เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 9 ตอนที่ 246 การเปลี่ยนแปลง
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 9 ตอนที่ 246 การเปลี่ยนแปลง
เล่มที่ 9 ตอนที่ 246 การเปลี่ยนแปลง
แม้ไท่จื่อจะยังคิดอยากทำอันใดกับหลิงมู่เอ๋อร์ แต่ก็ถูกบรรยากาศของซั่งกวนเซ่าเฉินทำให้ตกใจจนต้องหนีไป
มองเขาที่ราวกับหนูที่วิ่งหนีไปอย่างแตกตื่น หลิงมู่เอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะปิดปากแอบหัวเราะ
จากนั้นครู่หนึ่งก็เพิ่งจะสังเกตว่าบุรุษผู้มีเสน่ห์เหลือร้ายตรงข้ามกำลังมองมาที่นางอย่าสงบ
กระแอมคอเล็กน้อยหลิงมู่เอ๋อร์หันหน้ามาอย่างเก้อเขิน “ท่าน ท่านยิ้มอันใด?”
“ข้าแค่สูญเสียความทรงจำที่รู้จักกับเจ้าเมื่อสามปีก่อน ไม่ได้ลืมความทรงจำที่อยู่ในค่ายทหารสามเดือนนี้ เจ้าจะทำห่างเหินอันใดกับข้าถึงเพียงนั้น เดินเข้ามาใกล้ๆ หน่อย” น้ำเสียงของซั่งกวนเซ่าเฉินเผด็จการเป็นอย่างยิ่ง
ยังคิดว่าเขาสูญเสียความทรงจำเป็นครั้งที่สองเสียอีก การแสร้งทำเป็นไม่รู้จักกันสองสามวันมานี้ล้วนแต่ตั้งใจทำ
หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกเพียงทั้งโกรธทั้งขัน แต่เห็นแก่ที่เขาเพิ่งฟื้นตัวจากอาการป่วยร้ายแรงจึงไม่โต้เถียงเขา “ร่างกายท่านหายดีแล้วหรือ? ให้ข้าดูอาการให้ท่านอีกครั้งดีหรือไม่?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินมือข้างหนึ่งอยู่ข้างหลัง อีกมือหนึ่งยื่นไปเบื้องหน้านางอย่างใจกว้าง ยามที่มองนางหางตาก็ปรากฏรอยยิ้ม “เรื่องที่เกิดขึ้นหลังสงครามใหญ่ข้าล้วนได้ยินแล้ว ขอบใจเจ้ามากที่ช่วงนั้นคอยดูแลข้าทั้งเช้าค่ำ ทั้งยังเรื่องไป่หลิงเซียนอีกได้ยินว่าเป็นของที่ล้ำค่ายิ่ง”
“ดอกไม้นั้นเดิมทีก็เป็นท่านที่ไปเก็บมา ให้ท่านใช้ก็สมควรแล้วไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า”
ตรวจชีพจรแล้วยืนยันได้ว่าร่างกายของเขาในยามนี้สมบูรณ์ยิ่ง หลิงมู่เอ๋อร์ก็วางใจถอนหายใจย่างโล่งอก
แต่ได้ยินน้ำเสียงที่ห่างเหินของเขาในใจนางก็หนักอึ้ง ราวกับโฉมหน้าที่แท้จริงของเขาเปิดเผยจนเปลี่ยนไปเป็นอีกคน ช่างไม่สบอารมณ์เสียจริง
“เจ้าไม่มีความสุขหรือ?” ดูออกว่าอารมณ์ของนางผิดปกติ ซั่งกวนเซ่าเฉินเดินเข้าใกล้นางทีละก้าว “จะโทษข้าที่ไม่กี่วันนี้ทำตัวห่างเหินกับเจ้าหรือ?”
ยามที่เขาพูดลมหายใจอุ่นร้อนก็ปะทะลงมาเบาๆ ที่ใบหน้าทำให้นางรู้สึกคันยุบยิบ
“ท่านคือองค์ชายรอง ที่หลบซ่อนตัวตนปิดบังชื่อแซ่เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ก็เพื่อวันนี้ เพื่อแผนการของท่านการเสียสละก็ล้วนเป็นสิ่งที่ท่านควรทำ ข้าจะกล้ากล่าวโทษได้อย่างไร?” หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราะเยาะตัวเอง เห็นวิมานหยกอันใหญ่โตโอ่อ่านางก็รู้สึกเพียงว้าวุ่นใจ
“พี่ใหญ่…ไม่สิ องค์ชายรองต่อไปก็ล้วนจะอยู่ในวังหลวงหรือ?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่เข้าใจความนัยที่อยู่ในคำพูดนี้ของนาง แต่ได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้ก็รู้ว่านางไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับไม่รู้ว่าความไม่สบายใจนั้นมีที่มาจากที่ใด
“ทำไม หรือว่าก่อนหน้านี้ข้าเคยสัญญาอันใดกับเจ้าหรือ?”
