัน”
ฮ่องเต้ชี้ไปรอบด้าน “เจิ้นจะแนะนำให้เจ้าเสียหน่อย ทั้งหมดที่นั่งอยู่นี้ล้วนเป็นโอรสของเจิ้น ทุกคนล้วนถึงวัยที่จะตบแต่งแล้วไม่รู้ว่าองค์หญิงรู้สึกพึงใจผู้ใดหรือไม่?”
ปฏิบัติต่อองค์หญิงที่มาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ดีเป็นอย่างยิ่งเช่นนี้ ทำให้เหล่าองค์ชายล้วนมองอย่างทึมทื่อ
เห็นได้ชัดว่าเป็นการแต่งงานทางการเมือง เรื่องงานแต่งย่อมต้องเป็นฮ่องเต้ตัดสินใจเอง แต่เพราะชอบนิสัยของนางจึงให้สิทธิ์อันใหญ่หลวงนี้แก่นาง ทำให้เหล่าองค์ชายรู้สึกราวกับตัวเองเป็นเพียงผักกาดขาวในสวนผักที่ให้นางมาเก็บเองได้ตามใจ
“เสด็จพ่อ องค์หญิงที่มาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์มีนิสัยร่าเริงเปิดเผย ลูกคิดว่าเหมาะสมกับพี่หกทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ ไม่ทราบว่าพี่หกคิดเห็นอย่างไร?” องค์ชายเจ็ดเปิดปากก่อนผลักองค์หญิงไปเบื้องหน้าเขาโดยพลัน
ทุกคนรู้ว่าองค์หญิงที่มาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เป็นตัวแทนของแคว้นซีอวี้ หากผู้ใดตบแต่งกับนางในอนาคตก็จำต้องเกี่ยวพันกับแคว้นซีอวี้ไปเรื่อยๆ แต่ด้วยสาเหตุที่แคว้นซีอวี้เป็นศัตรู ต่อให้พวกเขาจะมีความคิดที่มิยอมจำนนเช่นนี้ ทว่าในอนาคตก็ไม่อาจถูกใช้ประโยชน์ได้
องค์ชายเจ็ดผลักองค์หญิงไปให้องค์ชายหกตรงๆ เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาดูแคลนสถานะของเขา ถึงขั้นกล้าทำลายเขาต่อหน้าฮ่องเต้
องค์ชายหกที่เดิมทีไม่คิดจะออกหน้าในงานเลี้ยงขมวดคิ้ว “น้องเจ็ดหมายความว่าอย่างไร จากที่ข้าเห็นตำหนักองค์ชายเจ็ดมีสตรีอยู่เพียงสองคนนิสัยก็ล้วนต่างกันเป็นอย่างยิ่ง องค์หญิงที่มาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ผู้นี้ไร้เดียงสาถึงเพียงนี้ให้เข้าไปอยู่ตำหนักองค์ชายเจ็ดของเจ้าย่อมเป็นการดี”
ทั้งสองคนเจ้าพูดข้าพูด ต่างฝ่ายต่างมีความเห็น
“พวกท่านกำลังหารือว่าในอนาคตข้าต้องตบแต่งกับผู้ใดหรือเพคะ?” ได้ยินพวกเขาโต้เถียงกันอยู่นาน มั่วจวินเหยากลืนอาหารในปากกะพริบตาปริบๆ อย่างไร้เดียงสา
องค์ชายเจ็ดรีบกล่าว “ถูกต้ององค์หญิง องค์หญิงคงไม่รู้ว่าพี่หกของข้าเป็นผู้มากความสามารถทั้งยังทะนุถนอมสตรีเป็นอย่างยิ่ง หากเจ้าแต่งเข้าเจ้าย่อมไม่ได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างแน่นอน”
องค์ชายหกก็หาได้ปิดปากเงียบ “หากพูดเรื่องความสามารถข้าจะเทียบน้องเจ็ดได้อย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทะนุถนอมสตรีเลย เพียงแค่เห็นจำนวนสตรีในตำหนักของเจ้าก็พอมองออกถึงระดับความเมตตาขององค์ชายเจ็ดได้ดีทีเดียว”
รู้สึกว่าตัวเองถูกเตะไปมาราวกับลูกหนัง อีกทั้งฮ่องเต้ยังมีท่าทีราวกับดูการแสดง มั่วจวินเหยาก็ไม่มีความสุขนัก
นางกอดอกด้วยมือทั้งสองข้างพองแก้มอย่างโกรธเคือง “ฝ่าบาทเพคะแม้หม่อมฉันจะเป็นองค์หญิงที่มาเพื่อแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ แต่หม่อมฉันก็ยังมีสิทธิมนุษยชนเพคะ หม่อมฉันได้ยินว่าราชวงศ์เทียนให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนเป็นอย่างยิ่ง เช่นนั้นเหตุใดพวกท่านจึงไม่ให้เกียรติหม่อมฉันถึงเพียงนี้ ถึงขั้นผลักไสหม่อมฉันไปมาเลยหรือ? เมื่อครู่ฝ่าบาททรงพูดว่าหม่อมฉันสามารถเลือกได้ตามใจใช่หรือไม่เพคะ?”
ที่แท้องค์หญิงที่ไร้เดียงสาผู้นี้ก็หาใช่ลูกพลับนิ่ม [1]
ฮ่องเต้ได้ยินก็ยิ้มอย่างเบิกบาน “ถูกต้อง ราชวงศ์เทียนของข้าให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนจริงๆ ดูท่าองค์หญิงคงไม่พึงใจโอรสผู้ยอดเยี่ยมทั้งสองคนของข้าหรือจะมีคนในใจแล้ว?”
สายตาของมั่วจวินเหยากวาดตามองเหล่าองค์ชายรอบหนึ่ง ริมฝีปากยกขึ้นอย่างมีเลศนัย “ก่อนมาที่นี่หม่อมฉันคิดมาอย่างดีแล้วเพคะ หม่อมฉันต้องเลือกพระสวามีอย่างรอบคอบถึงอย่างไรพวกเราก็มาด้วยความจริงใจอย่างยิ่งยวด เสด็จพ่อของหม่อมฉันก็ทรงตรัสว่าเรื่องการแต่งงานของหม่อมฉันเป็นสิ่งที่ตัดสินความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองแคว้นเพคะ ขอเพียงหม่อมฉันมีความสุขแคว้นซีอวี้ของพวกหม่อมฉันก็ย่อมไม่เป็นปรปักษ์กับราชวงศ์เทียนตลอดไป ดังนั้นหม่อมฉันจำต้องเลือกพระสวามีที่หม่อมฉันพึงใจ แต่ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะทรงเห็นด้วยหรือไม่เพคะ”
ถูกคำพูดนี้ของนางทำให้ตำลึงงัน แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่เคยพบเจอองค์หญิงที่ถูกส่งมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ทะนงตนอย่างยิ่งถึงเพียงนี้
เขาถามหยั่งเชิง “เช่นนั้นเจ้าลองบอกมาเถอะว่าพึงใจผู้ใด?”
สายตาของมั่วจวินเหยาตรงไปหยุดอยู่ที่ร่างหนึ่ง “ถึงแม้หม่อมฉันจะยังไม่แน่ใจว่าเขาจะเป็นตัวเลือกสุดท้ายหรือไม่ ทว่าระหว่างที่เดินทางมาจากประตูเมืองสายตาของหม่อมฉันมองตามเขามากที่สุดเพคะ”
เชิงอรรถ
[1] ลูกพลับนิ่ม หมายถึง คนที่อ่อนแอรังแกได้ง่าย