เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 1 บทที่ 26 จับปลา
เล่มที่ 1 บทที่ 26 จับปลา
หลิงมู่เอ๋อร์หยิบข้องจับปลาออกมาจากตะกร้าที่สะพายอยู่ด้านหลัง จากนั้นก็ไปหาถังไม้ในห้องครัวมาหนึ่งถัง นางได้ยินคำพูดของถังซื่อก็กล่าวตอบรับโดยไม่หันหลังกลับไปมอง “ไม่ต้องเจ้าค่ะ ข้าผู้เดียวก็พอแล้ว”
ถังซื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของหลิงมู่เอ๋อร์เดินออกไป นางส่ายหัวอยู่ด้านหลังพลางกล่าว “เด็กคนนี้ไม่รู้ว่าเหมือนผู้ใด นิสัยรีบร้อนดั่งสายลมและไฟ ทิฐิสูง อีกทั้งยังไม่ได้บอกกล่าวแก่ข้าเลยว่าจะกระทำสิ่งใด! ”
หลิงมู่เอ๋อร์ถือถังไม้ และข้องใส่ปลาไปที่ริมแม่น้ำของหมู่บ้านตระกูลหยาง
แม่น้ำสายนี้ของหมู่บ้านตระกูลหยางมีขนาดใหญ่โตมาก ไม่รู้ว่าไหลทะลุผ่านทางใดบ้าง ถ้าหากหมู่บ้านตระกูลหลิงมีน้ำแม่เช่นนี้ หลิงมู่เอ๋อร์จะต้องใช้ความสามารถได้อย่างเต็มที่แน่นอน แต่น่าเสียดาย หมู่บ้านตระกูลหลิงไม่มีแม่น้ำเช่นนี้ นางจึงทำได้แค่มาพึ่งอาศัยใบบุญของหมู่บ้านสกุลหยางแล้ว
“เจ้าคนอัปลักษณ์ เจ้ามาทำสิ่งใดอยู่ที่นี่?เจ้าไม่ใช่คนของหมู่บ้านตระกูลหยาง เหตุใดถึงมาจับปลาที่หมู่บ้านตระกูลหยางของข้าได้?” เด็กชายอายุประมาณสิบปีกระโดดลงมาจากต้นไม้ แล้วตะโกนถามหลิงมู่เอ๋อร์
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นเด็กผู้นี้พลันขมวดคิ้วทันที
ถึงแม้ว่าแม่น้ำสายนี้จะเกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ ไม่เกี่ยวข้องกับหมู่บ้านตระกูลหยาง แต่ว่าคนในสมัยโบราณมักให้ความสำคัญกับอำนาจในอาณาเขตเป็นอย่างยิ่ง และหวงแหนสิ่งของของตัวเองเป็นที่สุด ถ้าหากเจ้าเด็กผู้นี้เอาเรื่องที่นางจับปลาได้ไปบอกชาวบ้านคนอื่น เกรงว่าคนในหมู่บ้านตระกูลหยางจะไม่ยินยอมเป็นแน่ ถังซื่อที่เป็นคนกลางก็จะลำบากใจได้
ในเรื่องนี้ เป็นนางที่สะเพร่าแล้ว
“เจ้ามีนามว่าอันใด?” หลิงมู่เอ๋อร์มองเด็กคนนั้นพลางกล่าว “เจ้าอยากเรียนวิธีจับปลาหรือไม่?ข้าจะแบ่งปลาที่จับได้ให้กับเจ้าครึ่งหนึ่ง”
เด็กคนนั้นมีนามว่าฮานจื่อ หน้าตาดูเหมือนคนซื่อๆ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม เพียงแต่ดวงตากลมโตคู่นั้นกลอกไปมาอย่างเลิ่กลั่กราวกับลิงก็มิปาน ดูแล้วคล้ายกับว่ามีไหวพริบที่ดี ถ้าหากคนที่ให้ความสำคัญกับรูปร่างหน้าตาก็จะถูกเขาหลอกเอาได้ง่าย แท้ที่จริงแล้วก็เป็นเพียงเด็กฉลาดซุกซนคนหนึ่งเท่านั้น
“ท่านปู่ของข้าคือหลี่เจิ้งของที่นี่ ถ้าหากว่าอยากกินปลาแล้วล่ะก็ ย่อมมีคนมากมายนำมามอบให้ถึงหน้าประตูบ้าน ข้าไม่ต้องไปจับปลาให้โง่หรอกนะ เหตุใดถึงต้องทำให้ตนเองหนาวขนาดนั้นด้วย ” ฮานจื่อกล่าวอย่างดูแคลน
