เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 9 ตอนที่ 248 เปลี่ยนดวงตา
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 9 ตอนที่ 248 เปลี่ยนดวงตา
เล่มที่ 9 ตอนที่ 248 เปลี่ยนดวงตา
แปะ แปะ
ซูเช่อตบฝ่ามือสองคราก็มีคนในชุดสีม่วงผู้หนึ่งซึ่งมาจากที่ใดไม่ทราบปรากฏตัวขึ้นเบื้องหลัง
หลิงมู่เอ๋อร์มองไปก็เห็นว่าแขนข้างหนึ่งของเขาถูกแขวนด้วยผ้าพันแผล สีหน้าเหนื่อยล้าซีดเซียว เห็นได้ชัดว่าเพิ่งได้รับบาดเจ็บหนักมาไม่นาน
นางโยนยาลูกกลอนไปเม็ดหนึ่ง “เจ้าเสียเลือดมากเกินไปทำให้เลือดไหลเวียนไม่ปกติ กินนี่ลงไปจะช่วยเสริมพลังงานภายในร่างกายได้”
“ขอบคุณแม่นางหลิงเป็นอย่างยิ่ง!” จื่อถงประสานมือทั้งสองข้างโค้งคำนับหลิงมู่เอ๋อร์ หลังได้รับการอนุญาตจากเจ้านายก็กินยาลูกกลอนลงไป จากนั้นเขาก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังด้วยเสียงอันไพเราะ
“ก่อนที่เหยียจะออกจากเมืองหลวงได้ส่งข้าน้อยไปลอบแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน คนในราชสำนักที่เดิมทีต้องการดึงเหยียมาเป็นพวกก็ตัดสินใจเลือกข้างอย่างรวดเร็วขอรับ หวางโฮ่วเหนียงเหนียงเคยส่งคนไปลอบสังหารอี้กุ้ยเฟยอยู่หลายครา แต่ล้วนถูกข้าน้อยกับอิ๋นถงแยกกันพากลุ่มองครักษ์เงาไปถอนรากถอนโคนจนหมด แม้ข้าน้อยจะได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่ก็สามารถทำภารกิจสำเร็จลุล่วง โดยหลบเลี่ยงสายตาของหวางโฮ่วเหนียงเหนียงลอบส่งอี้กุ้ยเฟยไปยังห้องบรรทมฮ่องเต้ขอรับ แม้การป้องกันจะแน่นหนายิ่งแต่โชคดีที่ผลสุดท้ายออกมาสมบูรณ์แบบขอรับ”
ได้ยินเช่นนี้หลิงมู่เอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะชูนิ้วโป้งขึ้นมาให้ซูเช่อ “ฝ่าบาททรงรับสั่งให้ท่านนำทัพเสริมทั้งสามเหล่าทัพออกไปชายแดน ในยามนั้นท่านมีเวลาเตรียมตัวเพียงวันเดียว คาดไม่ถึงว่าท่านกลับวางแผนลับไปมากมายถึงเพียงนี้ จวิ้นอ๋องน้อยสมกับที่เป็นจวิ้นอ๋องน้อย ดูท่าในวันข้างหน้าหากหม่อมฉันจะทำอันใดก็ต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อนลงมือทำแล้วเพคะ”
ได้ยินหลิงมู่เอ๋อร์จงใจพูดหยอกล้อ ซูเช่อก็ออกแรงที่ข้อมือจนคนงามหล่นมาอยู่บนตักของเขา
รู้สึกได้ว่านางต้องการหนี ซูเช่อจึงออกแรงที่มือทั้งสองกักขังนางไว้ในอ้อมกอดอย่างแน่นหนา “ล้อเลียนเปิ่นหวางหรือ?”
“หม่อมฉันมิกล้า!” หลิงมู่เอ๋อร์ดิ้นรน “ปล่อยข้ามีคนมองอยู่”
“ในห้องมีเพียงเจ้ากับข้าสองคนมีใครแอบมองด้วยหรือ?”
