เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 9 ตอนที่ 245 คนปีนเกลียว
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 9 ตอนที่ 245 คนปีนเกลียว
เล่มที่ 9 ตอนที่ 245 คนปีนเกลียว
“หม่อมฉันขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทเพคะ!”
หลิงมู่เอ๋อร์คุกเข่าลงบนพื้นราวกับนี่เป็นครั้งแรกที่นางทำความเคารพฮ่องเต้เช่นนี้
“ฝ่าบาททรงวางพระทัยเพคะ ภายในสามวันหม่อมฉันจะส่งมอบวิธีทำเสื้อเกราะไหมทองอย่างละเอียดให้ฝ่าบาทอย่างหมดเปลือกเพคะ!”
โบกมือแสดงท่าทีให้นางออกไปราวกับไล่ขอทาน ในยามนี้ฮ่องเต้ไม่อยากแม้แต่จะมองนาง
เมื่อได้รับความยินยอมให้ออกจากวังหลิงมู่เอ๋อร์ก็ไม่คิดจะอยู่ต่อแม้ชั่วครู่
แต่นางเพิ่งเดินถึงหน้าประตูฮ่องเต้ก็หยุดนางไว้อย่างกะทันหัน “เดี๋ยว เจิ้นยังมีเรื่องจะถามเจ้าอีก”
ราวกับหัวใจถูกแขวนอยู่ในลำคอ หลิงมู่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าจิ้งจอกเฒ่าผู้นี้มีแผนการอันใดอยู่อีก ทั่วทั้งร่างของนางเตรียมการป้องกันมองเขาราวกับมองศัตรู
“เจิ้นอยากให้เจ้าบอกความจริง สถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้วเจ้ายังคิดอันใดกับโอรสของเจิ้นหรือไม่?”
องค์ชายคนโปรดของเขาแน่นอนว่าเป็นซั่งกวนเซ่าเฉิน
ฮ่องเต้ช่างคุยถึงเพียงนี้เลยหรือ? ไม่แน่เขาอาจแค่ต้องการวางแผนที่ชัดเจนให้องค์ชายที่เขาโปรดปรานที่สุด
หากลูกชายที่คาดหวังมากที่สุด และยอดเยี่ยมมากที่สุดใจมุ่งเรื่องความรักเขาก็ไม่อาจปรานี
หลิงมู่เอ๋อร์หันไปสบตาเขาอย่างกล้าหาญ “องค์ชายรองสูญเสียความทรงจำไม่อาจจำหม่อมฉันได้อีกแล้วเพคะ หม่อมฉันเป็นเพียงหมอของสำนักแพทย์ฐานะแตกต่าง หม่อมฉันไม่กล้าคิดหวังลมๆ แล้งๆ เพคะ”
“หืม? เจ้ารู้จักคิดถึงเพียงนี้เชียว?” ฮ่องเต้ไม่เชื่อข้ออ้างนี้อย่างเห็นได้ชัด “เมื่อครู่แม้เจิ้นจะแสดงออกชัดเจนว่าเงื่อนไขต้องไม่เกี่ยวกับเฉินเอ๋อร์ แต่เจิ้นเปลี่ยนความคิดแล้ว หากเจ้าแลกเปลี่ยนเงื่อนไขเมื่อครู่กับฐานะนางสนมขององค์ชายรอง เจิ้นรับปากว่าจะพิจารณาเจ้าอย่างจริงจัง”
สายตาที่ฮ่องเต้จ้องมองหลิงมู่เอ๋อร์เย็นเยือกอย่างชัดเจน พยายามจะมองทะลุเข้าไปในดวงตาของนาง
แต่หลิงมู่เอ๋อร์ปฏิเสธโดยพลัน
“หม่อมฉันขอบพระทัยเป็นอย่างยิ่งเพคะ แต่คำขอของหม่อมฉันมิใช่เรื่องนี้เพคะ!”
เชื่อว่าหากเป็นผู้อื่นได้ยินคำพูดนี้จะต้องรีบตอบรับการแลกเปลี่ยนนี้ด้วยความซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง แต่นางรู้ว่าฮ่องเต้เพียงแค่ต้องการทดสอบเท่านั้น
ฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับซั่งกวนเซ่าเฉิน ไม่เช่นนั้นคงไม่ส่งเขาไปปรากฏตัวที่ชายแดนทั้งยังใส่ใจเขามากถึงเพียงนี้
ยิ่งเป็นองค์ชายที่เขาให้ความสำคัญก็ย่อมต้องมีแผนการอื่นเป็นแน่
กล่าวได้ว่าตำแหน่งไท่จื่อในอนาคตอันใกล้ต้องมีการเปลี่ยนมือแน่นอน แต่หากนางสนมของไท่จื่อเป็นเพียงหมอตามท้องถนนที่ไม่มีสิ่งใดให้โอ้อวด จะไม่ทำให้แคว้นข้างเคียงหัวเราะจนฟันร่วงหรือ?