“ท่านปู่เจ้าเป็นหลี่เจิ้ง เจ้าไม่ใช่หลี่เจิ้งเสียหน่อย คนอื่นมอบปลาให้ท่านปู่ของเจ้าไม่ได้ให้เจ้า สิ่งที่เจ้าหามาได้ด้วยตนเองนั่นถึงจะเป็นสิ่งของของเจ้า เจ้าโตถึงขนาดนี้แล้ว คงไม่ได้กินข้าวที่ให้ทานจากท่านปู่อยู่หรอกกระมัง?นั่นช่างน่าสงสารจริงๆ ถึงแม้ว่าข้าจะโตกว่าเจ้าไม่มาก แต่ว่าข้าเริ่มทำงานหาเงินกินข้าวเองตั้งแต่อายุได้ห้าขวบแล้ว ทั้งยังดูแลน้องชายและดูแลทั้งเรื่องในที่นาเรื่องในบ้านอีกด้วย ” หลิงมู่เอ๋อร์มองเด็กน้อยก่อนเอ่ยวาจาถากถาง “เจ้าโตขนาดนี้แล้วยังเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านแม่กับท่านปู่อยู่อีก ช่างน่าสงสารเหลือเกิน!เจ้าไม่ได้เป็นเด็กโง่ใช่หรือไม่!เช่นนั้นเหตุใดถึงทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง?”
ฮานจื่อถลึงตาใส่หลิงมู่เอ๋อร์ ใบหน้าน้อยๆ นั้นอดกลั้นจนแดงก่ำ
ถึงแม้เด็กคนนี้จะไม่เหมือนเด็กที่ถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจและคอยประคบประหงมเฉกเช่นบุตรหลานของตระกูลสูงศักดิ์ในเมือง แต่บนร่างกายของเขาสวมใส่เสื้อฝ้าย และผิวพรรณที่บำรุงอย่างดีนั้น ดูก็รู้ว่าครอบครัวรักใคร่เขาเป็นอย่างดี
หลิงมู่เอ๋อร์มีความประทับใจไม่เลวต่อหลี่เจิ้งของหมู่บ้านตระกูลถัง นางคิดไม่ถึงว่าบุตรหลานของหลี่เจิ้งจะเป็นเด็กเช่นนี้ ทว่า สุภาษิตกล่าวไว้ว่า คานบนไม่ตรง คานล่างเอียง [1] หลี่เจิ้งเป็นคนที่เที่ยงตรง ถึงแม้ว่าบุตรหลานเขาจะซุกซนแต่ดวงตาก็ใสบริสุทธิ์ ฉะนั้นก็ไม่ใช่คนที่เลวร้ายอันใด เพียงแค่ต้องชี้นำเล็กน้อย นางจะทำให้เด็กคนนี้ยอมอ่อนข้อและเชื่อฟังได้อย่างแน่นอน
“อันใดคือลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านแม่กับท่านปู่?” ฮานจื่อถูกหลิงมู่เอ๋อร์กล่าวเช่นนี้ ใบหน้าของเขาก็ข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่ เขาอดกลั้นอยู่นาน ในที่สุดก็เอ่ยประโยคนี้ออกมา
หลิงมู่เอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะหัวเราะในใจ แต่ใบหน้าของนางที่แสดงออกมานั้นเคร่งขรึมจริงจัง นางกล่าวออกมานิ่งๆ “ก็คือ…ลูกรักของท่านแม่กับท่านปู่ ทุกอย่างล้วนเป็นแม่กับปู่ที่ตัดสินใจ ตนเองไม่มีสิทธิจะตัดสินใจอย่างไรล่ะ”
“ข้าไม่ใช่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านแม่กับท่านปู่สักหน่อย ข้าสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตนเอง มิใช่แค่การจับปลาหรือ? ข้าก็ทำได้เช่นกัน” ฮานจื่อครั้นได้ยินก็โกรธขึ้นมา “พวกเรามาพนันกัน ข้าจะต้องจับปลาได้มากกว่าเจ้าแน่นอน ”
