เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 9 ตอนที่ 253 ปฏิเสธ
เล่มที่ 9 ตอนที่ 253 ปฏิเสธ
ในงานเลี้ยงเกิดเรื่องน่าขันขึ้นสองเรื่อง
หนึ่งคือหญิงสามัญชนหลิงมู่เอ๋อร์ปฏิเสธการขอสมรสพระราชทานขององค์ชายรอง อีกเรื่องหนึ่งคือซูเช่อปฏิเสธหลันเชี่ยนหยิ่งบุตรีของมหาเสนาบดีอีกครา
ไม่ต้องรอให้ถึงรุ่งสางทั้งสองเรื่องนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วทุกตรอกซอกซอยทั้งเมืองหลวง จนกลายเป็นเรื่องเล่าน่าขันที่เล่ากันยามว่างหลังอาหาร
เมื่อพระราชทานรางวัลเสร็จสิ้นแล้วงานเลี้ยงก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ มีการร้องรำบนเวทีในขณะที่ด้านล่างมีบรรยากาศครื้นเครง
มหาเสนาบดีที่รู้สึกเสียหน้าได้รับการปลอบใจจากเหล่าขุนนางที่มีสัมพันธ์อันดีต่อกัน
องค์หญิงใหญ่ที่นั่งข้างราชบุตรเขยยังไม่คลายโทสะ ดวงตาทั้งสองข้างแทบจะสามารถปล่อยคมดาบนับพันหมื่นออกไปแทงจนเขากลายเป็นรังผึ้ง
“ดีนี่ซูเจิ้งซิ่ว ท่านบอกข้ามาให้ชัดเจนว่าตกลงแล้วสิ่งที่ท่านพูดวันนี้หมายความว่าเช่นไร?”
ดื่มเหล้าลงท้องไปแก้วหนึ่ง ซูเจิ้งซิ่วก็พูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “เฉียนเฉียนเจ้าปรารถนาให้เช่อเอ๋อร์มีความสุขจริงหรือ?”
“แน่นอน!” องค์หญิงใหญ่ชิงตอบอย่างไม่ต้องคิด “ข้าเลี้ยงดูเช่อเอ๋อร์เหมือนลูกตัวเองมาโดยตลอด เรื่องใหญ่เช่นการแต่งงานของเขาเป็นเรื่องที่ข้ากังวลมากที่สุดในชีวิตนี้ ท่านคิดว่าข้าเป็นห่วงหรือไม่เล่า?”
“ในเมื่อเจ้าเป็นห่วงยังคิดจะทำให้เขาเป็นเหมือนพวกเราซ้ำสองอีกหรือ?” ซูเจิ้งซิ่วซักไซ้
องค์หญิงใหญ่คิดจะโต้แย้งแต่ริมฝีปากของนางกลับไม่รู้ว่าควรเปิดปากพูดสิ่งใด
นางพูดตะกุกตะกัก “ท่าน ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
“เช่อเอ๋อร์มีคนในใจแล้ว เชื่อว่าทุกคนที่นั่งอยู่ล้วนเห็นเรื่องทั้งหมดได้อย่างชัดแจ้ง ยิ่งไปกว่านั้นหากเขาพึงใจกับหลันเชี่ยนหยิ่งจะปฏิเสธงานแต่งได้อย่างไร เรื่องนี้เจ้าบังคับให้คนสองคนมาอยู่ด้วยกันจะต่างกับพวกเราสองคนในคราแรกอย่างไรหรือ?”
