เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 9 ตอนที่ 257 ท่าที
เล่มที่ 9 ตอนที่ 257 ท่าที
หวางโฮ่วผู้สง่าผ่าเผยกลับหวั่นเกรงกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงถึงขั้นเรียกว่าพี่สาวด้วยความเคารพ
ทว่ากุ้ยเฟยผู้นี้กลับไม่ไว้หน้าหวางโฮ่วแม้แต่น้อย ทั้งยังหยิ่งผยองอย่างยิ่ง
ไม่ว่าใครก็ล้วนฟังออกว่ามีบางอย่างในคำพูดของทั้งสองคน
หลิงมู่เอ๋อร์มองอี้กุ้ยเฟยที่อยู่เบื้องหน้าในระยะใกล้ ทำความเคารพนางอย่างนอบน้อม “หลิงมู่เอ๋อร์ขอถวายพระพรอี้กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงเพคะ”
คาดไม่ถึงว่าอี้กุ้ยเฟยที่เมื่อครู่เย่อหยิ่งราวกับนกยูงต่อหน้าทุกคน กลับราวกับเห็นญาติพี่น้อง ใช้มือพยุงนางขึ้นมาด้วยตัวเอง “สาวน้อยเหตุใดจึงเกรงใจกันถึงเพียงนี้เล่า ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเปิ่นกงไว้”
ใครจะไม่รู้ว่าอี้กุ้ยเฟยที่ในยามนี้ได้เข้ามาอยู่ในวังหลังอย่างกะทันหัน ได้รับความโปรดปรานและความไว้วางใจจากฮ่องเต้ยิ่ง
ทว่าหลิงมู่เอ๋อร์คือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตคนผู้นี้เอาไว้ ทุกคนได้ยินก็กระจายตัวออกไปอย่างเงียบเชียบ กลัวว่ากุ้ยเฟยเหนียงเหนียงผู้นี้จะออกหน้าให้หลิงมู่เอ๋อร์ จัดการลงโทษพวกนางที่ใส่ร้ายเมื่อครู่
“หม่อมฉันเป็นหมอเรื่องช่วยชีวิตคนเป็นหน้าที่ของหม่อมฉัน เหนียงเหนียงไม่จำเป็นต้องเกรงใจเลยเพคะ” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มมองไปยังอี้กุ้ยเฟย หลังจากที่นางได้แต่งองค์ทรงเครื่องก็งดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ แม้กาลเวลาจะทำให้ใบหน้านางมีริ้วรอยแต่ก็ไม่อาจปิดบังความงดงามแต่กำเนิดได้
มองหวางโฮ่วที่มีท่าทีเกรงกลัวอีกครา ในใจของนางก็พอจะคาดเดาได้ถึงเจ็ดแปดส่วน
“หากไม่มีเจ้าก็ไม่มีอี้กุ้ยเฟยในวันนี้ เจ้าว่าเปิ่นกงควรต้องเกรงใจเจ้าหรือไม่เล่า?” อี้กุ้ยเฟยมองนางอย่างเอ็นดู ก่อนจะหันหลังไปจ้องมองหลินอวี่เตี๋ยอย่างไม่ใคร่จะพอใจนัก “แม่นางหลินใช่หรือไม่ ไม่รู้เจ้ายังคิดว่าผู้มีพระคุณของข้าเป็นคนโหดเหี้ยมที่วางแผนฆ่าคนอยู่หรือไม่?”
หลินอวี่เตี๋ยยังฟังไม่เข้าใจถึงความพลิกผันนี้ รู้สึกเพียงว่าอี้กุ้ยเฟยต้องการปกป้องหลิงมู่เอ๋อร์ นางพองแก้มอย่างโกรธเคือง “ไม่ว่านางจะเป็นฆาตกรหรือไม่นางก็ยังน่าสงสัยอยู่ดี นาง…เพี๊ยะ!”
ยังไม่ทันพูดจบแก้มก็ปวดแสบปวดร้อนขึ้นมาโดยพลัน
เสียงฝ่ามือใสแจ๋วดังเสียดฟ้า แม้แต่หวางโฮ่วเหนียงเหนียงก็ยังตกใจกับการกระทำของอี้กุ้ยเฟย
ก่อนที่หลินอวี่เตี๋ยจะเดือดดาลขึ้นมานางก็ปกป้องอีกฝ่ายไว้ด้านหลัง “อี้กุ้ยเฟยพระองค์ทำอันใดกัน?”