ได้ยินคำพูดของซูเช่อ หลิงมู่เอ๋อร์ก็หันกลับไปมองก็พบว่าจื่อถงที่เพิ่งปรากฏตัวในห้องเมื่อครู่หายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว แม้แต่อากาศก็ล้วนไม่หลงเหลือกลิ่นอายของเขา ราวกับเมื่อครู่เขาไม่เคยปรากฏตัวออกมา
หลิงมู่เอ๋อร์กลอกตา “หากท่านยังทำเป็นเล่นข้าจะจิ้มตาท่านให้บอดเลย”
“จะว่าไปก็แปลก หลังจากเจ้ามาดวงตาทั้งสองข้าก็ไม่เจ็บปวด ในยามนี้ยิ่งรู้สึกสบายยิ่ง แม่นางหลิงเป็นยาวิเศษของเปิ่นหวางจริงๆ” ซูเช่อยิ้มพลางหยอกเย้าแต่ก็ปล่อยมือทั้งสองที่กอดนางอยู่
แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ทำเรื่องอันใดที่บีบบังคับนาง เมื่อครู่เพียงแต่ควบคุมตัวเองไม่ได้ชั่วครู่เท่านั้น
“ข้าไม่เชื่อท่านหรอก!”
หลิงมู่เอ๋อร์บุ้ยปากไม่เชื่อคำหวานของเขา “หากมีเวลามาหยอกล้อข้าไม่สู้ไปคิดว่าหลังจากนี้จะรับมืออย่างไรเสียดีกว่า ในยามนี้ท่านนับว่าเป็นศัตรูกับคนผู้นั้นแล้ว”
“เช่นนั้นเจ้าเป็นห่วงข้าหรือ?” มุมปากซูเช่อยกขึ้นแทบจะขึ้นไปถึงหู “ตั้งแต่ข้าวางแผนเริ่มทำถึงเพียงนี้ก็นึกถึงผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดเอาไว้แล้ว หากสำเร็จข้าจะทำให้นางต้องชดใช้อย่างแสนสาหัสอย่างแน่นอน แต่หากไม่สำเร็จก็จะไม่ยอมให้นางได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบเช่นกัน!”
ซูเช่อกัดฟันพูดอย่างเด็ดขาด แต่ยามที่พูดจบและมองไปยังหลิงมู่เอ๋อร์ เขาก็กลับมามีท่าทีอ่อนโยนสง่างามเช่นเดิม
จวิ้นอ๋องน้อยถูกปิดดวงตาไว้ทำให้มองไม่เห็นสิ่งใดเบื้องหน้า แม้จะเป็นเช่นนี้รอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาก็ยังมีเสน่ห์น่าหลงใหลจนเกินไป
ทันใดนั้นหลิงมู่เอ๋อร์ก็เข้าใจว่าเหตุใดองค์หญิงใหญ่จึงเตือนนางเช่นนั้น พยัคฆ์หน้ายิ้มผู้นี้ชาติที่แล้วอาจเป็นดอกผีเสื้อที่ผลิบานเปล่งประกายไปทุกหนแห่ง
“เช่นนั้นมู่เอ๋อร์ขอให้ความปรารถนาของจวิ้นอ๋องน้อยบรรลุผลในเร็ววัน” เมื่อเก็บกล่องยาเรียบร้อยหลิงมู่เอ๋อร์ก็กำลังคิดจะออกไป ด้านนอกประตูก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“พี่เช่อท่านอยู่หรือไม่?” น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างยิ่งยวด ไม่ต้องดูก็รู้ว่าเป็นเสียงของสตรีงดงามผู้หนึ่งอย่างแน่นอน
“…”
ไม่มีการตอบรับ คนที่อยู่นอกประตูก็ส่งเสียงเรียกอีกครา แม้แต่หลิงมู่เอ๋อร์ที่เป็นแม่นางผู้หนึ่งยังรู้สึกราวกับกระดูกทั่วร่างเปราะไปหมด
“หากจวิ้นอ๋องน้อยเคลื่อนไหวไม่สะดวก ข้าก็ยินดีเปิดประตูแทบท่านนะเจ้าคะ”
หลิงมู่เอ๋อร์บอกว่าจะเดินไปที่ประตู แต่ซูเช่อกลับรีบบอกว่า “ไม่ต้อง” ทว่าประตูห้องก็ถูกเปิดออกเสียแล้ว