“อืม…ไม่สามารถลงไปจับในน้ำได้ ทำได้แค่เพียงเอาข้องจับปลาของข้าใบนี้จับปลาเท่านั้น ถ้าหากเจ้าลงน้ำ แล้วทำให้ตนเองตัวแข็งจนป่วยขึ้นมา แล้วมากล่าวโทษข้า ข้าจะไม่ได้รับความไม่เป็นธรรมหรอกหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวด้วยท่าทางที่แสดงออกมาว่า ‘ข้าอ่านแผนการในใจของเจ้าออกหมดแล้ว’
ถึงแม้ฮานจื่อจะเป็นเด็กฉลาด แต่อย่างไรก็ยังคงเป็นเพียงแค่เด็ก หลิงมู่เอ๋อร์เพียงแค่โจมตีเขาหนึ่งที เขาก็ตกหลุมพรางแล้ว
“ตกลง ข้าเอาตามเจ้าว่า” ฮานจื่อถือข้องจับปลาของหลิงมู่เอ๋อร์ขึ้นมา หาตำแหน่งที่น้ำตื้น แล้วจึงเริ่มจับปลา
หลิงมู่เอ๋อร์เตรียมข้องจับปลามาสามใบ เพื่อป้องกันการถูกน้ำพัดหายไป ในขณะนี้ฮานจื่อเอาไปแล้วหนึ่งใบ นางจึงหยิบใบที่สองออกมาจากมิติ แต่ว่าถังไม้ใส่ปลาเตรียมมาแค่ถังเดียว ตอนนี้ถูกฮานจื่อนำไปใช้แล้ว นางทำได้แค่เตรียมสิ่งอื่นเท่านั้น
อืม…มิสู้นำข้าไปไว้ในมิติไม่ดีกว่าหรือ?ถึงอย่างไรนางก็แค่ยั่วยุฮานจื่อเท่านั้น ไม่ได้ทำเพื่อที่จะกดดันเขาจริงๆ เสียหน่อย ถึงตอนนั้นก็แกล้งทำเป็นข้าจับปลาไม่ได้เลยแม้แต่ตัวเดียว ถึงแม้ว่าเจ้าเด็กผู้นั้นอยากจะฟ้อง นั่นก็ต้องมีมูลเหตุถึงจะร้องเรียนได้
หลังจากวางแผนการได้แล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ก็เริ่มลงมือจับปลา นางอยู่ห่างจากตำแหน่งของฮานจื่อ นั่งลงแล้วขุดเจาะแผ่นน้ำแข็งออกมาหนึ่งแผ่น หลังจากนั้นก็เริ่มจับปลา
ตอนนี้อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นมาแล้ว แต่ว่าพื้นน้ำแข็งยังไม่ละลาย แต่เป็นเช่นนี้ก็ยิ่งดี เพียงแค่ขุดรูเล็กๆ หนึ่งรู ปลาพวกนั้นก็จะกระโดดออกมาแล้ว เช่นนี้ก็สามารถจับปลาได้เยอะมากขึ้นแล้ว
ซ่าซ่าซ่าซ่า!เมื่อแผ่นน้ำแข็งแตกออกนั้น ปลาตัวน้อยสดใหม่ก็กระโดดออกมาทีละตัวทีละตัว
หลิงมู่เอ๋อร์ตาไวมือไว ใช้ความเร็วที่รวดเร็วจับปลาพวกนั้นไว้ จากนั้นก็เอาใส่ไว้ในมิติ
ทำเช่นนี้ติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม หลิงมู่เอ๋อร์เห็นว่าไม่มีปลากระโดดออกมาแล้วจึงคิดจะเปลี่ยนตำแหน่งใหม่ นางหยัดกายลุกขึ้นยืน มองไปที่ฮานจื่อที่อยู่ไกลออกไป เห็นแต่เขายุ่งจนเหงื่อท่วมไปทั่วทั้งร่าง แต่ว่าปลาพวกนั้นก็ยังเล็ดลอดออกจากมือเขาไปได้ นางเดินเข้าไป มองปลาที่อยู่ในถังไม้ครึ่งถัง แสร้งกล่าวด้วยทำท่าตกตะลึง “เจ้าจับได้มากมายขนาดนี้เชียวหรือ?เหตุใดข้าถึงจับได้แค่สามตัวเท่านั้นเล่า?”
