เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 9 ตอนที่ 250 กู้หน้า
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 9 ตอนที่ 250 กู้หน้า
เล่มที่ 9 ตอนที่ 250 กู้หน้า
ซูเช่อที่ดวงตาฟื้นฟูกลับมามองเห็นแสงสว่างอีกครามองหาร่างของหลิงมู่เอ๋อร์ท่ามกลางฝูงชนอย่างยินดี แต่กลับบังเอิญเห็นภาพเบื้องหน้าซึ่งจากมุมที่เขามองไปทำให้เห็นภาพที่ซั่งกวนเซ่าเฉินจูบนางอยู่
รู้สึกราวกับถูกบางสิ่งพุ่งชนดวงตาทั้งสองข้างจนแสบร้อน
เขายืนอยู่ที่เดิมมือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น คิดจะก้าวเข้าไปแต่กลับถูกจื่อถงก้าวมาขวางไว้ “นายท่านยามนี้ต่างจากเมื่อก่อน คนผู้นั้นคือองค์ชายรอง พวกเรา…”
แม้จะยังพูดประโยคหลังไม่จบแต่ก็มากพอที่จะทำให้ซูเช่อเดือดดาล
นางผลักร่างของซั่งกวนเซ่าเฉินออกในทันใด แม้จะมีเหล่าองครักษ์ทำให้คนด้านหน้าไม่อาจมองเห็น แต่เขาปิดหูขโมยระฆัง [1] เช่นนี้ช่างโง่เขลานัก
หลิงมู่เอ๋อร์พองแก้ม “ซั่งกวนเซ่าเฉินท่านมันสารเลว”
“เจ้ายังมิได้ตอบคำถามของคนสารเลวผู้นี้เลย แล้วเจ้าเล่าเตรียมตัวพร้อมหรือยัง?”
“เตรียมตัวกับผีสิ อยากจัดการข้าให้เรียบร้อยหรือ?” นางเลิกคิ้ว “ไปคิดวิธีจัดการเสด็จพ่อของท่านก่อนเถอะ”
หลิงมู่เอ๋อร์หันหลังสาวท้าวยาวๆ เดินจากไปเพราะเห็นร่างที่คุ้นเคยปรากฏท่ามกลางฝูงชน ซั่งกวนเซ่าเฉินมองตามแผ่นหลังของนางอย่างอาลัยอาวรณ์ สุดท้ายเขาก็กระซิบสั่งการคนข้างตัว
“พี่เซิงเอ๋อร์” หลิงมู่เอ๋อร์เดินไปด้านหลังคนผู้หนึ่งพลางเรียกเสียงหวาน
เซิงเอ๋อร์ตกใจมองไปยังหลิงมู่เอ๋อร์ นางตกตะลึงระคนดีใจกำลังคิดจะเดินไปหาอีกฝ่าย แต่เห็นองครักษ์ผู้หนึ่งเดินไปข้างตัวนางก็ปิดปากอย่างว่าง่าย
“เจ้าต้องการอะไร?” หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่าคนผู้นี้เป็นองครักษ์ข้างตัวซั่งกวนเซ่าเฉิน
“องค์ชายรองมีรับสั่งว่าอีกสักครู่จะมีสิ่งที่ทำให้แม่นางประหลาดใจ ขอแม่นางโปรดอดทนรอ”
สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจ แต่จากที่นางเห็นก็นับว่ามีสิ่งที่ทำให้ประหลาดใจไปแล้ว
โบกมือไล่องครักษ์อย่างรำคาญ จากนั้นหลิงมู่เอ๋อร์ก็วิ่งไปหาเซิงเอ๋อร์ “คิดว่ามองผิดเสียแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะเป็นพี่เซิงเอ๋อร์จริงๆ แต่เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่เล่า?”
วันนี้ฮ่องเต้ตกรางวัลให้ทั้งสามเหล่าทัพ นอกจากเหล่าผู้บังคับบัญชาระดับสูงในค่ายทหาร ก็มีเพียงขุนนางรวมถึงพระสนมขั้นสองขึ้นไปเท่านั้น หรือเป็นองค์ชายเจ็ดที่พานางมา?