หลันเชี่ยนหยิ่งเห็นหลิงมู่เอ๋อร์มาเปิดประตู รอยยิ้มงดงามบนใบหน้าก็แข็งทื่อ นางกำลังจะโกรธแต่ก็นึกถึงแผนตัวเองขึ้นมาได้ หลังทักทายหลิงมู่เอ๋อร์อย่างอ่อนโยน ก็เดินอ้อมร่างนางไปยังข้างกายซูเช่อ
“พี่เช่อท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ? ได้รับบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ดวงตาที่สวยถึงเพียงนี้จะต้องเจ็บมากเป็นแน่ใช่หรือไม่เจ้าคะ?” พูดไปน้ำตาก็ไหลออกมาจากหางตา หลันเชี่ยนหยิ่งนั่งลงไปเบื้องหน้าซูเช่อจับมือเขาไว้ ทำให้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงน้ำตาที่หยดลงมาบนหลังมือของเขา
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นในสายตาก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าจุ๊ปาก กำลังคิดจะออกไปองค์หญิงใหญ่ผู้หยิ่งผยองก็ปรากฏตัวนอกประตูโดยพลัน
“แม่นางหลิงเหตุใดต้องรีบร้อนออกไปด้วยเล่า ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นหมอส่วนตัวให้เช่อเอ๋อร์ของพวกเรา เจ้าช่วยเช่อเอ๋อร์ของพวกเราไว้ เปิ่นกงจู่ยังไม่ได้ให้รางวัลเจ้าเลย”
เมื่อครู่ยังทำราวกับเป็นศัตรูไม่ยอมให้นางรักษา จู่ๆ ก็เปลี่ยนนิสัยเช่นนี้ได้อย่างไร?
“องค์หญิงใหญ่พูดถูกเพคะ ดวงตาทั้งสองข้างของจวิ้นอ๋องน้อยได้รับบาดเจ็บเพราะหม่อมฉันการรักษาเขาก็เป็นเรื่องที่หม่อมฉันสมควรทำแล้วเพคะ” หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ทำตัวต้อยต่ำหรือสูงส่งจ้องดวงตาของนางโดยตรงและตอบกลับไป
พูดเช่นนี้ไม่ใช่ว่าต้องการพูดเรื่องที่เมื่อครู่นางเคยกลั่นแกล้งอีกฝ่ายนอกห้องหรือ?
องค์หญิงใหญ่จ้องเขม็งพ่นลมหายใจอย่างโกรธเคือง คิดจะโกรธแต่เพราะซูเช่ออยู่ด้วยนางจึงเปลี่ยนสีหน้าโดยพลัน “แม่นางหลิงหาได้มีความรู้เหมือนข้า ข้ารู้เรื่องจารีตที่สตรีพึงมีผมยาวทว่าความรู้น้อย [1] ไม่เข้าใจทักษะการแพทย์ของเจ้า เมื่อครู่ถูกแม่สามีตำหนิจึงเพิ่งรู้ว่าที่แท้เจ้าถูกคนเรียกว่าแม่นางเซียนแพทย์ เช่นนั้นซูเช่อของพวกเราจากนี้ขอส่งให้เจ้า เจ้าจะต้องรักษาดวงตาของเขาให้หายดีได้เป็นแน่ เปิ่นกงจู่จะตกรางวัลให้อย่างงามแน่นอน”
เกรงว่ารางวัลของนางคงหาใช่ของดีอันใดไม่
หลิงมู่เอ๋อร์คร้านจะโต้เถียงกับคนเสแสร้งเช่นนี้ หลังจากกล่าวคำว่า ‘ขออภัย’ ก็คิดจะบอกลา แต่องค์หญิงใหญ่บังคับให้นางอยู่ทานอาหารที่จวนก่อนนางจึงได้แต่ทำตัวเองให้เป็นอากาศธาตุ มองหลันเชี่ยนหยิ่งผู้เป็นสตรีสูงศักดิ์ทำราวกับเป็นปลาหมึกที่แทบจะต้องการพันร่างของซูเช่อไว้
“พี่เช่อเหตุใดจึงไม่สนใจข้าเลยเจ้าคะ ก่อนหน้านี้เชี่ยนหยิ่งทำเรื่องอันใดผิดไปจนพี่เช่อไม่สบายใจหรือเจ้าคะ? พี่เช่อพูดออกมาเถิดเชี่ยนหยิ่งจะปรับปรุง ดีหรือไม่?”