“ในเมื่อน้องสาวไม่รู้ว่าต้องสั่งสอนหลานสาวเช่นไร เช่นนั้นเปิ่นกงจะลำบากเพื่อเจ้าเอง” ต่อหน้าคำถามของหวางโฮ่ว อี้กุ้ยเฟยไม่เพียงแต่ไม่ขลาดกลัวแต่กลับมองไปยังสายตาของนางเบื้องหน้าอย่างบีบบังคับ “หรือน้องสาวคิดจะยืนกรานปกป้องนาง?”
ใครปกป้องใครกันแน่!
หลินอวี่เตี๋ยแต่ไหนแต่ไรไม่เคยขายหน้าเช่นนี้มาก่อน
นางมีหวางโฮ่วเป็นเสด็จป้าปกติได้รับการตามใจและใช้อำนาจบาตรใหญ่จนเคยชิน เหล่าสตรีสูงศักดิ์พวกนี้ไม่ใช่ว่าต้องดูทิศทางลมตามนางหรือ? ทว่าวันนี้ไม่เพียงถูกคนผลักตกทะเลสาบแต่ยังถูกคนตบหน้าอีกด้วย ในใจของนางจึงไม่พอใจยิ่ง
“เสด็จป้า คนผู้นี้เป็นเพียงกุ้ยเฟยตัวเล็กๆ แต่ท่านคือหวางโฮ่วแห่งราชวงศ์ปัจจุบัน นางไม่เห็นท่านอยู่ในสายตาเช่นนี้ได้อย่างไรเพคะ?”
อี้กุ้ยเฟยได้ยินเข้าหูรอยยิ้มมุมปากก็มากขึ้น “เพราะเสด็จป้าของเจ้าในตอนนั้น…”
“พอแล้ว!” หวางโฮ่วตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว หมุนตัวกลับไปตบหน้าหลินอวี่เตี๋ยอีกครา
ความเจ็บปวดจากการตบคราหนึ่งยังไม่จางหายก็ถูกอีกฝ่ามือตบมาอีกครา หลินอวี่เตี๋ยรู้สึกเพียงสมองที่มึนงงและน้ำตาที่ร่วงแหมะลงมา “เสด็จป้าท่านทำอันใดเพคะ!”
“บังอาจ! ในวังหลวงข้าเป็นหวางโฮ่ว หลังจากนี้เจ้าเปิดปากเรียกได้เพียงหวางโฮ่วเหนียงเหนียง ที่นี่ไม่มีเสด็จป้าของเจ้า!” ไม่สนใจน้ำตาของหลินอวี่เตี๋ย หน้าอกของหวางโฮ่วกระเพื่อมขึ้นลงเป็นระลอกด้วยความโกรธ “อี้กุ้ยเฟยพูดถูกต้อง เปิ่นกงไม่สั่งสอนนางให้ดีทำให้ท่านต้องมาฟังเรื่องไร้สาระอย่างน่าอับอายที่นี่ ทหารนำนางไปขังไว้ในจวนหนึ่งเดือน หากเปิ่นกงไม่อนุญาตห้ามให้นางออกจากจากประตูแม้เพียงครึ่งก้าว”
เห็นได้ชัดว่านางเป็นเหยื่อไม่มีใครขอความเป็นธรรมให้นางก็แล้วไปเถอะ แต่คาดไม่ถึงว่าจะถูกขังด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นต่อหน้าสตรีสูงศักดิ์เหล่านี้ เห็นคนเหล่านี้ยิ้มเยาะที่มุมปาก หลินอวี่เตี๋ยยิ่งรู้สึกแต่เพียงไม่ได้รับความเป็นธรรม “หม่อมฉันไม่เอา หม่อมฉันไม่ได้ทำอันใดผิดเหตุใดต้องถูกขังด้วยเพคะ”
นางไม่รู้ว่าระหว่างอี้กุ้ยเฟยและเสด็จป้ามีบุญคุณความแค้นอันใดต่อกัน แต่รู้เพียงว่าจู่ๆ คนผู้นี้ก็ปรากฏตัวมาปกป้องหลิงมู่เอ๋อร์ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะหลิงมู่เอ๋อร์
ทันใดนั้นหลินอวี่เตี๋ยก็พุ่งไปเบื้องหน้าหลิงมู่เอ๋อร์อย่างเสียสติ “เจ้ามันหญิงต่ำช้าทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าสุดท้ายข้าจึงต้องเป็นเช่นนี้ ซุนชีชีต้องได้รับการบงการจากเจ้าเป็นแน่ ข้าจะฆ่าเจ้า…”
สองมือของนางยังไม่แตะที่คออีกฝ่ายอี้กุ้ยเฟยก็ส่งสายตาไป นางกำนัลทั้งสองคนซึ่งร่างกายแข็งแรงข้างกายที่อยู่คนละข้างก็เอาหลินอวี่เตี๋ยไปทิ้งราวกับขยะ
แม้แต่หวางโฮ่วยังตะลึงงันคาดไม่ถึงว่าสตรีฟั่นเฟือนผู้นี้ยามนี้จะลงมืออย่างกำเริบเสิบสาน
“พี่สาวที่นี่เป็นอุทยานหลวง ฝ่าบาททรง…”
“ฝ่าบาททำไมหรือ?” อี้กุ้ยเฟยพูดขัด “หากฝ่าบาทรู้ว่าผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเปิ่นกงถูกคนใส่ความ เชื่อว่าจะต้องเข้าใจสิ่งที่ข้าทำเป็นแน่ แต่น้องสาวอยากขอร้องเพื่อสาวน้อยโง่เขลาผู้นั้นหรือ?”
