เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 9 ตอนที่ 249 การแสดงปาหี่
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 9 ตอนที่ 249 การแสดงปาหี่
เล่มที่ 9 ตอนที่ 249 การแสดงปาหี่
หลังส่งหลิงมู่เอ๋อร์ออกไป องค์หญิงใหญ่ก็รอหลันเชี่ยนหยิ่งอยู่ที่หน้าประตูจนเห็นนางเดินร่ำไห้ออกมาด้วยใบหน้างดงามที่ยับย่น
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น ไม่ใช่ให้โอกาสเจ้าอยู่กับเช่อเอ๋อร์แล้วหรือ…” องค์หญิงใหญ่ถอนหายใจ “เจ้าเป็นผู้ที่งดงามที่สุดในเมืองหลวง หรือเรื่องเล็กแค่นี้ก็ทำไม่ได้?”
เมื่อครู่หลังจากหลิงมู่เอ๋อร์เข้าไปในห้องซูเช่อ นางก็ส่งคนออกไปจวนมหาเสนาบดีเพื่อพาหลันเชี่ยนหยิ่งมา ทั้งยังบอกว่านางจะได้เป็นจวิ้นหวางเฟย หลันเชี่ยนหยิ่งทีแรกไม่ยินยอมแต่เมื่อได้รู้ว่าฮ่องเต้ทรงรับปากว่าจะมอบตำแหน่งเสียนหวางให้ซูเช่อในภายหลังนางก็ตอบรับโดยพลัน
พวกเขาวางแผนให้ทั้งสองคนทำข้าวสารให้เป็นข้าวสุก [1] พยายามเร่งจัดงานแต่งช่วงตรุษจีน
แต่คาดไม่ถึงว่าเด็กสาวจะร้องห่มร้องไห้ออกมา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีท่าทีราวกับตกใจกลัว องค์หญิงใหญ่ผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง
“ทั้งหมดเป็นนางสารเลวหลิงมู่เอ๋อร์ ทั้งหมดเป็นเพราะนาง องค์หญิงใหญ่ต้องให้ความเป็นธรรมแก่เชี่ยนหยิ่งนะเพคะ”
โผเข้าอ้อมกอดขององค์หญิงใหญ่ หลันเชี่ยนหยิ่งก็บอกสิ่งที่ซูเช่อพูดกับนางเมื่อครู่อย่างไม่ตกหล่นให้นางได้ฟัง
หลังจากได้ยินองค์หญิงใหญ่ก็สะดุ้งตกใจ “เช่อเอ๋อร์เด็กคนนั้นจะพูดคำที่โหดร้ายเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร?”
“ต้องถูกหลิงมู่เอ๋อร์ยุยงเป็นแน่เพคะ!” หลันเชี่ยนหยิ่งความโกรธพวยพุ่ง โยนทุกสิ่งไปให้หลิงมู่เอ๋อร์รับผิดชอบ “พี่เช่อเมื่อก่อนเป็นผู้ที่อ่อนโยน เขาเป็นคุณชายอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง แล้วเขากลายเป็นคนโหดร้ายป่าเถื่อนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด? แน่นอนว่าเป็นเพราะหลิงมู่เอ๋อร์ นางทนเห็นข้ากับพี่เช่อไปด้วยกันได้ดีไม่ได้จึงตั้งใจทำให้เขามีความคิดเช่นนี้ องค์หญิงใหญ่เพคะพระองค์ว่าควรทำเช่นไรต่อไปดีเพคะ?”
คาดไม่ถึงว่าซูเช่อที่เมื่อก่อนเคยอบอุ่นอ่อนโยนจะกลายเป็นป่าเถื่อนไร้เมตตาไปได้ องค์หญิงใหญ่โกรธจนแทบทนไม่ไหวที่จะพุ่งออกไปหักคอหลิงมู่เอ๋อร์
“คอยดูเถอะกล้ามาเป็นศัตรูกับข้า ข้าจะไม่ปล่อยนางไว้แน่!”