“เหอะ เจ้าช่างมีไหวพริบนัก!” ฮ่องเต้เห็นนางจริงจังเช่นนี้ก็ส่งเสียงแค่นหัวเราะอย่างพอใจ “ยามนี้เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดเขาจึงทำเช่นนี้ในคราแรก? เฉินเอ๋อร์เพื่อหวนคืนกลับสู่สถานะเดิม และเพราะโกรธเจิ้นดังนั้นจึงเปลี่ยนรูปลักษณ์และไปยังหมู่บ้านตระกูลหลิง ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในแผนของเขาและชัดเจนว่าเจ้าอยู่นอกแผน แต่โชคดีที่เขาสูญเสียความทรงจำไม่กี่ปีนี้ไปแล้ว เช่นนี้หมายความว่าเช่นไรเล่า? ไม่ต้องให้เจิ้นพูดก็เชื่อว่าเจ้าย่อมเข้าใจดี”
มีวาสนาพานพบแต่ไม่อาจเคียงคู่ มีอันใดไม่ดีย่อมต้องแบ่งแยกให้ชัดเจน
แต่ฮ่องเต้ยิ่งพูดเช่นนี้นางก็ยิ่งต้องการปะทะคารมกับเขา
“เกรงว่าฝ่าบาทจะทรงเข้าใจผิดแล้วเพคะ หม่อมฉันไม่ต้องการแลกเปลี่ยนเงื่อนไขเพื่อเป็นนางสนมขององค์ชายรอง เป็นเพราะหม่อมฉันคิดว่าหากองค์ชายรองชอบพอทั้งในใจมีข้า คาดว่าแม้แต่ฝ่าบาทก็ทรงไม่อาจขัดขวางเช่นกันเพคะ! ดังนั้นเหตุใดหม่อมฉันจึงต้องยอมเสียเงื่อนไขของฝ่าบาทอย่างสูญเปล่าด้วยเพคะ?”
“เจ้า…” ฮ่องเต้เดือดดาลชี้ไปที่ใบหน้าของนาง แต่ไม่รอให้เขาพูดจบหลิงมู่เอ๋อร์ก็รีบเสริม
“หม่อมฉันจะไสหัวไปเดี๋ยวนี้เพคะ!”
โค้งคำนับให้เขาอย่างนอบน้อมหลังจากนั้นก็เปิดประตูใหญ่ของตำหนัก ก่อนจะเดินจากไปนางก็ยังโผล่หัวออกมา “แต่หม่อมฉันยังขอเตือนฝ่าบาทสักประโยคเพคะ ในเมื่อทรงมีใจอยากตัดขาดด้ายแดงของหม่อมฉันกับองค์ชายรองเช่นนี้ ไม่สู้ไปจัดการความขัดแย้งระหว่างเหล่าองค์ชายจะดีกว่าเพคะ ถึงอย่างไรบนโลกนี้ก็ไม่มีไป่หลิงเซียนต้นที่สองที่จะมาช่วยชีวิตองค์ชายรองที่ทรงรักแล้วนะเพคะ!”
“เจ้าคนปีนเกลียวนี่…”
ฮ่องเต้โกรธเกรี้ยวจนกระหืดกระหอบ แต่หลิงมู่เอ๋อร์รีบวิ่งไปจนไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว
กลับมานั่งบนบัลลังก์มังกรอีกครา ฮ่องเต้ถึงขั้นโยนถ้วยเคลือบเงาสุดหวงแหนทิ้งลงบนพื้นจนแตกเป็นเสี่ยง พระองค์หอบหายใจมองไปยังขันทีชราด้านข้าง “เจ้า เจ้าว่าสตรีใจกล้าผู้นั้นหมายความว่าอย่างไร หือ?”