“แต่ในยามนี้พวกเรา…” องค์หญิงใหญ่คิดจะอธิบายแต่ก็พบว่าเหตุผลนี้แม้แต่นางก็ไม่อาจโน้มน้าวตัวเองได้
ในยามนั้นที่รู้ว่าซูเจิ้งซิ่วมีคนรักเก่านางก็เคยทะเลาะกันอยู่ช่วงหนึ่ง ทั้งสองคนล้วนไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ช่วงเวลานั้นช่างเป็นวันเวลาที่เจ็บปวดรวดร้าวยิ่ง นางในฐานะแม่แน่นอนว่าย่อมไม่อยากให้ลูกชายของตัวเองเดินซ้ำรอยเท้าของนาง
“แต่หลิงมู่เอ๋อร์ผู้นั้นเป็นเพียงสามัญชน ท่าน…”
“ในเมื่อเช่อเอ๋อร์มีความสุขก็ปล่อยเขาไปเถิด แค่แม่นางน้อยผู้หนึ่งจะก่อคลื่นลมสักเท่าใดเชียว?” ซูเจิ้งซิ่วจับมือขององค์หญิงใหญ่ ใช้คางชี้ไปยังตัวเอกของวันนี้ที่กำลังดื่มเหล้าย้อมใจ “ยิ่งไปกว่านั้นยังมีองค์ชายรองอยู่ เรื่องของพวกเขาเป็นไปไม่ได้หรอก”
องค์หญิงใหญ่ยังคิดจะพูดบางสิ่งแววตาเปลี่ยนไปมาอยู่หลายครา ครุ่นคิดอยู่นานสุดท้ายก็ยิ้มออกมา
หลันเชี่ยนหยิ่งวันนี้ได้รับความอับอายต่อหน้าทุกคนในใจก็ไม่พอใจยิ่ง สุดท้ายก็รอจนเริ่มงานเลี้ยงนางจึงวิ่งไปที่เบื้องหน้าขององค์หญิงใหญ่อย่างเงียบๆ ยังไม่เปิดปากพูดน้ำตาที่ราวกับไข่มุกก็ร่วงแหมะลงมาไม่ขาดสาย
“องค์หญิงใหญ่พระองค์ พระองค์ต้องคืนความเป็นธรรมให้เชี่ยนหยิ่งนะเพคะ!”
หญิงงามอันดับหนึ่งร้องไห้ก็ราวกับดอกสาลี่ต้องหยาดฝน [1] แม้แต่องค์หญิงใหญ่ที่เป็นสตรีก็ถูกฉากนี้ทำให้เจ็บปวดจนใจสลาย
“วันนี้เป็นเช่อเอ๋อร์ทำไม่ถูกทำให้เจ้าต้องอับอายแล้ว เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำเช่นไรต้องการให้เปิ่นกงจู่ชดใช้แทนเช่อเอ๋อร์หรือไม่?” องค์หญิงใหญ่หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของนางพลางกล่าว
หลันเชี่ยนหยิ่งรีบโบกไม้โบกมือ “มิกล้ามิกล้า เชี่ยนหยิ่งจะกล้าให้องค์หญิงใหญ่ชดใช้ได้อย่างไรเพคะ เป็นหลิงมูเอ๋อร์ ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของนางเพคะ!”
เมื่อนึกถึงสตรีผู้ทำให้สถานการณ์วุ่นวายผู้นั้น หลันเชี่ยนหยิ่งก็โกรธเกรี้ยวขึ้นมา มองหานางท่ามกลางฝูงชนแต่กลับหาไม่พบ ในดวงตาของนางแฝงไอสังหารทั้งยังคงรูปลักษณ์อ่อนโยนสง่างามเอาไว้ “หลิงมูเอ๋อร์ผู้นั้นใช้ความงามของตนมาล่อลวงพี่เช่อ นางมีองค์ชายรองอยู่แล้วแต่ยังไม่รู้จักพอ เกี่ยวสามเก็บสี่ [2] ไม่ปฏิบัติตามคุณธรรมของสตรี สตรีเช่นนี้หากอยู่ข้างกายพี่เช่อจะต้องทำให้พี่เช่อเสียหายเป็นแน่เพคะ!”
นางกระทืบเท้าอย่างร้อนรน “องค์หญิงใหญ่เพคะ พระองค์รับปากว่าจะให้ตำแหน่งเสียนหวางเฟยกับหม่อมฉันแล้วนะเพคะ”
เดิมองค์หญิงใหญ่ยังคิดอยากปลอบโยนนางอีกหลายประโยค แต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายนี้ก็มีสีหน้าไม่พอใจในทันที
“เช่นนั้นที่เจ้าได้รับความอัปยศยิ่งแต่ยังยอมติดตามเช่อเอ๋อร์เป็นเพราะสิ่งนี้หรือ?”
หลันเชี่ยนหยิ่งที่รู้สึกตัวว่าตนร้อนใจจนพูดพลาดไปรีบส่ายหน้า “ไม่ใช่นะเพคะองค์หญิงใหญ่เข้าใจผิดแล้วเพคะ หม่อมฉัน…หม่อมฉันจริงใจต่อพี่เช่อ พวกเราอยู่ด้วยกันตั้งแต่เด็กเป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ เรื่องของพี่เช่อหม่อมฉันจริงจังนะเพคะ”
“ไม่ว่าเจ้าจะจริงจังหรือไม่ และไม่ว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะเกี่ยวข้องกับหลิงมู่เอ๋อร์หรือไม่ เรื่องในวันนี้เจ้าก็ล้วนเห็นแล้ว เช่อเอ๋อร์ยอมตัดสัมพันธ์กับข้าแต่ไม่คิดจะมีความเกี่ยวข้องใดกับจวนมหาเสนาบดีอีก ยิ่งไปกว่านั้นฝ่าบาทยังทรงรับสั่งให้ยกเลิกงานแต่งด้วยพระองค์เอง เกรงว่าข้าคงช่วยอันใดเจ้าไม่ได้แล้วจริงๆ”
องค์หญิงใหญ่กลับไปนั่งตำแหน่งของตัวเองอีกครา ด้วยท่าทีราวกับว่าเรื่องทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง
หลันเชี่ยนหยิ่งที่เดิมทียังคิดว่าจะได้รับประโยชน์จากองค์หญิงใหญ่บ้างในใจรู้สึกโมโห หากไม่ใช่เพราะความรู้ความสามารถที่มีมาตั้งแต่เด็กเตือนนางว่าในยามนี้ต้องอดทนอดกลั้นไว้ นางก็อยากแตกหักกับสตรีเฒ่าผู้นี้ไปเสีย แต่ถึงอย่างไรในยามนี้พวกนางก็ยังไม่อาจขัดแย้งกันได้
เห็นเพียงหลันเชี่ยนหยิ่งพูดอย่างน่าสงสาร “องค์หญิงใหญ่ทรงพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรเพคะ?”
“เช่อเอ๋อร์เกลียดข้าเจ้าก็เห็นแล้ว วันนี้สิ่งที่ควรพูดข้าก็ล้วนพูดไปหมดแล้ว ในฐานะแม่ข้าก็ไร้หนทางแล้วจริงๆ เชี่ยนหยิ่งเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่ข้าต้องทำผิดต่อเจ้าแล้ว”
พูดจบองค์หญิงใหญ่ก็หาเหตุผลไปพูดคุยสัพเพเหระกับราชบุตรเขย ราวกับลืมไปแล้วว่ายังมีคนอยู่ตรงนี้ด้วย
เมื่อรู้สึกได้ว่าคนรอบตัวกำลังนินทา หลันเชี่ยนหยิ่งรู้สึกราวกับว่าวันนี้นางเป็นตัวตลกที่สร้างเรื่องวุ่นวาย
เห็นหลิงมู่เอ๋อร์กำลังพูดคุยกับซูเช่ออย่างมีความสุขอยู่ไม่ไกล นางก็กำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น “ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดนาง เจ้ารอข้าก่อนเถอะ!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินที่กำลังดื่มเหล้าย้อมใจแก้วแล้วแก้วเล่า ดวงตาทั้งสองข้างจ้องไปยังเบื้องหน้าแทบจะมองสองคนข้างหน้าจนทะลุ
รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายน่าเกรงขามที่ออกมาทั่วร่างของเขา หนานกงอี้จือก็ตัวสั่น “ญาติผู้พี่ท่านกลายเป็นคนขี้ขลาดตั้งแต่เมื่อใด?”
ปัง แก้วเหล้าถูกซั่งกวนเซ่าเฉินวางลงไปบนโต๊ะอย่างรุนแรง เขาหันมาด้วยความมึนงงเหล่มองพลางพูด “เจ้าพูดอันใด?”
เมื่อถูกเขาจ้องมองอย่างกะทันหันก็ตกใจแทบแย่ หนานกงอี้จือรีบยืดร่างขึ้น “ข้า ไม่ใช่ว่าข้าปวดใจแทนท่านหรือ? ใครจะไปคิดว่าแม่นางผู้ที่ไล่ตามท่านไปถึงค่ายทหารจะปฏิเสธสมรสพระราชทานกับท่าน ข้าว่าหากท่านไม่พยายามกว่านี้พี่สะใภ้ในอนาคตต้องถูกคนแย่งไปแน่”
หางตาซั่งกวนเซ่าเฉินจ้องไปยังซู่เช่อและหลิงมู่เอ๋อร์ที่อยู่ตรงข้ามซึ่งพูดคุยกันทุกเรื่องอย่างไม่วางตา ยิ่งพวกเขาสองคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนานมากเท่าใด ความเดือดดาลในร่างของเขาก็ค่อยๆ มากขึ้นอย่างรุนแรงจนดูเหมือนจะระเบิดออกมา และสุดท้ายก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป
ลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างรุนแรงในทันใด ยามที่เดินไปหาหลิงมู่เอ๋อร์ก็จับข้อมือของนางเดินออกมาอย่างไม่พูดไม่จา
“ซั่งกวนเซ่าเฉินท่านทำอันใด?” หลิงมู่เอ๋อร์ถูกความบุ่มบ่ามของเขาทำให้ตะลึงงัน “ท่านทำข้าเจ็บ”
“เหตุใดจึงปฏิเสธ?”