ในแววตาโหดเหี้ยมมีไอสังหาร ยามที่มองไปยังหลันเชี่ยนหยิ่งอีกคราองค์หญิงใหญ่ก็แปรเปลี่ยนไปเป็นอ่อนโยนเคร่งขรึม “เจ้าวางใจ เรื่องนี้ข้าจะช่วยเจ้าแน่นอน ช่วงนี้เจ้าอยู่ที่จวนจวิ้นอ๋องไปก่อน หัวใจบุรุษล้วนอ่อนไหว หากเจ้าทำดีต่อเขานานวันเข้าเขาจะรู้ไปเองว่าจวิ้นหวางเฟยไม่สิ ตำแหน่งเสียนหวางเฟยต้องเป็นของเจ้าเท่านั้น”
เมื่อได้รู้ว่าหลังซูเช่อได้รับชัยชนะกลับมาก็ได้รับพระราชทานตำแหน่งเสียนหวาง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติยิ่งกว่าบิดาของตน หลันเชี่ยนหยิ่งก็คุกเข่าก้มหัวขอบพระคุณยิ่งอย่างมีไหวพริบ “ขอบพระทัยองค์หญิงใหญ่สำหรับความกรุณาเพคะ”
ยามที่กลับจวน ตระกูลหลิงทั้งครอบครัวก็ยืนเฝ้าอยู่ในห้องโถง หลิงมู่เอ๋อร์เพิ่งพบว่ามีแขกทรงเกียรติผู้หนึ่งรออยู่นานแล้ว
“ท่านแม่บุญธรรม!” นางเข้าไปอย่างปีติยินดี เสียงหวานไพเราะยิ่งกว่านกสาลิกาบนต้นไม้
ฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวผู้เคร่งขรึมน่าเกรงขามเมื่อได้ยินเสียงมุมปากก็ยกขึ้นอย่างพอใจ “โอ้! มาเร็ว รีบมาให้ข้าดูหน่อยไปชายแดนครานี้ถูกคนรังแกหรือไม่?”
เมื่อหมุนตัวนางและพบว่าไม่มีบาดแผลใดฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวก็จับมือนางอย่างทะนุถนอม “เจ้ามีเรื่องอันใดกับเจ้าเด็กหน้าเหม็นนั่นเจ้าล้วนบอกข้าได้ ข้ามาครานี้เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่เจ้า!”
ใบหน้าน่ารักของหลิงมู่เอ๋อร์ขึ้นสีแดงเรื่อรับรู้ได้ถึงความหวังดีของนาง พูดขอบคุณอยู่หลายครา “ขอบคุณท่านแม่บุญธรรมเจ้าค่ะ”
ทุกคนเห็นหลิงมู่เอ๋อร์และฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวสนิทสนมกันเช่นนี้ ความเคร่งเครียดเมื่อครู่ก็ผ่อนคลายลง โดยเฉพาะหลิงจือเซวียนที่รู้สึกแปลกใจยิ่ง “มู่เอ๋อร์มีแม่บุญธรรมตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดพวกเราจึงไม่รู้เล่า?”
“ท่านเป็นบุตรชายบุญธรรมของจวนหนิงกั๋วโหว ข้าเป็นน้องสาวของท่าน ข้าก็ย่อมเป็นบุญสาวบุญธรรมของจวนหนิงกั๋วโหวเป็นธรรมดา ท่านพี่ว่าไม่ถูกต้องหรือเจ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์หันหน้าไปกะพริบดวงตากลมโตไร้เดียงสาทั้งสองข้าง
หลิงจือเซวียนเปิดปากคิดจะโต้แย้งแต่กลับพบว่าคำพูดนี้สมเหตุสมผล ลูบผมของนางอย่างเอ็นดู “มู่เอ๋อร์ของพวกเราเก่งกาจจริงๆ”
ทุกคนได้ยินว่าเด็กสาวที่ยังไม่แต่งงานของครอบครัวตัวเองกลายเป็นลูกสาวบุญธรรมของฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหว ก็ยิ่งปฏิบัติต่อนางด้วยความเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง
“ฮูหยินเชิญท่านดื่มชาก่อน”
“ฮูหยินท่านต้องดูแลทั้งจือเซวียนทั้งยังต้องดูแลมู่เอ๋อร์ลำบากท่านแล้วจริงๆ หากเด็กสองคนนี้ทำอันใดผิดไปหวังว่าฮูหยินจะไม่ถือสา”
“ฮูหยิน…”
หยางซื่อและหลิงต้าจื้อข้าพูดประโยคเจ้าพูดประโยค ราวกับฝากฝังให้นางดูแลลูกบ้านตัวเอง
ฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวที่เดิมทีมีนิสัยตรงไปตรงมาปฏิบัติกับผู้อื่นอย่างสบายๆ ก็ถูกฉากตรงหน้าทำให้ตกใจ นางรีบลุกขึ้นส่ายหน้าโบกมือไม่หยุด “ข้าว่าพวกท่านอย่าเกรงใจถึงเพียงนี้เลย แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยเกรงใจผู้อื่นถึงเพียงนี้ พวกท่านทำเช่นนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี”
นางส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปยังหลิงมู่เอ๋อร์ อีกฝ่ายเข้าใจโดยพลันจึงลากเก้าอี้มาให้พ่อแม่ของตัวเองนั่งลงดีๆ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านแม่บุญธรรมเป็นผู้ที่เคยผ่านสนามรบกับท่านพ่อบุญธรรมมาแล้ว มีนิสัยตรงไปตรงมาหาได้คิดเล็กคิดน้อยไม่ พวกท่านทำเช่นนี้นางจะอึดอัดนะเจ้าคะ”
ได้ยินหลิงมู่เอ๋อร์พูดเช่นนี้หยางซื่อและหลิงต้าจื้อก็ตำหนิตัวเอง “ตายจริงเช่นนั้นจะทำอย่างไรดี เมื่อครู่พวกเราทำให้ฮูหยินตกใจแย่แล้วใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้า…ข้าควรทำเช่นไร?”