สี่กงกงถูกหลิงมู่เอ๋อร์ที่โอหังทำให้ตกใจแทบแย่แล้ว กล้าพูดเช่นนี้กับฮ่องเต้สตรีที่ถึงขั้นสั่งให้เขาไปสั่งสอนลูกชายเช่นนี้นางนับว่าเป็นคนแรก
สี่กงกงตัวสั่นงันงกกล้าพูดความจริงเสียที่ไหน “ฝ่าบาทโปรดทรงระงับโทสะด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ไร้ค่า!” ฮ่องเต้โกรธเกรี้ยวหยิบพระราชลัญจกรคิดจะโยนทิ้ง แต่เมื่อนึกได้ก็ข่มกลั้นเอาไว้ “เจ้านะเจ้า ยังไม่กล้าพูดความจริงเท่าเจ้าคนปีนเกลียวนั่นเลย ”
ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งจนสงบสติอารมณ์ลงแล้ว ฮ่องเต้ก็ค่อยๆ ออกคำสั่ง “ยังมัวอึ้งอันใดอยู่ สตรีผู้นั้นชัดเจนว่าในคำพูดแฝงความนัยให้ข้าไปตรวจสอบทันที โดยเฉพาะเจ้าพวกที่แบ่งแยกกันวุ่นวายนั่น หากไม่ไปตรวจสอบให้ข้าอย่างชัดเจนเจิ้นจะตัดหัวเจ้า!”
เมื่อหลิงมู่เอ๋อร์วิ่งหนีออกมาจากห้องทรงพระอักษรได้แล้ว ยามที่นึกถึงสีหน้าเกรี้ยวกราดของฮ่องเต้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดียิ่ง
แต่เมื่อนึกถึงสองครั้งก่อนที่เข้าวังหลวงมาล้วนพบคนที่ไม่อยากเจอ หลิงมู่เอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะเร่งฝีเท้า
แต่โชคชะตากลับเล่นตลกราวกับพระเจ้ามีใจอยากล้อเล่นกับนาง สายตาเพิ่งเห็นประตูโค้งออกสู่เมืองหลวง ทันใดนั้นก็เห็นคนชั่วช้าที่ไม่อยากพบที่สุดปรากฏตัวเบื้องหน้า
“หยุด!” คนเปิดปากอย่างเกียจคร้านโบกมือลง เหล่าทหารองครักษ์ก็ขวางทางของหลิงมู่เอ๋อร์ “หลิงมู่เอ๋อร์เป็นเจ้าจริงหรือ?”
ได้ยินน้ำเสียงที่ชั่วร้ายนั้นหลิงมู่เอ๋อร์ก็แทบอยากให้ตัวเองหายไปเสียตอนนี้ แต่สมควรตายนัก ถึงอย่างไรก็ไม่อาจเข้าไปซ่อนในมิติได้จริงๆ
ฝืนทนก้มหัวให้เขาอย่างสุภาพ หลิงมู่เอ๋อร์กัดฟัน “หม่อมฉันคารวะไท่จื่อเพคะ!”
“เหอะ ข้าคิดว่าสายตาเลอะเลือนไปเสียแล้ว คาดไม่ถึงว่าพวกเราจะเจอศัตรูในทางแคบ[1] เช่นนี้!”
ไท่จื่อเดินมาเบื้องหน้านางจับกรามของนางด้วยนิ้วอันเย็นเยือก
หลิงมู่เอ๋อร์ที่ไม่ถูกกับความเย็นตัวสั่นเทา พยายามดิ้นให้หลุดอยู่หลายคราแต่มือทั้งสองข้างของนางถูกทหารองครักษ์จับกุมไว้จนดิ้นไม่หลุด “ทรงคิดจะทำอันใดเพคะ!”
เห็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความระแวดระวังอย่างถึงที่สุดของนาง ไท่จื่อก็เหล่ตาสังเกตนางอย่างละเอียดคราหนึ่ง
“เจ้าวางใจ ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นวังหลวง ข้าที่เป็นไท่จื่อแม้จะร้อนใจนักก็ไม่อาจลงมือกับเจ้าที่นี่ได้”
เขาหมุนกาย ตอนที่หลิงมู่เอ๋อร์คิดว่าตัวเองกำลังจะถูกปล่อยจู่ๆ เขาก็ออกคำสั่ง “ทหารเอาตัวนางกลับตำหนักไท่จื่อ!”
ทหารองครักษ์หิ้วนางขึ้นและลากตัวไป เข็มเงินในมือหลิงมู่เอ๋อร์ถูกซัดออกไปแต่ละข้าง ทหารองครักษ์ทั้งสองคนก็ล้มลงไปบนพื้น หลิงมูเอ๋อร์ได้รับอิสระอีกครา ทั่วทั้งร่างระแวดระวังมองไปยังไท่จื่อ “หากทรงไม่กลัวเข็มพิษในมือหม่อมฉัน ไท่จื่อก็ลองก้าวมาข้างหน้าเลยเพคะ!”