ท่านเคยสัญญาไว้มากมาย
ท่านเคยบอกว่าหลังจบเรื่องนี้พวกเราจะแต่งงานกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังจะอาศัยอยู่ที่ข้างจวนสกุลหลิงด้วย
ท่านยังเคยบอกอีกว่าทั้งชีวิตนี้ต้องการเพียงข้าผู้เดียว นอกจากความรู้สึกของข้าแล้วสิ่งอื่นล้วนไม่สำคัญ
แต่ลองมองยามนี้หากบอกคำที่เขาเคยสัญญาทั้งหมดจะเป็นอย่างไรเล่า? เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นองค์ชายรองคนใหม่ที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานแล้ว ไม่ง่ายกว่าจะได้ฐานะเดิมคืนมา เพียงเพื่อสตรีตัวเล็กๆ ผู้หนึ่งเขาจะยอมแพ้เรื่องทั้งหมดนี้เชียวหรือ?
“ในเมื่อทรงลืมไปแล้วก็ลืมไปเถิด พูดมากความไปก็ไม่มีประโยชน์ องค์ชายรองทรงใช้ชีวิตที่ดีอยู่ในวังหลวงเถิดเพคะ ที่ของหม่อมฉันหาใช่ที่นี่ไม่ต้องขอตัวออกจากวังหลวงก่อนเพคะ”
หลิงมู่เอ๋อร์ตัดเยื่อใยเดินจากไปราวกับเต็มไปด้วยความเดือดดาล ซึ่งดูแปลกในสายตาของซั่งกวนเซ่าเฉินเป็นอย่างยิ่ง
“สาวน้อยผู้นี้เป็นอันใดหรือ?”
เขาสาวเท้ายาวไล่ตามไปจับข้อมือของนางไว้แน่น “มีอันใดก็พูดให้ชัดเจนค่อยไป ข้าทำผิดพลาดตรงไหนเจ้าก็บอกมาให้ชัดเจน”
“บางทีคงยังไม่ชินกับโฉมหน้าแท้จริงของพระองค์เพคะ องค์ชายรองหาได้ทำอันใดผิดไม่เพคะ” สะบัดมือที่ถูกเขาจูงอยู่อย่างเฉยชา หลิงมู่เอ๋อร์ก้าวยาวสาวเท้าไปเบื้องหน้า
ยังจะพูดว่าไม่โกรธทั้งที่มีท่าทีขุ่นเคืองเช่นนี้อีกหรือ?
“ไม่ชินก็ค่อยๆ ปรับตัว หลังจากนี้เจ้าต้องมองใบหน้านี้ไปตลอดชีวิต ไม่ต้องรีบข้ารอได้”
ร่างของบุรุษปรากฏที่เบื้องหน้าอย่างกะทันหัน ทำให้หลิงมู่เอ๋อร์ที่รีบร้อนเดินไปหัวชนเข้ากับอกแกร่งของเขา ปลายจมูกที่ชนเข้ารู้สึกเจ็บปวด
เมื่อคิดว่านางร้องไห้อย่างน้อยใจซั่งกวนเซ่าเฉินก็ว้าวุ่นจนมือไม้อ่อน อยากกอดนางแต่กลับเกรงว่าจะทำลายชื่อเสียงของนาง มือทั้งสองข้างที่ถือกระบี่โบกไปทั่วราวกับเด็กที่กำลังลุกลี้ลุกลน เมื่อนึกถึงคำพูดที่นางเคยบอกเขาก็ขมวดคิ้ว “เจ้าไม่ชอบวังหลวงถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
ที่ไม่ชอบที่สุดก็คือผู้ชายที่ไม่เข้าใจนาง
หลิงมู่เอ๋อร์เช็ดน้ำตาที่หางตาเงยหน้าอย่างดื้อรั้น “ใช่ หม่อมฉันไม่ชอบวังหลวงแห่งนี้ หม่อมฉันเคยบอกพระองค์นานแล้ว ดังนั้นรบกวนองค์ชายรองทรงช่วยถอยและปล่อยให้หม่อมฉันออกไปด้วยเพคะ!”