แน่นอนว่าหวางโฮ่วต้องการทำเช่นนั้นแต่นางรู้ว่าเมื่อนางพูดเช่นนั้น สตรีบ้าผู้นี้ไม่ว่าอันใดก็ล้วนพูดออกมาได้ทั้งนั้น
“เป็นเตี๋ยเอ๋อร์ไม่รู้ความเกินไปเอง พี่สาวจะสั่งสอนก็ถูกต้องแล้ว” เก็บความเดือดดาลทั้งหมดไว้ในใจ แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่เคยลดตัวอดกลั้นถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่านางเป็นมารดาแห่งแผ่นดินแต่ก็ราวกับเป็นคนใช้ข้างกายของอี้กุ้ยเฟย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าจะถือโอกาสบอกเจ้าและทุกคนไว้ให้ชัดเจน หลิงมู่เอ๋อร์เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเปิ่นกง หลังจากนี้ในวังหลังหากเจอนางก็เหมือนเห็นข้า ทุกคนเข้าใจหรือไม่?”
สายตาเย็นเฉียบของอี้กุ้ยเฟยมองร่างของทุกคน…กวาดสายตาและดูแลหลิงมู่เอ๋อร์ไว้ในอ้อมแขนปกป้องอย่างถึงที่สุด
อย่าว่าแต่คนรอบข้างแม้แต่หลิงมู่เอ๋อร์ก็ยังตกตะลึง “กุ้ยเฟยเหนียงเหนียง…”
ส่งสายตาให้นางว่าไม่ต้องพูดให้มากความ อี้กุ้ยเฟยมองหลินอวี่เตี๋ยที่ยังดิ้นรนขัดขืน “หลังจากนี้ผู้ที่กล้ารังแกมู่เอ๋อร์ก็เท่ากับเป็นศัตรูกับข้า เอานางออกไป!”
ไม่ให้โอกาสทุกคนได้ตอบโต้ เห็นได้ชัดว่าอี้กุ้ยเฟยยิ้มแต่รอยยิ้มกลับเย็นยะเยือกเป็นพิเศษ “ออกมานานแล้วร่างกายก็รู้สึกไม่ค่อยสบาย มู่เอ๋อร์อยู่ที่นี่พอดีตามข้ากลับไปดูร่างกายข้าที่ชราและอ่อนแอเพราะถูกคนวางแผนร้ายหน่อยเถิด ไม่รู้น้องสาวจะยอมปล่อยให้คนไปหรือไม่?”
อี้กุ้ยเฟยเจาะจงว่าต้องการพาหลิงมู่เอ๋อร์ไปนางจะยังพูดว่าไม่ได้หรือ?