ทหารองครักษ์ที่ล้มลงบนพื้นเริ่มพ่นฟองขาวออกจากปากราวกับถูกวางยาพิษ
นางกำนัลที่ตามมาด้วยตกใจกลัวจนพากันร้องอย่างแตกตื่น เดิมทีคิดว่าไท่จื่อจะกลัวแต่ใครจะคาดคิดว่าเขาจะเดินอย่างใจกล้ามาเบื้องหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์ ก่อนจะคว้าข้อมือข้างหนึ่งของนาง และเล็งเข็มเงินในมือนางไปที่อกของตน “ได้ เอาเลย ข้าอยากเห็นว่าเจ้าจะกล้าทำร้ายไท่จื่อหรือไม่!”
เห็นได้ชัดว่านางล้วนไม่ได้ทำอันใดแต่ถูกคนกล่าวโทษว่าทำร้ายไท่จื่อเสียแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์กัดฟันอย่างมีโทสะแทบอยากฆ่าเขาให้ตายจริงๆ
“หลิงมู่เอ๋อร์ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เคยคิดว่าข้าจะได้กลับมาที่นี่ใช่หรือไม่? เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าที่ข้าต้องมีสภาพน่าเวทนาตั้งแต่แรกเป็นเพราะเจ้า!”
ไท่จื่อยกมือขึ้นอยากจะตบลงไปที่แก้ม แต่กลับถูกหลิงมู่เอ๋อร์คว้าข้อมือไว้ได้ “ไท่จื่อถูกปลดจากตำแหน่งเพราะข้าก็จริง แต่นั่นเป็นเพราะท่านหาเรื่องใส่ตัวเป็นสิ่งที่ท่านสมควรได้รับ!”
“ช่างเป็นสตรีที่ทะนงตนนัก เจ้า…” ไท่จื่อลองขยับข้อมือที่ถูกจับไว้ให้หลุด แต่ก็พบว่าเขาผู้เป็นบุรุษร่างใหญ่กลับไม่ใช่คู่ต่อสู้ของแม่นางน้อยผู้นี้
เดิมทียังคิดจะโกรธเกรี้ยวแต่เมื่อเห็นใบหน้าที่เกรี้ยวกราดของนางที่ยังคงน่าหลงใหลเช่นนี้ ปลายลิ้นของเขาก็แตะที่กระพุ้งแก้มขวา “เหอะ ใช่ ครั้งที่แล้วเป็นข้าที่ประมาทจริงๆ ที่ปล่อยให้ซั่งกวนเซ่าเฉิน ไม่สิ พี่รองของข้าฉวยโอกาสไปช่วยเจ้าไว้ แต่ยามนี้ข้าเป็นไท่จื่อแล้ว เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าขอเพียงต้องการข้าก็สามารถไปขอราชโองการจากฝ่าบาทให้เสด็จพ่อยอมให้เจ้ามาเป็นเช่อเฟยของข้าได้!”
เห็นสายตาละโมบของเขา หลิงมู่เอ๋อร์ก็ปล่อยข้อมือของเขาโดยพลัน ถอยกลับไปหลายก้าว “แน่นอนว่าหม่อมฉันเชื่อไท่จื่อว่าสามารถทำเช่นนี้ได้ แต่หม่อมฉันขอแนะนำไท่จื่อเช่นกัน ท่านก็รู้ฐานะขององค์ชายรองแล้วท่านคิดว่าเสด็จพ่อของท่านจะยินยอมจริงหรือเพคะ?”