สตรีตัวน้อยย่อลงไปเบื้องหน้าบุรุษร่างใหญ่ มือเล็กๆ จับที่แขนเสื้อของเขาไม่ปล่อย ท่าทางราวกับไม่ได้รับความเป็นธรรมนั้นทำให้เหมือนถูกรังแกเป็นอย่างยิ่ง
ซูเช่อสะบัดแขนเสื้อที่นางจับไว้อย่างไร้เมตตา เมื่อในหัวนึกถึงภาพในวันที่ตัวตนถูกเปิดเผย และนางจากไปอย่างไรความปรานีท่ามกลางสายฝน
มองหลันเชี่ยนหยิ่งอีกครา แม้จะบอกว่านางงามล่มเมืองแต่ในใจของนางกลับโหดเหี้ยมยิ่งกว่างูและแมงป่อง
“คุณหนูใหญ่ผู้สูงศักดิ์แห่งจวนมหาเสนาบดี จวิ้นอ๋องน้อย อ่า ไม่สิ ยามนี้ข้ามิใช่จวิ้นอ๋องอีกต่อไปแล้ว มิกล้าใฝ่สูง”
หมุนร่างไปอย่างรังเกียจ “ให้คนเข้ามาส่งคุณหนูหลันกลับไปเสีย”
องค์หญิงใหญ่เห็นเช่นนี้ก็รีบให้องครักษ์ที่เข้ามาถอยไป นางจับมือหลันเชี่ยนหยิ่งและบังคับวางไว้ในฝ่ามือของซูเช่อ “เช่อเอ๋อร์เกรงว่าเจ้าจะยังไม่รู้ จวนจวิ้นอ๋องและจวนมหาเสนาบดีได้ผูกสัมพันธ์กันอีกคราแล้ว แม่ตัดสินใจว่ารอให้ตาของเจ้าหายดีแล้วจะยกกำหนดการงานแต่งของทั้งสองคนเมื่อปีก่อนขึ้นมาจัดการ”
ซูเช่อสะบัดมือนางออกอย่างไร้ปรานี ถอยหลังไปหลายก้าวเว้นระยะห่างออกจากนาง “หืม? ท่านแม่อยากผูกสัมพันธ์กับจวนมหาเสนาบดีมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ดูท่าท่านแม่กับท่านพ่อจำต้องพยายามต่อไปเพื่อให้กำเนิดจวิ้นอ๋องน้อยอีกคนเสียแล้ว เช่นนี้ก็มีคนมาแต่งงานกับคุณหนูใหญ่หลันแล้ว และสามารถผูกสัมพันธ์กับจวนมหาเสนาบดีได้สำเร็จ”
“เจ้าลูกชายผู้นี้นี่!” องค์หญิงใหญ่ถูกทำให้อับอายจนโกรธเกรี้ยว ยังคิดว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นหลิงมู่เอ๋อร์ปลุกปั่น นางเอาความโกรธเกรี้ยวทั้งหมดลงไปที่ตัวของหลิงมู่เอ๋อร์
“ร่างกายเช่อเอ๋อร์ยังไม่สบายอยู่จึงพูดจาเหลวไหลไร้ความเกรงใจเช่นนี้ ในฐานะแม่เป็นธรรมดาที่จะไม่ถือสาลูกชาย แต่กับแม่นางหลิง…” องค์หญิงใหญ่สายตามองไปยังหลิงมู่เอ๋อร์ “เปิ่นกงจู่ได้ยินว่าเจ้าฉลาดเฉลียว ยามที่เจาหยางของพวกข้าแต่งงานกับพี่ชายเจ้าหลิงจือเซวียนล้วนเป็นเจ้าที่ออกแบบสิ่งต่างๆ ได้อย่างสดใหม่ ไม่สู้รอให้เจ้าว่างแล้วมาออกแบบงานแต่งให้ซูเช่อและเชี่ยนหยิ่งเป็นพิเศษ ไม่รู้เจ้ามีความเห็นอย่างไร?”