นางพูดสามประโยคไม่พ้นอาชีพเดิม [1] หากนางไม่เห็นด้วยคงคิดจะเปิดเผยเรื่องราวต่อหน้าทุกคน
นางหวนนึกเสียใจที่ในตอนนั้นไม่จัดการอีกฝ่ายให้ถึงที่สุด
เห็นได้ชัดว่าไม่เต็มใจแต่มุมปากกลับยืนผุดรอยยิ้ม “แน่นอน หลิงมู่เอ๋อร์เป็นหมอของพี่สาว วันนี้บังเอิญเข้าวังหลวงความจริงควรจะไปทำความเคารพท่านก่อน”
“อ่า ที่แท้น้องสาวก็รู้ เช่นนั้นเหตุใดจึงยังพานางมาที่อุทยานหลวงอีกเล่า?” อี้กุ้ยเฟยถามกลับอย่างไม่ไว้หน้าหวางโฮ่วแม้แต่น้อย
เห็นท่าทางเสียหน้าของหวางโฮ่วนางก็ลอบยิ้ม เห็นได้ชัดว่าเป็นสตรีอายุมากแล้วแต่รอยยิ้มนี้ดอกเหมยข้างกายก็ยังเทียบไม่ได้
“วันนี้ยังดีที่ข้ามาทันเวลา ไม่เช่นนั้นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเปิ่นกงไว้คงถูกพวกเจ้าใส่ความแล้ว แต่ในเมื่อนี่เป็นเพียงเรื่องตลกฉากหนึ่งเช่นนั้นทุกคนก็แยกย้ายเถิด ส่วนคนที่ยังคิดจะฉวยโอกาสวางแผนร้ายต่อมู่เอ๋อร์ข้าแนะนำให้พวกเจ้าหยุดเสีย ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ว่าจะหาแพะรับบาปได้ง่ายเช่นนั้นทุกครั้งไป”
อี้กุ้ยเฟยมองไปยังบางทิศทางที่เบื้องหลังอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะดึงหลิงมู่เอ๋อร์ออกไปจากตรงนี้
หากนางจากไปเซิงเอ๋อร์ย่อมถูกหวางโฮ่วรังแกอย่างหนัก ก่อนเดินไปหลิงมู่เอ๋อร์จึงเรียกเซิงเอ๋อร์ให้ไปด้วย
เห็นได้ชัดว่าเป็นการชมดอกเหมย แต่กลับเกิดเรื่องจนต้องแยกย้ายกันไปอย่างไม่สบอารมณ์ หวางโฮ่วมองหลังพวกนางที่จากไปด้วยความจองหองยิ่ง ก่อนจะกัดริมฝีปากล่างอย่างแรง
“คอยดูเถอะเปิ่นกงไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่!”
“เซิงเอ๋อร์ไม่กล้ารบกวนกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงและมู่เอ๋อร์พูดคุยเรื่องความหลังกันเพคะ เช่นนั้นขอตัวกลับก่อนเพคะ” รู้ว่าอี้กุ้ยเฟยและหลิงมู่เอ๋อร์มีเรื่องต้องคุยกัน เซิงเอ๋อร์ก็เข้าใจจึงกล่าวลาและจากไป
เห็นหลิงมู่เอ๋อร์ยังยืนอยู่อี้กุ้ยเฟยก็รีบจับมือนางให้นั่งลงข้างตัว “เด็กโง่ยังยืนทำอันใดอยู่นั่งลงเร็ว”
หากไม่ใช่ว่ารักษานางอยู่หลายวัน หลิงมู่เอ๋อร์คงไม่อยากจะเชื่อว่าสตรีที่สง่างามและสุภาพเยือกเย็นตรงหน้าผู้นี้ คือสตรีเสียสติที่ถูกล่ามโซ่ไว้ในมุมรกร้างของเรือน
“พระองค์ไม่เป็นไรแล้วจริงหรือเพคะ?” นางยังไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง
อี้กุ้ยเฟยยิ้มเยาะ “คงไม่ใช่ว่าเมื่อครู่ถูกคนพวกนั้นทำให้ตกใจกลัวทำให้ทึ่มจนไม่เชื่อทักษะแพทย์ของตัวเองกระมัง?”
พูดจบนางก็เรียกนางกำนัลมาเตรียมชา “หวางโฮ่วรู้ว่าเจ้าช่วยข้าไว้ย่อมไม่ปล่อยเจ้าไปเป็นแน่ ยามที่รู้ว่าวันนี้เจ้าเข้าวังข้าจึงรีบไป โชคดีที่ออกไปได้ทันเวลาไม่เช่นนั้นคงปล่อยให้นางรังแกเจ้าได้แล้วจริงๆ”
“ขอบพระทัยกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงเป็นอย่างยิ่งเพคะ!” หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกซาบซึ้งใจ
“เป็นข้าที่ควรขอบคุณเจ้า หากไม่มีเจ้าวันนี้ข้าจะมายืนอยู่ที่นี่ทั้งยังกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้อย่างไร?” อี้กุ้ยเฟยพูด ลุกขึ้นทำความเคารพนาง การกระทำนี้ทำให้หลิงมู่เอ๋อร์ตกใจแทบแย่แล้ว
“เหนียงเหนียงท่านทำอันใดเพคะ!”