ในมุมที่ไม่มีผู้ใดมองเห็นเขาจับนางกดลงบนกำแพง เจอความเกรี้ยวกราดของเขาในระยะประชิดทำให้อารมณ์ที่ดีของนางหายไปสิ้น
“มันเป็นเสรีภาพของข้า ข้าอยากปฏิเสธก็ปฏิเสธ มีเหตุผลใดเสียที่ไหน!”
หลิงมู่เอ๋อร์หันหน้าหนีอย่างโกรธเคืองต้องการเดินจากไป
ซั่งกวนเซ่าเฉินให้โอกาสนางหนีเสียที่ไหน เขาที่เดือดดาลจนไม่รู้ควรจะระบายออกอย่างไร ทำเพียงถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่ใช่บอกว่าชอบข้าหรือ? ไม่ใช่ว่าเป็นคู่หมายข้าหรือ? ข้าขอสมรสพระราชทานจากเสด็จพ่อด้วยตัวเองเจ้าควรจะดีใจจึงจะถูก หรือเจ้าไม่เคยคิดจะแต่งงานกับข้า?”
ในดวงตาของเขาโศกเศร้าเกินบรรยาย
ราวกับอ้างว้างแต่ก็ราวกับโกรธเกรี้ยว กล่าวได้ว่ามองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์อย่างไม่สบายใจ
แต่เมื่อนึกถึงการกระทำอย่างกะทันหันของเขานางก็รู้สึกไม่ใคร่จะพอใจนัก “หนึ่งวันก่อนที่ท่านจะออกเดินทางไปชายแดน พวกเราพูดคุยเรื่องวันแต่งงานกันแล้ว ท่านคิดว่าข้าไม่เคยคิดเรื่องนี้หรือ?”
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงปฏิเสธ?” ซั่งกวนเซ่าเฉินทึมทื่อปวดหัวแทบระเบิด ไม่รู้ว่าควรอธิบายความรู้สึกในยามนี้อย่างไร
แม่นางน้อยผู้นี้ทำให้หัวใจของเขาหวั่นไหวเสมอ แต่เขาช่างสมควรตายนักที่ไม่อาจคาดเดานางได้
“เพราะท่านไม่เข้าใจว่าการให้เกียรติคืออันใด!” หลิงมู่เอ๋อร์พูดอย่างโกรธเคือง “ข้าบอกท่านหลายคราแล้วว่าข้าไม่ชอบวังหลวง และยิ่งไม่ชอบวังหลังที่มีผู้คนมากมาย ท่านพยายามหวนคืนสู่ฐานะของท่านตั้งเท่าใด ทั้งยังวางแผนอันใดต่อไป คงไม่จำเป็นต้องให้ข้าอธิบายกระมังองค์ชายรอง?”
คำว่าองค์ชายรองราวกับสร้างระยะห่างระหว่างทั้งสองคนในทันใด
“เจ้าต้องการอิสระใช่ว่าข้าจะให้เจ้าไม่ได้ หลังจากที่แต่งงานกับข้า ข้าจะไม่ควบคุมการกระทำของเจ้า เจ้าอยากทำอันใดในเมืองหลวงเจ้าก็ทำได้ตามใจ เช่นนี้เป็นอย่างไร?” เขาจ้องดวงตาของนาง แม้แต่เขาเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่า เพื่อสตรีผู้หนึ่งเขาจะประนีประนอมได้ถึงเพียงนี้
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงอยากเก็บสตรีผู้นี้ไว้ข้างกาย หลังจากเห็นวิธีการของฮ่องเต้ในวันนี้ความรู้สึกนี้ก็ยิ่งรุนแรง
“ถึงอย่างไรก็ไม่!”