หลิงมู่เอ๋อร์นำปลาสามตัวเสียบไว้บนท่อนไม้
ฮานจื่อได้ยินว่าหลิงมู่เอ๋อร์จับได้เพียงสามตัวก็แอบภูมิใจอยู่นิดๆ เด็กชายเงยหน้าขึ้นมอง ปลาสามตัวนั้นรวมกันยังมากกว่าปลาสิบกว่าตัวของเขาเสียอีก ใบหน้าเล็กๆ ของเขามืดครึ้มลง แววตาก็เด็ดเดี่ยวมากยิ่งขึ้น เขากล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ “ข้าไม่เชื่อหรอก ก็แค่จับปลาเท่านั้นเอง จะยากเกินกว่าที่นายท่าน [2] เช่นข้าจะทำได้หรือ?วันนี้ข้าจะจับปลาให้เต็มถังนี้กลับไปให้ได้”
“เช่นนั้นเจ้าก็ค่อยๆ จับเถิด!ถ้าหากแบกไม่ไหว ก็กลับบ้านไปบอกผู้ใหญ่ที่เรือน ให้พวกเขามาช่วยเจ้ายกกลับไป อีกสักพักข้าก็จะกลับบ้านแล้ว ก็จะไม่บอกกล่าวกับเจ้าอีกแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว
ฮานจื่อได้ยินว่านางจะกลับแล้ว ก็กล่าวอย่างลำพองใจว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้ากลัวหรอกกระมัง?ในเมื่อกลัวแล้ว เช่นนั้นก็กลับบ้านไปเถิด!นายท่านเช่นข้าก็จะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้าแล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราะเยาะหนึ่งเสียง “ขนยังขึ้นไม่ทันครบ ยังกล้าเรียกตนเองว่านายท่านเสียแล้ว เจ้าเด็กน้อยเอ๋ย ช่างไม่อายจริงๆ ”
เดินออกห่างจากตำแหน่งนั้น หลิงมู่เอ๋อร์ก็เปลี่ยนไปตำแหน่งอื่น ครานี้ไม่มีฮานจื่อมารบกวน นางก็กลับเข้าสู่สภาวะจริงจังอย่างรวดเร็ว นำปลาที่อยู่ในแม่น้ำย้ายไปที่บ้านหลังใหม่
น่าเสียดาย!ที่ตอนนี้นางไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบดูในมิติได้ อยากจะเห็นบ่อน้ำส่วนตัวของนางแล้วจริงๆ ว่าจะเป็นอย่างไร
เมื่อเห็นว่าเป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ก็หยุดจับปลา เตรียมที่จะกลับไปดูแลถังซื่อ หยางต้าหนิวและหยางเสี่ยวหู่ล้วนไม่อยู่ทั้งคู่ แม้แต่การที่ถังซื่อเข้าห้องสุขาก็อันตรายมากๆ
วันนี้หาได้ปลาเยอะมาก เที่ยงนี้ก็ทานปลาแล้วกัน ร่างกายของถังซื่ออ่อนแอ ประจวบเหมาะต้องได้รับการบำรุงอย่างดี เช่นนั้นก็ทำน้ำแกงปลาเสียก่อน จากนั้นค่อยทำต้มปลาผักกาดดองอีกหนึ่งอย่าง
“ท่านยาย ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ ” หลิงมู่เอ๋อร์ตะโกนเข้าไปในเรือน
“มู่เอ๋อร์กลับมาแล้ว!หนาวแย่เลยใช่หรือไม่!เจ้าเด็กคนนี้ เรื่องอันใดกันถึงไม่สามารถรอให้ลุงเจ้ากลับมาก่อนแล้วค่อยทำอย่างนั้นได้?” ถังซื่อตอบรับอยู่ด้านภายในเรือน
หลิงมู่เอ๋อร์นำปลาไปวางไว้ในห้องครัว เมื่อเข้ามาในห้องครัว ก็เห็นหม้อที่ดำสนิท รวมทั้งรางน้ำที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่า คิ้วเรียวงามก็พลันขมวดขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้