“มู่เอ๋อร์เปิ่นกงขอบคุณเจ้าจากใจจริง” อี้กุ้ยเฟยมีสีหน้าจริงใจ
“เหนียงเหนียงเกรงใจแล้วเพคะ เรื่องการรักษาท่านเป็นความคิดของฮูหยินผู้เฒ่าซู หม่อมฉันได้ค่าตรวจโรคแล้วเช่นกัน นี่เป็นสิ่งที่หม่อมฉันควรทำเพคะ” หลิงมู่เอ๋อร์ไม่กล้ายึดเอาคุณงามความดีไว้เพียงผู้เดียว
“หากเจ้าไม่มีทักษะแพทย์ที่ยอดเยี่ยมจะสามารถรักษาข้าให้หายได้อย่างไร อย่ามองว่าในยามนั้นข้าเสียสติ แต่เรื่องมากมายก็ชัดเจนแล้วเช่นกัน” อี้กุ้ยเฟยยิ้มทั้งยังรินชาให้นางด้วยตัวเอง “ฮูหยินผู้เฒ่าซูเคยหาหมอที่มีชื่อเสียงมาให้ข้าอยู่หลายคน แต่ทุกคนล้วนบอกว่าหมดหนทางแล้ว เจ้าเป็นเพียงคนเดียวที่รักษาข้าได้ ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังปฏิบัติต่อข้าอย่างดีในใจข้าล้วนจดจำไว้แล้ว”
ได้ยินคำพูดของนางที่ออกมาจากใจจริง ในใจหลิงมู่เอ๋อร์ก็มีความอบอุ่นสายหนึ่งแล่นผ่าน
เกรงว่าความปรารถนาสูงสุดของหมอทุกคนในโลก จะเป็นการถูกคนที่รักษาจนหายดีกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ
“หม่อมฉันก็ไม่คิดว่าพระองค์จะสามารถเข้าวังหลวงได้เร็วถึงเพียงนี้เพคะ ในยามนั้นเกิดเรื่องทำให้ต้องจากเมืองหลวงไปอย่างกะทันหัน จึงลองฝังเข็มให้ท่านเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ทราบว่าในยามนี้ร่างกายของพระองค์มีส่วนใดที่รู้สึกไม่สบายหรือไม่เพคะ?”
อี้กุ้ยเฟยรีบส่ายหัว “ดีมาก ดีมากทีเดียว อาการเสียสติทั้งหมดล้วนหายดีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นหมอหลวงยังพูดว่า ในร่างกายที่มีโรคแทรกซ้อนซึ่งรักษายากมาหลายปีก็หายดีแล้ว ขอเพียงเพิ่มการพักผ่อนเรื่องการหายดีก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้ว”
ได้ยินเช่นนี้หลิงมู่เอ๋อร์ก็วางใจ
ในตอนนั้นซั่งกวนเซ่าเฉินซึ่งอยู่ชายแดนตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต คืนก่อนที่นางจะออกจากจวนตระกูลซูก็ฝังเข็มให้นางเป็นครั้งสุดท้าย เดิมทีก็หาได้ตั้งความหวังไว้มากมายนัก ฮูหยินผู้เฒ่าซูยังบอกว่ารอให้นางกลับมาก่อนก็ย่อมได้ เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าซูเช่อจะลงมือรวดเร็วถึงเพียงนี้
“เหนียงเหนียงไม่ว่าสิ่งใดก็ล้วนจำได้จริงหรือเพคะ?”
เห็นสายตาสงสัยใคร่รู้ของหลิงมู่เอ๋อร์ อี้กุ้ยเฟยก็รู้ว่าสิ่งที่นางสงสัยคือท่าทีที่นางมีต่อหวางโฮ่ว
สีหน้ามีรอยยิ้มเป็นมิตรประดับอยู่เสมอดูเหมือนนางชอบหลิงมู่เอ๋อร์เป็นอย่างยิ่ง
“ใช่ จำได้ทั้งหมดแล้วทุกเรื่องตั้งแต่อดีต ทุกสิ่งที่ผ่านมาล้วนไม่เคยลืมเลือน แน่นอนว่านี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดวันนี้หวางโฮ่วจึงเกรงกลัวข้า”
นางพูดความเย่อหยิ่งสายหนึ่งแล่นผ่านแววตาของนาง
“แม้หม่อมฉันจะไม่รู้จักหวางโฮ่วนักแต่นางเจ้าคิดเจ้าแค้น พระองค์กลับมาวังหลวงอีกครั้งต้องระวังให้มากนะเพคะ”
อี้กุ้ยเฟยตกตะลึงมือที่ถือถ้วยชาถึงขั้นสั่นเทา
หลิงมู่เอ๋อร์มองออกว่านางมีบางสิ่งผิดปกติ “เหนียงเหนียงพระองค์เป็นอันใดหรือเพคะ?”
เชิงอรรถ
[1] สามประโยคไม่พ้นอาชีพเดิม หมายถึง คนที่พูดแต่เรื่องของตัวเอง