“ฮ่ะ ฮ่าๆๆ!” เผชิญหน้ากับคำข่มขู่ของหลิงมู่เอ๋อร์ ไท่จื่อก็หาได้สนใจไม่ “หลิงมู่เอ๋อร์หนอหลิงมู่เอ๋อร์ เจ้าอย่าคิดว่าข้าจะกลัวคำขู่เช่นนี้ หากเป็นเมื่อก่อนเจ้าจะเอาพี่รองมาขู่ข้าก็ย่อมได้ แต่ในยามนี้มีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าหลังจากไปชายแดนเขาได้รับบาดเจ็บที่หัว จนสูญเสียความทรงจำเมื่อสามปีนั้นไปทั้งหมด”
“ดูเหมือนเขาจะลืมเจ้าไปแล้วกระมัง?” ไท่จื่อพูดอย่างชั่วร้าย ทั้งร่างมุ่งเข้ามายังเบื้องหน้าหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์ นิ้วเมืองเย็นเฉียบไล้ผ่านกรามของนาง “จุ๊ๆๆ ช่างเป็นใบหน้าที่น่าหลงใหลนัก ยังไม่ต้องพูดถึงว่านับวันเจ้ายิ่งน่าหลงใหลขึ้นเรื่อยๆ เจ้าบอกว่าเจ้าไม่ได้เป็นของผู้ใดแล้ว ในเมื่อพี่รองลืมเจ้าไปแล้วเหตุใดจึงไม่เลือกข้าเล่า? ถึงอย่างไรข้าก็เป็นไท่จื่อ ตราบใดที่ในอนาคตได้สืบทอดราชบัลลังก์ เจ้าก็จะได้เป็นกุ้ยเฟยผู้ได้รับความโปรดปราน ไม่ดีหรือ?”
เข็มเงินในมือหลิงมู่เอ๋อร์แทงลงไปที่หลังมือของเขาในชั่วพริบตา
ไท่จื่อเจ็บปวด “ช่างกล้านักหลิงมู่เอ๋อร์ คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะทำร้ายข้าผู้เป็นไท่จื่อ แต่ที่นี่คือวังหลวงเจ้าคิดว่าพี่รองผู้นั้นที่สูญเสียความทรงจำไปแล้วจะปรากฏตัวออกมาปกป้องเจ้าหรือ?”
ไท่จื่อตะโกนอย่างเดือดดาล “ทหาร! มานำตัวสตรี…”
“น้องสาม!” เสียงเกียจคร้านเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากเบื้องหลัง
ทุกคนหันไปมองก็เห็นเพียงคุณชายที่สวมชุดขาวปรากฏตัวที่ด้านหลังของทุกคน
ใบหน้านั้นมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ ราวกับว่าสตรีผู้งดงามที่สุดในโลกเมื่อยืนอยู่กับเขาก็ยังต้องอับอายอย่างไม่อาจสู้
คิ้วโค้งราวใบดาบดวงตาเป็นประกาย ใบหน้าราวกับหยก หากไม่ใช่ว่าเคยเห็นใบหน้าที่มีเสน่ห์เหลือล้นเกินไปนี้แล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ก็ยากจะถามสักประโยคจริงๆ ว่าท่านเป็นใคร
เห็นซั่งกวนเซ่าเฉินปรากฏตัวอย่างกะทันหัน รวมกับบรรยากาศทรงพลังที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ใบหน้าเย่อหยิ่งเมื่อครู่ของไท่จื่อก็สลายหายไปโดยพลัน “พี่รองต้องการปกป้องนางจริงหรือ?”
เพียงแค่เหลือบมองหลิงมู่เอ๋อร์คราหนึ่งราวกับไม่รู้จักนางจริงๆ แต่ซั่งกวนเซ่าเฉินกลับปกป้องนางไว้เบื้องหลังอย่างแนบเนียน “ทุกคนในค่ายทหารบอกว่านางเป็นคู่หมั้นของข้า เช่นนั้นก็เป็นคนของข้า เกรงว่าน้องสามคงไม่รู้ว่าระยะนี้ข้ามีจุดอ่อนจึงต้องปกป้องเอาไว้ให้มาก”
ซั่งกวนเซ่าเฉินยักไหล่ “ข้าจะทำร้ายนางอย่างไรก็ย่อมได้ แต่ข้าไม่อนุญาตให้ผู้อื่นทำร้ายนางแม้แต่นิดเดียว ไม่เช่นนั้นไม่แน่ข้าอาจลงมือด้วยวิธีการที่เด็ดขาดที่สุด ถึงอย่างไรหากในตอนนั้นข้าไม่ถูกคนวางแผนร้าย ตำแหน่งไท่จื่อจะยังเป็นของผู้ใดเล่า”
พูดจบซั่งกวนเซ่าเฉินก็ราวกับนึกบางสิ่งขึ้นมาได้จึงพูดออกมาในทันใด “มีบางอย่างที่ข้าอยากจะถามน้องสาม ไม่รู้ว่าเจ้ารู้หรือไม่ว่าในตอนนั้นใครเป็นผู้ที่ใส่ร้ายข้าและเสด็จแม่?”
เชิงอรรถ
[1] ศัตรูในทางแคบ หมายถึง การที่ศัตรูหรือคนที่ไม่อยากเจอมาพบกันโดยบังเอิญ