เห็นหยางซื่อไม่รู้จะกู้สถานการณ์กลับมาเช่นไรทั้งยังมีสายตาละอายใจ ฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวก็ตกใจขนทั่วทั้งร่างลุกชัน
นางดึงหลิงมู่เอ๋อร์มาข้างกายอย่างระมัดระวัง “ไม่ได้ ข้าอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว หากอยู่อีกครู่หนึ่งพวกเขาต้องบูชาข้ากลายเป็นพระพุทธเจ้าเป็นแน่ เช่นนี้รอให้จบงานเลี้ยงฉลองชัยที่จัดโดยฝ่าบาทก่อน หลังข้ากลับไปที่จวนจะไปรับเจ้ามาอยู่ที่จวนหนิงกั๋วโหวโดยตรงสักสองสามวัน ข้าค่อยทวงความเป็นธรรมจากเจ้าเด็กหน้าเหม็นผู้นั้นให้เจ้า”
พูดจบนางก็หนีไปอย่างตื่นตระหนก หลิงมู่เอ๋อร์ยังมิได้เข้าใจสถานการณ์อย่างชัดเจน “ท่านแม่บุญธรรมงานฉลองชัยของฝ่าบาทข้าต้องไปด้วยหรือเจ้าคะ?”
ฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวที่กำลังคิดจะจากไปตีหน้าผากอย่างแรง หลังจากที่เพิ่งนึกขึ้นได้ “เจ้าดูความจำข้า นี่จดหมายเชิญเข้าวังหลวง เจ้ามีคุณงามความดีที่ช่วยชีวิตองค์ชายรองไว้ ยิ่งไปกว่านั้นฝ่าบาทยังทรงได้ยินว่าในสนามรบเจ้ายังวางแผนจนทัพใหญ่ได้รับชัยชนะ เจ้าว่าเจ้าควรไปหรือไม่เล่า?”
หลิงเอ๋อร์หนึ่งหัวสองใหญ่ [2] คาดไม่ถึงว่าเมื่อครู่เพิ่งจะหลุดพ้นจากรังหมาป่าก็ต้องเข้าไปด้วยตัวเองอีกครั้ง นางมองฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวอย่างขอความช่วยเหลือ
หยางซื่อและหลิงต้าจื้อเห็นนางรีบร้อนจะไปก็พากันรั้งให้นางอยู่ต่อ “ฮูหยินรีบร้อนถึงเพียงนี้เชียวหรือ อยู่กินมื้อเย็นด้วยกันก่อนเถิด มู่เอ๋อร์ของพวกเรามีฝีมือยิ่ง เกรงว่ายังมีของอร่อยอีกมากที่ท่านยังไม่เคยลิ้มลอง”
หลิงต้าจื้อเกรงว่าฮูหยินจะเมินเฉยจึงรีบพยักหน้า “ใช่ๆๆ ท่านอยู่ต่อก่อนเถิด”
เห็นทั้งสองคนมีท่าทีกระตือรือร้นเช่นนี้ ฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวก็ตกใจแทบแย่แล้วจริงๆ นางรีบมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างรู้สึกผิด “แม่หนูเดิมทีแม่บุญธรรมอยากช่วยเจ้า แต่เจ้าดู…เอาเถิด เจ้าคงต้องช่วยเหลือตัวเองแล้ว ขอให้โชคดี”
เมื่อทักทายทุกคนแล้วฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวก็วิ่งไปราวกับรีบร้อนหนีตาย
หลิงจือเซวียนเห็นทุกอย่างผ่านสายตาก็อดไม่ได้ที่จะปิดปากลอบหัวเราะ
หยางซื่อผ่านไปนานก็ยังไม่อาจเข้าใจสถานการณ์ ตะโกนตามหลังนางที่จากไป “นี่เหตุใดคนผู้นี้จึงไปแล้วเล่า”
กำลังคิดจะไล่ตามนางไปหลิงจือเซวียนก็รีบดึงนางไว้ “ท่านแม่ ท่านทำแม่บุญธรรมตกใจแล้วนะขอรับ”
“ข้า ข้าจะไปทำให้นางตกใจได้อย่างไร?” หยางซื่อยังไม่เข้าใจสถานการณ์อย่างชัดเจน “เมื่อก่อนในหมู่บ้านพวกเราก็ปฏิบัติต่อแขกผู้ทรงเกียรติเช่นนี้ เมื่อแขกผู้ทรงเกียรติมาเยือนบ้านพวกเราก็ต้องคอยปรนนิบัติน้ำท่าอาหารการกินให้เรียบร้อย ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้นางเป็นแม่บุญธรรมของเจ้ากับมู่เอ๋อร์ พวกเราย่อมไม่อาจดูแคลนได้”
หลิงจือเซวียนยิ้มตอบ “แต่ที่นี่คือเมืองหลวง และนั่นคือฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหวนะขอรับ!”