ยัยเด็กดื้อรั้นผู้นี้นี่
ซั่งกวนเซ่าเฉินความโกรธปะทุออกมา “ไม่ใช่บอกว่าชอบข้าหรือ เพื่อข้าแล้วไม่อาจชอบสิ่งที่ข้าชอบได้เลยหรือ?”
ความน้อยอกน้อยใจของหลิงมู่เอ๋อร์มากยิ่งขึ้น สิ่งใดกันที่ทำให้ความรู้สึกของคนเปลี่ยนไปได้มากมายถึงเพียงนี้?
เมื่อก่อนพี่ใหญ่รับรองได้ทุกอย่าง แม้ตลอดมาเขาจะทุ่มเทเพื่อหวนคืนสู่ฐานะเดิม แต่ก็ไม่เคยบีบบังคับนางเช่นนี้
“เช่นนั้นเพื่อข้าแล้วท่านชอบสิ่งที่ข้าชอบได้หรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ซั่งกวนเซ่าเฉินเม้มริมฝีปาก ผ่านไปนานกลับไม่พูดออกมาสักคำ
ไม่ตอบกลับก็ถือว่ายอมรับแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์หน้ามุ่ย “ถือว่าก่อนหน้านี้ข้ามองท่านผิดไปก็แล้วไปเถิด!”
หมุนตัวก่อนจะสาวเท้ายาวเดินจากไป ก้าวออกจากประตูวังหลวงได้ครึ่งตัวแล้วซั่งกวนเซ่าเฉินก็รีบร้อนไล่ตามออกมา “เพราะไม่ได้ ข้าจึงต้องเปลี่ยนแปลงตัวเจ้า”
เดิมทีคิดว่าซั่งกวนเซ่าเฉินจะมาพูดหยอกล้อให้นางมีความสุข คาดไม่ถึงว่าจะพูดคำขอที่ไร้เหตุผลเช่นนี้ หลิงมู่เอ๋อร์โกรธจนควันแทบออกหัว
“ถ้าองค์ชายรองสนใจถึงเพียงนี้ก็เปลี่ยนแปลงตัวพระองค์เองเถอะเพคะ!”
วิ่งออกไปไกลในอึดใจเดียว ซั่งกวนเซ่าเฉินที่คิดจะคว้าแขนนางไว้ก็พบแค่ความว่างเปล่า เขายืนอยู่หน้าประตูวังหลวงอยู่นานก็ยังเรียกสติกลับมาไม่ได้
“มองอันใดหรือ?” น้ำเสียงกวนประสาทเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากข้างหลัง ยามที่ซั่งกวนเซ่าเฉินหันกลับไป หนานกงอี้จือก็เดินอ้อมมาเบื้องหน้าเขาแล้ว กำปั้นหยุดลงที่อกของเขา “ฟ้าใกล้สางแล้วจะวิ่งไปไหนของท่าน ท่านแม่รอท่านมาทั้งคืนแล้ว”
ซั่งกวนเซ่าเฉินได้สตินึกขึ้นได้ว่าที่เดินมาทางนี้ก็เพื่อออกจากวังหลวงไปยังจวนหนิงกั๋วโหว ทำให้บังเอิญได้พบกับหลิงมู่เอ๋อร์ที่กำลังถูกไท่จื่อรังแกจนลืมธุระหลักไปเสียแล้ว
“คงต้องเปลี่ยนเป็นไปเยี่ยมท่านป้าวันอื่นแล้ว” เขายิ้มอย่างรู้สึกผิด มองไปยังที่ที่หลิงมู่เอ๋อร์เดินไปไกลแล้ว เขากอดคอหนานกงอี้จือพาเขาไปด้านหนึ่ง “เจ้าเด็กหน้าเหม็นบอกข้ามาว่าสามปีมานี้ข้าปฏิบัติต่อสตรีดีมากเลยหรือ?”
“ท่านหรือ?” หนานกงอี้จือราวกับกินแมลงวันน่ารังเกียจเข้าไป “ล้อเล่นอันใดกัน! หากไม่ใช่เพราะท่านปฏิบัติกับหลิงมู่เอ๋อร์เป็นพิเศษ พวกข้ายังคิดว่าท่านเป็นพวกตัดแขนเสื้อ[1] เสียอีก”
“พูดจาเหลวไหล!” สีหน้าซั่งกวนเซ่าเฉินเปลี่ยนไปทั้งยังพึมพำกับตัวเอง “เช่นนั้นสิ่งใดทำให้ข้าหลงใหลนางเช่นนี้?”