เซิงเอ๋อร์ยิ้มบาง เดิมทีนางก็รูปโฉมงดงามจนทำให้คนใจเต้นอยู่แล้ว รอยยิ้มของนางยิ่งงดงามกว่าดอกบ๊วยด้านนอกเสียอีก
“สาวน้อยผู้นี้ได้ยินว่าเจ้ากลับมาเมืองหลวงนานแล้ว เหตุใดจึงไม่ไปเจอข้าเลยเล่า?” เซิงเอ๋อร์ใช้สายตาชี้ไปยังองค์ชายเจ็ดที่อยู่ตรงข้าม ก้มหัวอย่างขวยเขิน “พระชายาขององค์ชายเจ็ดทรงประชวรจึงไม่อาจเจ้าร่วมงานเลี้ยงครานี้ได้ พระองค์จึงพาข้ามา”
หลิงมู๋เอ๋อร์กำลังคิดจะถามเรื่องราวอย่างละเอียด ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นว่าการแต่งกายของนายแตกต่างจากเดิม นึกถึงคำพูดในวันนั้นที่องค์ชายเจ็ดพูดนอกเมืองอย่างมีลับลมคมใน นางจึงเปิดปากถามอย่างแปลกใจ “ในยามนี้ท่าน…ในยามนี้ท่านเข้าไปอยู่ในตำหนักขององค์ชายเจ็ดแล้วหรือ?”
เห็นได้ชัดว่าคำพูดนี้เพียงพอที่จะทำให้นางยิ้มไม่หุบไปได้ทั้งชีวิต เซิงเอ๋อร์คิ้วโค้งริมฝีปากผุดยิ้มใบหน้าเปี่ยมสุข “เป็นข้าไม่ให้เขาบอกเจ้าเพื่อให้เจ้าประหลาดใจ ถูกต้อง หลิงมู่เอ๋อร์ข้าได้เป็นเช่อเฟยขององค์ชายเจ็ดแล้ว ในที่สุดข้าก็ไม่ต้องรอคอยอย่างขมขื่นในห้องมืดทึบเพียงคนเดียวอีกต่อไปแล้ว”
เซิงเอ๋อร์จับมือนางอย่างตื่นเต้นดีใจ และบอกข่าวดีที่ตัวเองดีใจที่สุดออกมาให้พี่น้องที่ร่วมแบ่งปันทุกข์สุขร่วมกัน ไม่มีเรื่องใดที่จะงดงามไปกว่านี้อีกแล้ว
“จริงหรือ? ยินดีด้วยพี่สาวนับเป็นฟ้าหลังฝนแล้ว!” แม้องค์ชายเจ็ดจะไม่ใช่คนธรรมดา แต่นางก็ดีใจกับเซิงเอ๋อร์จากใจจริง
“เหอะ แต่ก็เป็นเพียงผู้ที่มีฐานะต่ำต้อย อย่าคิดว่าจะเอาตัวเองเข้ามาเป็นผู้นำของตำหนักองค์ชายเจ็ดได้” น้ำเสียงเสียดสีดังขึ้นมาจากด้านหลัง
เซิงเอ๋อร์หันกลับไปรอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไป รีบคุกเข่าทำความเคารพ “เซิงเอ๋อร์ขอคารวะเสด็จแม่เพคะ”
“หุบปาก!” หมิ่นกุ้ยเฟยว่าอย่างเดือดดาล “ใครเป็นเสด็จแม่ของเจ้า อย่าคิดว่าลูกข้ารับเจ้าแล้วข้าจะปล่อยผ่านเจ้า หากไม่ใช่เพราะเจ้าเล่อเซิงของพวกเราที่กำลังตั้งท้องจะล้มป่วยได้อย่างไร! ไม่เช่นนั้นเจ้าจะเหมาะสมที่จะมาร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้หรือ? เหอะ!”
หลิงมู่เอ๋อร์เจอเสด็จแม่ขององค์ชายเจ็ดเป็นครั้งแรก
ได้ยินว่าหมิ่นกุ้ยเฟยเป็นผู้มีเล่ห์เหลี่ยมแต่ปฏิบัติต่อลูกชายดีที่สุด ในวังหลังนอกจากหวางโฮ่วแล้ว ในหมู่พระสนมมีเพียงนางที่มีอำนาจสูงสุด
กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงประเมินอนุของลูกชายต่อหน้าทุกคนต่ำถึงเพียงนี้ ก็เพียงพอที่จะเห็นได้แล้วว่านางเกลียดเซิงเอ๋อร์เป็นอย่างยิ่ง
“ขออภัยเพคะเหนียงเหนียง เป็นเซิงเอ๋อร์ผิดเองเพคะ เซิงเอ๋อร์รู้ตัวว่าผิดแล้วขอเหนียงเหนียงโปรดอย่าทรงกริ้วจนเสียสุขภาพเพราะเซิงเอ๋อร์เลยนะเพคะ”
แม้จะไม่เต็มใจแต่เซิงเอ๋อร์ก็ยังก้มหัวอย่างเชื่อฟัง เห็นได้ชัดว่าตัวเองไม่ผิดแต่โทษทั้งหมดกลับต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง
แม้จะพยายามถึงเพียงนี้หมิ่นกุ้ยเฟยก็ยังไม่พอใจ “ยังมัวอึ้งอันใดอยู่ รองเท้าข้าสกปรกยังไม่รีบเช็ดให้ข้าอีกหรือ?”