ปฏิเสธข้อเสนอของเขาอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย หลิงมู่เอ๋อร์เงยหน้าสบสายตาเขาอย่างกล้าหาญ “ท่านคิดว่าสิ่งที่ท่านให้ข้าเป็นสิ่งที่ข้าต้องการหรือ? แต่ไหนแต่ไรท่านก็ไม่รู้เลยว่าข้าต้องการสิ่งใด ข้าชอบท่านมากทั้งยังอยากแต่งงานกับท่านมากจริงๆ แต่นั่นมันเมื่อก่อน ยามที่ท่านเป็นเพียงผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์หลวง ยิ่งไปกว่านั้นแต่ไหนแต่ไรข้าหลิงมู่เอ๋อร์ก็ต้องการเป็นภรรยาหลวงเพียงผู้เดียว!”
“เหอะ” ซั่งกวนเซ่าเฉินหัวเราะ ที่แท้สตรีตัวน้อยก็สนใจเรื่องนี้
เขาเดินไปเบื้องหน้าทีละก้าว เอานิ้วหยาบกร้านเชยไปที่คางของนาง ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนยิ่ง “เช่นนั้นเจ้าหึงหรือ?”
ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงอยากแกล้งนาง “เจ้าต้องรู้ว่าเจ้าเป็นเพียงสตรีสามัญชนผู้หนึ่ง แม้เสด็จพ่อจะชื่นชมเจ้าแต่เจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติจะเป็นเจิ้งเฟยขององค์ชายรอง ทว่าเจ้าก็สามารถลองหาเหตุผลมาโน้มน้าวข้าได้”
เห็นสายตาหยอกเย้าของซั่งกวนเซ่าเฉิน หลิงมู่เอ๋อร์ก็อยากจะใช้กำปั้นชกใส่เขาจนใบหน้าบวมช้ำเสียจริง
หลังจากเขาความจำเสื่อมก็ไม่น่ารักเลยแม้แต่นิดเดียว
มือเคลื่อนไปหยอกล้อเขาอย่างรุนแรง หลิงมู่เอ๋อร์เปลี่ยนจากผู้ถูกกระทำเป็นผู้กระทำไล่ต้อนเขาไปที่มุมทีละก้าว มือทั้งสองข้างคว้าคอเสื้อเขาไว้อย่างรุนแรง การกระทำอุกอาจเช่นนี้ทำให้ซั่งกวนเว่าเฉินตะลึงงัน
“สตรีเช่นเจ้า…”
“อยากได้เหตุผลหรือ? ได้ เช่นนั้นวันนี้ท่านก็ตั้งใจฟังให้ชัดเจน ข้าหลิงมู่เอ๋อร์คนที่จะตบแต่งด้วยไม่ว่าจะเป็นโอรสมังกรสวรรค์หรือขอทานข้างถนน ข้าจะเป็นเพียงผู้เดียวที่อยู่ในใจเขา แน่นอนท่านอาจบอกว่าข้าเป็นเช่อเฟยก็ยังคงได้รับความโปรดปรานจากท่าน เช่นนั้นข้าจะบอกท่านว่าแม้ท่านจะเอาความโปรดปรานมากมายมาให้ข้าเพียงผู้เดียว แต่จะให้ข้าแบ่งปันท่านให้กับสตรีมากมาย ความโปรดปรานเช่นนี้ข้าไม่เอาเสียดีกว่า!”
“แม่นางหลิง หวางโฮ่วเหนียงเหนียงเชิญสตรีทุกคนไปชมดอกเหมย เจ้ารีบหน่อยเถิด” เสียงตะโกนก้องของนางกำนัลผู้หนึ่งดังมาจากที่ไกลๆ
หลิงมู่เอ๋อร์เงยหน้ามองไปก็เห็นเพียงเหล่าสตรีทุกคนในงานเลี้ยงล้วนตามหลังหวางโฮ่วมาแล้ว และหลันเชี่ยนหยิ่งที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนกำลังมองมาด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
เชิงอรรถ
[1] ดอกสาลี่ต้องหยาดฝน หมายถึง การที่สตรีร้องไห้แต่ก็ยังงดงาม
[2] เกี่ยวสามเก็บสี่ หมายถึง คนที่เกี้ยวพาราสีผู้อื่นไปทั่วทำตัวไม่ถูกจารีต