“ใครหรือ?” หนานกงอี้จือหันหน้ากลับมามองอย่างสงสัยใคร่รู้ นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่เห็นเงาของสตรีผู้หนึ่งผ่านไป หลังคิดได้ก็ตีหน้าผาก “เจ้าคนเห็นแก่สตรีจนละทิ้งศีลธรรม! เมื่อครู่ยังพุ่งออกไปหาหลิงมู่เอ๋อร์ ช่างดีนักซั่งกวนเซ่าเฉิน จวนหนิงกั๋วโหวของข้ายังจัดงานเลี้ยงใหญ่รอต้อนรับขบวนเสด็จของท่านอย่างยินดี แต่ในรั้วกำแพงวังหลวงท่านกลับลอบพบสตรี!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินกลอกตาพูดกลับเข้าเรื่อง “พูดมาให้ชัดเจน ช่วงสามปีนี้ข้าเปลี่ยนไปมากจริงหรือ?”
“การกระทำยิ่งใหญ่ หากพูดว่าเปลี่ยนเป็นอีกคนก็ไม่นับว่าเกินจริง”
หนานกงอี้จือหวนนึกถึงเขาเมื่อก่อนแม้แต่ขนตามร่างกายยังลุกชูชัน “ไม่ว่ากับใครก็ล้วนเงียบขรึมไม่พูดจาราวกับทุกคนล้วนเป็นศัตรู แต่กลับปฏิบัติกับหลิงมู่เอ๋อร์เป็นพิเศษยิ่ง”
เมื่อยกเรื่องของหลิงมู่เอ๋อร์ขึ้นมา มุมปากของหนานกงอี้จือก็ยิ้มและยิ่งฉุนเฉียว “เมื่อก่อนเป็นคู่หมั้นของท่าน ยามนี้เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตท่าน ญาติผู้พี่พูดมาตามจริงเถิดว่าคิดจะมอบหัวใจให้หรือไม่?”
หมัดข้างหนึ่งพุ่งออกไป หากหนานกงอี้จือหลบไม่ทันรับรองได้ว่าในตอนเช้าเขาคงกลายเป็นหัวหมูแน่
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ไปให้พ้น!”
“หมุนโม่เสร็จฆ่าลา[2]!” หนานกงอี้จือจ้องมองเขาแต่กลับไม่กล้าเข้าใกล้เขามากเกินไป “ญาติผู้พี่อย่าโทษว่าข้าไม่เตือนท่าน หากท่านยังมีนิสัยเช่นนี้เกรงว่าจะต้องเสียนางไปจริงๆ แล้ว”
ซั่งกวนเซ่าเฉินจมลงสู่ห้วงความคิด หรือเมื่อครู่เขาจะทำเกินไปจริงๆ?
ยามที่มุ่งตรงจากวังหลวงเพื่อจะกลับจวนตระกูลหลิงฟ้าก็มีสีขาวเหมือนท้องปลาแล้ว ที่หน้าประตูมีรถม้าที่คุ้นตาอยู่
เมื่อหลิงมู่เอ๋อร์เข้าไปใกล้คนในรถม้าคนหนึ่งก็ออกมา ใบหน้าอ่อนโยนมีเมตตาเต็มไปด้วยความหวั่นวิตก เห็นนางเดินเข้ามาใกล้ก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้ม
“แม่หนูมู่เอ๋อร์พวกเราไม่พบกันนานทีเดียว”
วันที่หนาวเหน็บเช่นนี้ไม่รู้ว่าหญิงชรารอมานานเพียงใดแล้ว เห็นเพียงสีหน้าของนางที่ขาวซีดอยู่บ้าง หลิงมู่เอ๋อร์รีบเดินไปจับมือนาง “ฮูหยินผู้เฒ่าซูเหตุจึงเป็นท่านเล่าเจ้าคะ?”
ฮูหยินผู้เฒ่าซูไม่พูดอันใดคุกเข่าลงไปบนพื้น แม้แต่เหล่านางกำนัลก็ยังตะลึงงัน
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ่งตกใจเป็นอย่างมาก รีบพยุงนางขึ้นมา “ฮูหยินผู้เฒ่าซูนี่ท่านทำอันใดเจ้าคะ?”