พูดจบนางก็ยื่นเท้าข้างหนึ่งออกมา
ทุกคนที่สามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงในวันนี้ได้ล้วนเป็นผู้ที่ความมั่งคั่งมีฐานะสูงส่ง เห็นได้ชัดว่าหมิ่นกุ้ยเฟยจงใจกลั่นแกล้งเซิงเอ๋อร์ เกรงว่าหากเซิงเอ๋อร์ทำตามในวันหน้าจะยังมองหน้าผู้ใดได้อีก?
เห็นเซิงเอ๋อร์เกือบจะร้องไห้ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจทั้งยังโน้มตัวลงไปอย่างไม่มีทางเลือก หลิงมู่เอ๋อร์ก็รีบยืนอยู่ด้านหน้านาง
“มู่เอ๋อร์คารวะเหนียงเหนียงเพคะ” ถูกคนขัดจังหวะการเล่นสนุกหมิ่นกุ้ยเฟยก็มีสีหน้าเกรี้ยวกราด “เจ้าเป็นใคร เป็นบุตรีของผู้ใด หรือเป็นคนของตระกูลใด?”
จากการแต่งกายของนางเห็นได้ชัดว่าล้วนไม่ใช่อันใดทั้งสิ้น แต่หมิ่นกุ้ยเฟยจงใจพูดเช่นนี้เพื่อให้นางรู้สึกต่ำต้อย
“เรียนเหนียงเหนียง หม่อมฉันเป็นเพียงหมอที่ดูแลองค์ชายเจ็ดเพคะ”
นางตั้งใจย้ายเป้าหมายไปที่องค์ชายเจ็ด ซึ่งสามารถดึงดูดความสนใจของหมิ่นกุ้ยเฟยได้ในทันที
“เจ้าพูดอันใด? ลูกชายของข้าป่วยหรือ? เรื่องเกิดเมื่อใดแล้วป่วยเป็นอันใด?”
เมื่อเห็นนางไม่ได้กลั่นแกล้งเซิงเอ๋อร์อีก หลิงมูเอ๋อร์ก็ยิ้มพานางออกไปด้านหนึ่ง ริมฝีปากแดงแนบที่ข้างหูนาง “องค์ชายเจ็ดหาได้ป่วยเป็นอันใดเพคะ เพียงแต่ก่อนหน้านี้ทรงให้หม่อมฉันไปตรวจร่างกายให้อย่างละเอียด เพราะบอกว่าอยากรีบเพิ่มโอรสมังกรแก่ราชวงศ์เพคะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้หมิ่นกุ้ยเฟยก็เลิกคิ้วอย่างตื่นเต้นดีใจ “จริงหรือ? ในที่สุดเด็กคนนั้นก็รู้ว่าอันใดคือเรื่องที่ถูกที่ควรแล้วกระมัง” หันกลับไปมองเซิงเอ๋อร์อีกคราความโกรธของนางก็พวยพุ่งออกมา “หรือที่ลูกชายข้าวางแผนไว้จะเป็นกับนาง?”
“กับผู้ใดหม่อมฉันไม่อาจทราบแต่หม่อมฉันรู้เพียงว่าองค์ชายเจ็ดดูเป็นห่วงนางยิ่งเพคะ หากข้าเดาไม่ผิดองค์ชายเจ็ดทรงคงเป็นผู้ที่ดื้อรั้นทั้งยังชอบต่อต้านพระองค์ หากพระองค์ไม่เห็นด้วยเขาย่อมทำ แต่หากพระองค์ชอบเขากลับเมินเฉย ไม่ทราบว่าที่หม่อมฉันกล่าวถูกต้องหรือไม่เพคะกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง?”
คาดไม่ถึงว่าแม้แต่นิสัยขององค์ชายหมอหญิงผู้นี้ก็ยังพูดขึ้นมาเช่นนี้ ดูท่าองค์ชายจะให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง หมิ่นกุ้ยเฟยอดทนระงับโทสะในอกค่อยๆ พยักหน้า “ถูกต้อง หรือนี่ก็เป็นอาการป่วยในร่างกายของเขา?”
“ถูกต้องเพคะ ความจริงนี่เป็นอาการป่วย เหนียงเหนียงทรงคิดว่าเรื่องเล็กๆ ยังเป็นเช่นนี้ หากเป็นเรื่องใหญ่จะไม่เสียการหมดหรือเพคะ?”
ที่หลิงมู่เอ๋อร์จงใจพูดถึงองค์ชายเจ็ด ประการแรกนางรับรองได้ว่าคำพูดเช่นนี้จะไม่แพร่งพรายไปถึงหูขององค์ชายเจ็ด ประการที่สองคือเขาเป็นห่วงเซิงเอ๋อร์ถึงเพียงนี้ แม้จะรู้เรื่องเข้าก็ย่อมไม่ถือสาเอาความนาง
“เช่นนั้นต้องทำอย่างไร? โรคนี้รักษาได้หรือไม่? ความหวังทั้งหมดของเปิ่นกงล้วนอยู่ที่เขา รอจนเขากับ…” พูดถึงตรงนี้จึงรู้ตัวว่าตัวเองพูดมากเกินไป หมิ่นกุ้ยเฟยเลิกกระวนกระวาย กลับมามีท่าทีสง่างามเคร่งขรึมเช่นเมื่อครู่ “สาวน้อยผู้นี้ค่อยๆ พูดวิธีแก้ไขมาเสีย หากพูดได้ดีเปิ่นกงจะตกรางวัลให้”
“ขอบพระทัยยิ่งเพคะ ความจริงแล้ววิธีของหม่อมฉันง่ายมากเพคะ หากพระองค์ให้เขาทำตามสิ่งที่เขาปรารถนาองค์ชายเจ็ดจะรู้สึกติดค้างพระองค์ ภายหลังเมื่อพระองค์ต้องการสิ่งใดเขาจะปฏิเสธได้อย่างไรเพคะ?” หลิงมูเอ๋อร์เชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจ “อย่าว่าแต่ทายาทมังกรเลยเพคะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการรับเช่อเฟยอีกสักสองสามคน เหนียงเหนียงทรงคิดเห็นเช่นไรเพคะ?”
คิดไปคิดมาก็ล้วนรู้สึกว่าคำพูดของนางสมเหตุสมผล แม้จะไม่ค่อยพอใจนักที่สายตาของลูกชายเพ่งความสนใจทั้งหมดไปยังเซิงเอ๋อร์ที่ฐานะต่ำต้อย แต่หากสามารถทำให้ลูกชายรับนางสนมอีกสักสองสามคนเพิ่มนางก็ย่อมทนได้
“คิดไม่ถึงว่าสาวน้อยเช่นเจ้าจะฉลาดหลักแหลมนัก” หมิ่นกุ้ยเฟยหันมา “เอารางวัลมา”
นางกำนัลที่อยู่ด้านหลังถือจี้หยกมาส่งให้เบื้องหน้าหลิงมู่เอ๋อร์ “ข้าเห็นความฉลาดหลักแหลมของเจ้าแล้วชอบใจนัก ไม่รู้ว่าเจ้าแต่งงานแล้วหรือไม่?”
องค์ชายแม้แต่กับนางโลมยังตบแต่งได้ กับสามัญชนยากจนสักคนจะเป็นอันใดไปเล่า? ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเป็นหมอ หากสามารถทำให้ลูกชายมีโอรสมังกรสักสองสามคนได้เร็วขึ้น ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสในการสืบทอดบัลลังก์ได้มาก
หลิงมู่เอ๋อร์เปิดปากกำลังจะตอบกลับ แต่ไม่รู้ว่าซั่งกวนเซ่าเฉินปรากฏตัวข้างหลังตั้งแต่เมื่อใด “ไม่ทราบกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงคิดจะชี้แนะเรื่องการแต่งงานเช่นไรกับสตรีของข้าหรือ?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินเอามือทั้งสองข้างไพล่หลัง ดวงตาเย็นเฉียบล้ำลึกราวกับเหยี่ยวจ้องมองไปข้างหน้า
ตั้งแต่เขาปรากฏตัวออกมาก็ดึงดูดสายตานับไม่ถ้วนรอบตัว
หมิ่นกุ้ยเฟยคิดไม่ถึงว่าหลิงมูเอ๋อร์จะเป็นคนของเขา ความคิดทั้งหมดเมื่อครู่จึงสูญสลายไป หลังจากนางรีบทำความเคารพก็เดินจากไปอย่างเศร้าหมอง
แม้จะเป็นกุ้ยเฟยแต่จะมีใครไม่รู้เล่าว่าผู้ที่ฮ่องเต้โปรดปรานในยามนี้คือคนผู้นี้
เห็นหมิ่นกุ้ยเฟยเดินจากไปแล้วเซิงเอ๋อร์ที่ขลาดกลัวมาตลอดก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก หลิงมูเอ๋อร์อยากไปปลอบโยนนาง แต่มีซั่งกวนเซ่าเฉินขวางไว้อยู่นางจึงไม่ได้พูดอันใด ทำได้เพียงใช้ดวงตากลมโตที่ไร้ชีวิตชีวาจ้องมองไป
“เหอะ รู้สึกว่าหากข้าไม่มาเจ้าคงคิดจะตอบรับข้อเสนอของนางไปแล้วกระมัง?”