หยางซื่อคิดเช่นนั้น “ถูกต้อง เช่นนั้นย่อมต้องเป็นแขกผู้ทรงเกียรติ”
เมื่อพบว่าพูดกับมารดาไม่เข้าใจจริงๆ หลิงจือเซวียนก็จนปัญญาทำได้เพียงดันมู่เอ๋อร์ไปเบื้องหน้า “มู่เอ๋อร์คนก็มาเพื่อเจ้าเช่นนั้นต้องเป็นเจ้าที่แก้ปัญหาแล้ว”
เห็นท่าทีมึนงงของมารดา หลิงมู่เอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ท่านแม่ ท่านพ่อ พวกท่านอย่ามองว่านางเป็นฮูหยินจวนหนิงกั๋วโหว ถึงอย่างไรนางก็เป็นผู้ที่ตรงไปตรงมาทั้งยังไม่ถือตัวมีอิสระ สิ่งที่ไม่ชอบที่สุดคือความมากพิธีรีตองเช่นนี้ วันนี้พวกท่านทำให้คนตกใจกลัวแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ”
ได้ยินลูกสาวพูดเช่นนี้หยางซื่อก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง “เพราะรู้สึกกระตือรือร้นเกินไปจึงผิดพลาดหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์และหลิงจือเซวียนสบสายตากัน ทั้งสองคนเห็นพ้องต้องกันว่าจะไม่เข้าไปพัวพันกับปัญหานี้อีก ไม่เช่นนั้นวันนี้แม่ของพวกเขาวนเวียนอยู่กับเรื่องนี้ไม่ไปไหน
เช้าวันต่อมารถม้าที่จัดเตรียมโดยวังหลวงได้มารับหลิงมู่เอ๋อร์เข้าวัง
ฮ่องเต้จะตกรางวัลให้ทั้งสามเหล่าทัพที่งานเลี้ยงฉลองชัยในวังหลวง นี่ถึงเป็นเหตุผลที่นางไม่อาจปฏิเสธได้
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นซั่งกวนเซ่าเฉินท่ามกลางฝูงชนแทบจะในทันที ในยามนี้เขาถูกเหล่าขุนนางใหญ่ห้อมล้อมอยู่ทั้งกล่าวยินดีทั้งกล่าวเยินยอ เหล่าคนที่เคยดูถูกเขาเมื่อก่อนราวกับแทบจะทนไม่ไหวที่จะได้ประจบสอพลอข้างตัวเขา
ราวกับรู้สึกได้ถึงสายตาที่ร้อนแรงของนาง ซั่งกวนเซ่าเฉินหันมามองหลิงมู่เอ๋อร์ด้วยสายตาลุ่มหลง
ไม่รู้ว่าเขาหันกลับไปพูดอันใดกับเหล่าขุนนาง จากนั้นครู่เดียวก็ก้าวเดินอย่างสบายๆ มาทางนาง
เพราะฉากที่แยกกันเมื่อวานในวังหลวง หลิงมู่เอ๋อร์ในยามนี้จึงยังไม่อยากเจอเขา เหลียวมองซ้ายขวาคิดจะหาคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาเพื่อเดินไปหลบเลี่ยง
“ทำไม ยังคิดจะเล่นละครปาหี่ใช้กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับ [3] อีกหรือ?” เสียงกวนประสาทดังมาจากข้างหลัง หลิงมู่เอ๋อร์ที่เดิมทีคิดจะเดินไปขาทั้งสองข้างก็หยุดลงอย่างไม่เชื่อฟัง
“พระองค์หาว่าใครใช้กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับเพคะ?”
“ย่อมเป็นเจ้า ชัดเจนว่าจ้องมาที่ข้าตลอดแต่พอข้าเห็นกลับจะหนี นี่ไม่ใช่ใช้กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับหรือ?” ซั่งกวนเซ่าเฉินก้าวเข้าไปใกล้นางทีละก้าว เมื่อบังจนนางถอยหลังจนมุมแล้วจึงพอใจ “ข้าน่ากลัวมากหรือ เหตุใดเจ้าต้องหนี?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินในวันนี้ไม่ว่าจะด้วยฐานะหรือใบหน้าก็ล้วนเป็นจุดสนใจในงานเลี้ยงนี้
การกระทำของเขาขมวดคิ้วคราหนึ่งยิ้มคราหนึ่ง ก็ล้วนดึงดูดความสนใจของผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา
ยามที่เขาเลี่ยงเหล่าขุนนางเดินมาที่นางก็มีสายตาหลายคู่มองตามเขามาด้วยเช่นกัน หลิงมู่เอ๋อร์ที่เดินอ้อมเขาก็เห็นสีหน้าแต่ละคนที่แทบอยากจะกินนางไม่ให้เหลือแม้แต่กระดูก ทำให้นางตัวสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ “องค์ชายรองทรงมีรูปโฉมทรงเสน่ห์งดงามยิ่งกว่าสตรีจะน่ากลัวได้อย่างไรเพคะ”
นางบุ้ยปาก “คนเหล่านั้นแทบรอไม่ไหวที่จะจับหม่อมฉันกินแล้ว ทรงอยู่ห่างจากหม่อมฉันหน่อยเถิดเพคะ”
“คำที่ข้าพูดกับเจ้าเมื่อวานต้องขอโทษเจ้าด้วย” เขาไม่เพียงแต่ไม่เดินไปทั้งยังเข้ามาใกล้อีกหลายส่วน ยามที่หลิงมู่เอ๋อร์ถอยจนไร้ทางถอยเกือบจะล้มลง เขาก็ยื่นมือออกมาเกี่ยวเอวของนางไว้ได้ทันเวลาอย่างแม่นยำ
กระทำเช่นนี้ต่อหน้าธารกำนัล ใบหน้าหลิงมู่เอ๋อร์ก็แดงจนมีเสียง ‘ฉ่า’
รีบผลักร่างเขาออก “องค์ชายรองยังไม่ทันได้ดื่มก็เมาแล้วหรือเพคะ? ข้าไม่เข้าใจว่าท่านกำลังพูดอันใดเพคะ”
เห็นนางต้องการจะหนีซั่งกวนเซ่าเฉินก็ดึงนางกลับมาอีกครา กดนางไว้กับผนังแน่น “เมื่อวานข้าบอกว่าข้าต้องการเปลี่ยนเจ้า แต่ก็ได้รู้ว่าความคิดของข้ามันผิด”
เขาจ้องมองดวงตาของนางอย่างจริงจัง “แม่นาง ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อข้าหรือไม่ก็ช่าง ข้ารู้แล้วว่าเมื่อข้าชอบใครสักคนก็จะยอมรับได้ทุกอย่าง ข้ากำลังคิดจะยอมรับเจ้า แล้วเจ้าเล่า?”
พูดจบเขาก็สะบัดแขนยาวคราหนึ่ง เหล่าองครักษ์หลายคนก็ปรากฏตัวออกมาด้านหลังขวางกั้นตรงนี้เป็นมุมเล็กๆ และซั่งกวนเซ่าเฉินก็โน้มหัวลงมาประทับริมฝีปากแดงของนางแน่น
เชิงอรรถ
[1] ทำข้าวสารให้เป็นข้าวสุก หมายถึง ทำให้เรื่องใดเรื่องหนึ่งไปถึงจุดที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขอะไรได้แล้ว
[2] หนึ่งหัวสองใหญ่ หมายถึง ปวดหัวอย่างหนักเพราะพบปัญหาที่ยากจะแก้ไข
[3] กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับ หมายถึง กลยุทธ์ที่เมื่อจับเชลยศึกได้จะแสร้งปล่อยไป แต่ให้คนไล่ตามไม่ปล่อยจนอีกฝ่ายหมดเรี่ยวแรงกำลังใจจนยอมจำนนไปเอง จากนั้นก็จะสามารถจับทหารฝั่งศัตรูมาเป็นเชลยศึกได้ง่าย ทั้งยังไม่ต้องทำศึกให้เสียเลือดเสียเนื้อ กล่าวคือเป็นกลยุทธ์ที่จะทำให้ศัตรูยอมจำนนไปเอง