“แม่หนูขอให้เห็นแก่หน้าหญิงเฒ่าเช่นข้า ไปดูหลานชายข้าที่จวนจวิ้นอ๋องเสียหน่อยเถิด” ฮูหยินผู้เฒ่าซูอ้อนวอน น้ำตาคลอหน่วยอยู่ในเบ้าตา เพียงแค่พูดถึงซูเช่อใบหน้านางก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้าอย่างไม่อาจควบคุมได้
ตั้งแต่นางปรากฏตัวหลิงมู่เอ๋อร์ก็คาดเดาได้ว่าเจตนาของนางคือสิ่งใด
“ความจริงแม้วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าซูจะไม่มา ข้าก็คิดว่าหลังรุ่งสางจะไปเปลี่ยนยาให้เขาที่จวนอยู่แล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าซูไม่ต้องกังวล ดวงตาของจวิ้นอ๋องน้อยยังมีทางช่วยเจ้าค่ะ”
ได้ยินคำพูดนี้ก็ราวกับท้องฟ้าที่มีเมฆหมอกพลันปลอดโปร่งในทันใด ฮูหยินผู้เฒ่าซูดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างอย่างคาดไม่ถึง “เจ้าพูดจริงหรือ? ไม่ได้หลอกหญิงเฒ่าใช่หรือไม่?”
เมื่อวานนางมาหาหมอหลวงในวังหลวง แต่ทุกคนล้วนบอกว่าดวงตาไม่อาจรักษาได้แล้วต้องตาบอดไปทั้งชีวิต
นางตกใจแทบตาย จวนตระกูลซูของนางไปสร้างกรรมอันใดไว้จึงเกิดเรื่องไม่หยุดเช่นนี้ แม้แต่เด็กที่ไม่มีความผิดก็ยังติดร่างแหไปด้วย
เขาเป็นหลานชายของนาง แม้เมื่อหลายเดือนก่อนจะเกิดเรื่องที่ทำให้วงศ์ตระกูลต้องอับอาย แต่นี่ก็สำคัญต่อตระกูลซู แม้ต้องให้นางสละทุกสิ่งนางก็ต้องปกป้องหลานชายเพียงคนเดียวให้ได้
“แม่หนูถือว่าหญิงเฒ่าขอร้องเจ้า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรักษาดวงตาของเช่อเอ๋อร์ให้หาย เจ้า…” นางมองไปรอบตัว “หากเจ้ายังไม่เหนื่อยช่วยตามข้ากลับไปที่จวนได้หรือไม่?”
ความอาจหาญทะนงตนในกาลก่อนของฮูหยินผู้เฒ่าซูหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้ราวกับเป็นเพียงคุณย่าธรรมดาจริงๆ
แม้นางจะเคยทำร้ายตนแต่เห็นแก่ที่รักซูเช่อถึงเพียงนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็ไม่คิดจะโต้เถียงอีก
“ได้ ข้าจะไปกับท่านเดี๋ยวนี้”
หลังจากเรียกคนอารักขาจวนให้พวกเขาไปแจ้งกับพ่อแม่นาง นางก็ขึ้นรถม้าไปจวนตระกูลซู
ระหว่างทางฮูหยินผู้เฒ่าซูกระสับกระส่ายอยู่ตลอดทั้งใจยังเต้นไม่เป็นส่ำ เพิ่งถึงประตูจวนนางก็ลงจากรถม้าหมุนกายไปประคองหลิงมู่เอ๋อร์ ท่าทางเช่นนี้ทำให้หลิงมู่เอ๋อร์อ้าปากค้าง
“ฮูหยินผู้เฒ่าซู ข้าคงรับไว้ไม่ได้แล้ว” นางยิ้มพูด “ข้ากับจวิ้นอ๋องน้อยนับว่าเป็นสหายกัน ที่เมืองหลวงได้รับการดูแลจากจวิ้นอ๋องน้อยอยู่หลายครา เขาบาดเจ็บข้าจะไม่มาได้อย่างไร? ท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”
“ขอบใจมากแม่หนู” ฮูหยินผู้เฒ่าซูรู้สึกขอบคุณจนไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้ “ตั้งแต่ที่เห็นเจ้าครั้งแรกก็รู้แล้วว่าเจ้าเป็นแม่นางที่จิตใจงดงาม เจ้าจะต้องได้รับการคุ้มครองจากสวรรค์เป็นแน่”
หลิงมู่เอ๋อร์ส่ายหัวอย่างจนปัญญา เดินไปเบื้องหน้าจนมาถึงหน้าห้องของซูเช่อกำลังคิดจะเปิดประตูเข้าไป ทันใดนั้นสตรีผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นและผลักนางออก “เจ้าจะทำอันใด?”
เชิงอรรถ
[1] ตัดแขนเสื้อ หมายถึง ผู้ชายที่รักผู้ชาย
[2] หมุนโม่เสร็จฆ่าลา หมายถึง พอใช้งานใครจนหมดประโยชน์แล้วก็ถีบหัวส่ง