“บางทีการแต่งงานที่กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงส่งหม่อมฉันไปอาจดีกว่าก็ได้เพคะ องค์ชายรองช่างขัดขวางความสุขของผู้อื่นเสียจริงเพคะ!”
“สตรีเช่นเจ้านี่มัน!” คำพูดทั้งหมดถูกกลืนกลับไป ซั่งกวนเซ่าเฉินสะบัดแขนเสื้อจากไปอย่างโกรธเคือง
หลิงมู่เอ๋อร์มองสายตาที่กำลังดูเรื่องสนุกของผู้คนรอบด้าน ก่อนจะดึงเซิงเอ๋อร์ไปที่มุมหนึ่ง “ท่านถูกนางรังแกบ่อยหรือ?”
เพียงแค่นึกถึงความไม่ชอบใจของกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง บรรยากาศเพียบพร้อมทั้งหมดของเซิงเอ๋อร์ก็หายไป ราวกับมะเขือม่วงที่ถูกน้ำค้างจนเหี่ยวเฉา [2]
“ฐานะของข้าต่ำต้อย หากไม่ใช่เพราะเมื่อไม่กี่เดือนก่อนเหยียกดดันราชครู ทั้งยังใช้อำนาจคุกคามเสด็จแม่เช่นนี้ เซิงเอ๋อร์จะเข้าไปอยู่ในจวนองค์ชายเจ็ดได้อย่างไร” นางถอนหายใจ “เสด็จแม่ทำกับข้าเช่นนี้หาใช่ความผิดของนางไม่”
“แล้วฐานะของท่านผิดอันใด? ขอเพียงองค์ชายเจ็ดทรงพอพระทัยล้วนสำคัญกว่าสิ่งใด ท่านยิ่งต่ำต้อยเช่นนี้นางจะยิ่งรังแกท่านอย่างมีความสุข พี่เซิงเอ๋อร์ คนงามย่อมถูกคนรังแก ท่านมีองค์ชายเจ็ดหนุนหลังอยู่ท่านยังต้องกลัวอันใดเล่า?”
เมื่อครู่ได้ยินชัดเจนว่าหมิ่นกุ้ยเฟยมีความคิดเช่นเดียวกับองค์ชายเจ็ด นั่นคือตั้งใจที่จะเอาตำแหน่งสูงศักดิ์ในวังหลวงมา คนในตำหนักองค์ชายเจ็ดแม้จะล้วนไม่ใช่คนดีอันใดสักคน แต่ถึงอย่างไรเซิงเอ๋อร์ก็เป็นคนของเขาแล้ว
หากจะต้องสูญเสียความมั่งคั่งและเกียรติยศไป การก้มหัวให้ผู้อื่นในยามนี้ย่อมดีกว่า
หลิงมู่เอ๋อร์อดทนที่จะเก็บคำพูดไว้ในปาก เพื่อไม่ให้พูดเรื่องที่องค์ชายเจ็ดเคยกระทำกับนางที่นอกเมืองหลวงออกไป
“ได้ มู่เอ๋อร์ข้ารู้ว่าเจ้าทำเพื่อข้า วันนี้หากไม่มีเจ้าก็ไม่รู้ว่าเสด็จแม่จะรังแกข้าเช่นไรบ้าง แต่ในยามนี้เจ้ากลับมาแล้วข้าก็สบายใจ”
ใบหน้าของเซิงเอ๋อร์ปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนสวยหยาดเยิ้ม ราวกับสตรีต่ำต้อยขี้ขลาดเมื่อครู่ไม่ใช่นาง
“เจ้ารีบบอกข้าเร็วว่าระหว่างเจ้ากับองค์ชายรองเกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
เชิงอรรถ
[1] ปิดหูขโมยระฆัง หมายถึง คนเขลาที่ใช้วิธีโง่เขลาแต่คิดว่าตัวเองจะสามารถหลอกคนอื่นได้
[2] มะเขือม่วงที่ถูกน้ำค้างจนเหี่ยวเฉา หมายถึง ห่อเหี่ยวไร้ชีวิตชีวา