“ขออภัยเพคะ แต่ไหนแต่ไรหม่อมฉันก็ไม่เคยออกแบบงานแต่งให้คนสองคนที่ไม่ได้รักกันจากใจจริง ต้องขอให้องค์หญิงใหญ่ไปเชิญผู้ที่มีความสามารถผู้อื่นแล้วเพคะ” รู้ว่าองค์หญิงใหญ่ตั้งใจเพ่งเล็งมาที่ตัวเอง แต่หลิงมู่เอ๋อร์ก็หาใช่พวกไม่กินเนื้อ [2]
คาดไม่ถึงว่าสตรีผู้นี้จะเย่อหยิ่งไร้มารยาทถึงเพียงนี้ องค์หญิงใหญ่ทั้งร่างที่เต็มไปด้วยโทสะมีไอสังหารลอยออกมา
กลัวว่านางจะทำร้ายหลิงมู่เอ๋อร์จริงๆ ซูเช่อจึงผลักหลันเชี่ยนหยิ่งออกไปในทันใด “ข้าไม่เคยบอกว่าต้องการแต่งงานกับคุณหนูใหญ่แห่งจวนมหาเสนาบดี ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่แรกยามที่ข้าลำบากนางก็เห็นอย่างชัดเจน แต่กลับหันหลังจากไปอย่างไม่เหลียวแล ข้าไม่คิดว่านางจะจริงใจต่อข้าสักเท่าใดนัก เช่นนั้นข้าซูเช่อชีวิตนี้ไม่คิดจะอยู่กับสตรีมากแผนการผู้นี้เด็ดขาด”
ถูกคนที่ชอบพอผลักออกอย่างไม่สนใจทั้งยังถูกทำให้อับอายต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ หลันเชี่ยนหยิ่งก็น้อยใจจนน้ำตาที่ราวกับไข่มุกไหลรินลงมาโดยพลัน นางส่ายหัวไม่หยุดคว้าชายเสื้อของซูเช่อไว้อย่างน่าเวทนา “พี่เช่อท่านเข้าใจข้าผิด ข้าไม่รู้ว่าท่านพูดเรื่องอันใด หากเห็นว่าท่านลำบากจริงข้าจะไม่แยแสได้อย่างไร? พี่เช่อข้า…”
“ไสหัวไป!”
ไม่ให้โอกาสนางได้พูดจนจบ ซูเช่อก็ชี้นิ้วไปที่ประตูอย่างโกรธเกรี้ยว
แม้หลิงมู่เอ๋อร์จะไม่เคยเห็นเขายามที่โกรธเกรี้ยวเช่นนี้ แต่ก็ดูออกว่าชายผู้นี้ถูกทำให้มีโทสะเป็นอย่างยิ่ง
แต่หลันเชี่ยนหยิ่งไม่เพียงแต่ไม่หยุดทว่ากลับกอดเอวเขาไว้แน่นไม่ปล่อย “ข้าไม่ไป ข้าอยากอยู่ดูแลพี่เช่อ ข้ากับพี่เช่ออยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กจนโต เราสองคนไม่ได้เป็นต้นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ [3] กันหรอกหรือ แม้จะไม่มีวาสนาได้เป็นสามีภรรยา แต่ข้าก็ยังยอมทำทุกอย่างเพื่อพี่เช่อ”
หลันเชี่ยนหยิ่งไม่เชื่อว่าครั้งนี้ซูเช่อจะยังถีบหัวส่งนางออกไป
เป็นอย่างที่คิดเขายืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ หลันเชี่ยนหยิ่งมองข้างหลังด้วยท่าทีลำพองใจ
องค์หญิงใหญ่คิดว่าลูกชายถูกโน้มน้าวแล้วจึงพูดยั่วยุหลิงมู่เอ๋อร์ “แม่นางหลิงเป็นคนฉลาด เปิ่นกงจู่เชื่อว่าเจ้าจะยอมรับข้อเสนอเมื่อครู่ของข้าแน่นอน ไม่สู้พวกเราออกไปคุยกันข้างนอกจะดีกว่ากระมัง?”