ในบ้านไม่มีสตรีที่สามารถทำความสะอาดและจัดเก็บบ้านได้ ภายในห้องจึงดูไม่ได้อย่างแท้จริง เครื่องเรือนเหล่านั้นสกปรกจนถึงที่สุด ทำให้คนที่มองแล้วรู้สึกทานข้าวไม่ลง
ครั้งที่แล้วยังไม่หนักหนาถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าระยะนี้ท่านลุงคงจะยุ่งเป็นอย่างยิ่ง ก็เลยไม่มีเวลาทำความสะอาดห้อง ดวงตาของถังซื่อก็มองไม่เห็น ในยามปกติสามารถดูแลตนเองได้ก็ถือว่าช่วยพวกเขาแบ่งเบาภาระได้บ้างแล้ว
ถังซื่อได้ยินเสียงหลิงมู่เอ๋อร์ที่กำลังยุ่งอยู่ในห้องครัวข้างๆ ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา นางกล่าวด้วยเสียงต่ำ “แม้ว่าครอบครัวของบุตรสาวจะไม่ได้ร่ำรวย แต่สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว ลูกหลานกตัญญูรู้คุณ ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว”
นางกล่าวประโยคนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสมือนกับว่านี่เป็นวิธีเดียวที่จะบรรเทาตราบาปในใจของนางได้
ในสมัยนั้นหยางซื่อ นางเป็นดั่งดอกไม้ที่งดงามที่สุดในหมู่บ้าน มีชายหนุ่มมากมายรอคอยให้นางเติบโต แต่ว่ายังไม่ทันได้รอให้นางถึงวัยที่พร้อมหมั้นหมาย นางก็หักใจส่งหยางซื่อออกไป ภายหลังสตรีที่ไม่งดงามเท่านาง ไม่ฉลาดเท่านาง ทั้งยังไม่ขยันเท่านางต่างได้แต่งงานกับคนดีๆ นางกลับมีชีวิตเทียบไม่ได้กับหมูกับหมาในเรือนของคนอื่น นางเคยได้รับความยากลำบากขนาดนี้ที่ไหนกัน?ความฝันย้อนกลับมาในยามราตรี นางนอนร้องไห้จนเกือบจะสูญเสียดวงตาไปแล้ว
นางอายุยังน้อยก็ต้องเป็นหม้ายเสียแล้ว เลี้ยงดูบุตรทั้งสองให้เติบใหญ่มาด้วยตัวคนเดียว นางเป็นเพียงแค่สตรีคนหนึ่งเท่านั้น ไม่อาจรับมือต่อได้แล้วจริงๆ แทนที่จะให้บุตรของตนอดตาย ไม่สู้ส่งนางไปให้ผู้อื่นเลี้ยงดูดีกว่า
“ท่านยาย ท่านลุงกับเสี่ยวหู่จะทานข้าวอยู่ที่บ้านงานแต่งใช่หรือไม่เจ้าคะ?ข้าควรจะทำในส่วนของพวกเขาหรือไม่?” หลิงมู่เอ๋อร์ตะโกนไปทางห้องโถงของบ้าน
“ไม่ต้องทำเผื่อพวกเขา พวกเขาทานข้าวที่บ้านนั้น เดิมทีบอกว่าจะเอาอาหารกลับมาให้ข้าด้วย ตอนนี้เจ้ามาแล้ว พวกเราสองยายหลานก็ทานอะไรง่ายๆ เถิด!” ถังซื่อเอ่ยตอบกลับ
“เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินว่าหยางต้าหนิวกับหยางเสี่ยวหู่ต่างไม่กลับมา นางก็เตรียมแป้งธัญพืชสำหรับพวกเขาสองคน น้ำแกงปลากับน้ำแกงปลาผักกาดดองก็เก็บไว้ให้พวกเขาส่วนหนึ่ง
ผักดองเป็นสิ่งที่หยางซื่อทำเมื่อตอนกลับมาบ้านเดิม หยางต้าหนิวเป็นบุรุษย่อมทำอาหารไม่เป็น ยามปกติที่ทำให้ท่านแม่กับบุตรชายกินล้วนพอฝืนทานได้ ถึงแม้จะกล่าวไม่ได้ว่าเป็นพิษทำร้ายคน แต่ก็อยู่ในขั้นที่ฝืนกลืนลงคอไม่ลง หยางซื่อรู้ศักยภาพของพี่ชายตนเอง ในช่วงตอนที่บ้านของพวกเขามีผักเยอะก็ใช้เงินสิบอีแปะซื้อเกลือหยาบคุณภาพต่ำที่สุดมา หลังจากนั้นก็ดองผักไว้ให้พวกเขา
หลิงมู่เอ๋อร์มองไหผักของพวกเขา มีผักดองเหลือเพียงแค่เล็กน้อย วันนี้นางเอามาต้มปลา ต่อจากนี้ก็จะไม่มีผักดองกินแล้ว แต่ว่า รอนางหาเงินได้ ก็สามารถดูแลครอบครัวของท่านลุงได้ พวกเขาไม่ต้องกินผักดองทุกวันแล้ว
“ช่างหอมเหลือเกิน” ถังซื่อได้กลิ่นหอม ก็คลำๆ กำแพงเดินเข้ามา นางคลำไปรอบทิศ หาเงาร่างของหลิงมู่เอ๋อร์ “เด็กน้อย เจ้ากำลังทำสิ่งใด?น้ำลายของยายจะไหลออกมาแล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์จุดไฟทำอาหารไปพลางเอ่ยตอบไปพลาง “เมื่อสักครู่ข้าจับปลาในแม่น้ำมาได้ไม่น้อย ตอนนี้กำลังจะทำต้มปลาผักกาดดองเจ้าค่ะ ท่านยาย ข้ายังไม่ได้บอกแก่ท่านว่า ผักดองในบ้านถูกข้าใช้ทำอาหารหมดแล้วนะเจ้าคะ ”
“ใช้หมดแล้วก็ใช้หมดแล้วเถิด! ที่จริงก็เหลือไม่มากแล้ว รอถึงเวลาเก็บเกี่ยวผักของปีหน้าก็ได้กินแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยทำผักดองอีกที ” ถังซื่อไม่ได้เก็บมาใส่ใจอะไร
กำลังทรัพย์ในบ้านของนางนั้น มีสิ่งใดบ้างที่นางจะไม่รู้?เกรงว่าผักดองที่เหลือเพียงแค่นิดเดียวในชามเล็กนั้น จะใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง?
“ท่านยาย ท่านนั่งอยู่ตรงนี้เจ้าค่ะ ” หลิงมู่เอ๋อร์นำเก้าอี้มาวางให้ถังซื่อ ให้นางนั่งลงพักผ่อน “อากาศหนาวมากขนาดนี้ ครั้งหน้าข้าจะทำเตาที่ช่วยให้มือของท่านอบอุ่นขึ้น”
“ของพวกนั้นราคาแพงยิ่งนัก เตาขนาดเล็กๆ ก็เป็นเงินสิบอีแปะแล้ว ยายไม่เอาหรอก” ถังซื่อขมวดคิ้ว ส่ายหน้าปฏิเสธ
ถังซื่อกล่าวถึงคือเตาอุ่นมือขนาดเล็กที่ชาวนาใช้ งานฝีมือไม่ละเอียดไม่พอ ทั้งยังไม่ใช้ก้อนถ่าน แต่เป็นการเผาไม้ให้ไหม้แล้วใส่เข้าไป จากนั้นก็ถือสิ่งนั้นเอาไว้ในมือเพื่อช่วยให้มืออุ่น
เชิงอรรถ
[1] คานบนไม่ตรง คานล่างเอียง หมายถึง หากผู้ที่อยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าประพฤติตัวไม่เหมาะสม ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งต่ำกว่าก็จะประพฤติตัวไม่เหมาะสมด้วยเช่นกัน
[2] นายท่าน หมายถึง เจ้านาย หรือ นายท่านที่อายุน้อย (小爷) หากใช้เรียกผู้อื่นจะเป็นการเรียกด้วยความยกย่อง หากใช้เรียกตัวเองจะเป็นการเรียกในลักษณะข่มคู่สนทนา