พูดทิ้งท้ายกับซูเช่อว่า ‘หลังจากนี้อีกสองวันจะมาเปลี่ยนยาให้ท่าน’ หลิงมู่เอ๋อร์ก็เดินออกจากห้องไปกับองค์หญิงใหญ่
ภายในห้องหลันเชี่ยนหยิ่งอ้อมจากด้านหลังไปเบื้องหน้าของซูเช่ออย่างระมัดระวัง มือทั้งสองข้างกอดเอวเขาไว้แน่น ริมฝีปากแดงค่อยๆ เคลื่อนขึ้นไปหยุดลงที่มุมปากของเขา เพียงแค่นางเปิดปากก็สามารถจูบริมฝีปากนั้นได้แล้ว นางพูดด้วยน้ำเสียงเย้ายวน “พี่เช่อ…”
รู้สึกได้ถึงความใกล้ชิดของสตรี ซูเช่อก็หาได้ปฏิเสธไม่ แต่กลับเม้มริมฝีปากอย่างชั่วร้าย “ดูท่าเจ้าจะอยากแต่งกับข้าจริงๆ เช่นนั้นข้าอยากถามเจ้าว่าจะยอมทำเพื่อข้าทุกเรื่องเลยหรือ?”
“ใช่ ข้ารักพี่เช่อมาตั้งแต่เด็ก ขอเพียงท่านบอกว่าเชี่ยนหยิ่งสามารถทำได้ทุกอย่าง ข้าจะ…”
“เช่นนั้นควักลูกตาทั้งสองข้างของเจ้ามาให้ข้าเสีย เจ้าว่าอย่างไร?”
ไม่ให้โอกาสหลันเชี่ยนหยิ่งพูดจนจบ ซูเช่อก็ขัดจังหวะเสียงเย็น เมื่อไม่ได้ยินเสียงพูดอยู่นานเขาก็พูดถากถาง “ไม่ใช่ว่ารักข้าหรือ แล้วเหตุใดจึงไม่ยอมมอบดวงตาทั้งสองข้างให้ข้าเล่า? หมอหลิงบอกว่าดวงตาของข้าทั้งชีวิตไม่อาจรักษาหาย หากต้องการเห็นแสงสว่างอีกครั้งจำต้องมีคนมาเปลี่ยนดวงตากับข้า เปิ่นหวางคิดว่ามีเพียงแม่นางที่มีความรักจากใจจริงจึงจะยอมทำเรื่องเช่นนี้เพื่อข้าได้ เจ้าวางใจหากเจ้ายอมทำทุกอย่างเพื่อข้า ข้าจะเป็นดวงตาให้เจ้าและสัญญาว่าเจ้าจะได้เป็นหวางเฟย เจ้าเต็มใจหรือไม่?”
เชิงอรรถ
[1] ผมยาวทว่าความรู้น้อย หมายถึง ผู้หญิงสมัยโบราณที่ไม่ค่อยมีความรู้เพราะไม่ได้รับการสนับสนุนด้านการศึกษาเหมือนผู้ชาย
[2] ไม่กินเนื้อ หมายถึง อ่อนแอจนถูกรังแกได้
[3] ต้นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ หมายถึง คู่รักที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก