เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 9 ตอนที่ 241 ผู้ที่ไร้ตำแหน่ง
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 9 ตอนที่ 241 ผู้ที่ไร้ตำแหน่ง
เล่มที่ 9 ตอนที่ 241 ผู้ที่ไร้ตำแหน่ง
“หม่อมฉันขอถวายพระพรฮ่องเต้เพคะ” หลิงมู่เอ๋อร์คุกเข่าด้วยความเคารพกล่าวเบื้องหน้าฮ่องเต้
คาดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ผู้สวมชุดคลุมลายมังกรสีเหลืองจะเดินอ้อมผ่านนางตรงไปยังซั่งกวนเซ่าเฉินที่ถูกหามเข้ามา “เป็นอย่างไรบ้าง อาการของเขาเป็นเช่นไร?”
แทบจะทันทีที่สิ้นเสียงร้อนรนใจ ทันใดนั้นชายที่เมื่อครู่เพิ่งถูกวางบนพระแท่นบรรทมของฮ่องเต้ก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา ฮ่องเต้จึงดีใจเป็นอย่างยิ่ง “โอ้ฟื้นแล้ว เร็วเข้ารีบจัดให้คนมาดูเขา”
หลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินคำพูดนี้ก็รีบลุกขึ้นตรงเข้ามา กระวนกระวายจนหาได้สนใจกฎเกณฑ์ของวังหลวงไม่ นั่งลงข้างเตียงซั่งกวนเซ่าเฉินเริ่มจับชีพจรที่มือซ้ายของเขา
ฮ่องเต้ตะลึงงัน พระองค์รู้สึกถึงเพียงลมหอบหนึ่งผ่านไป เหตุใดสตรีที่เมื่อครู่คุกเข่าอยู่ด้านข้างจึงลุกขึ้นมาแล้วเล่า ทั้งยังไม่สนกฎเกณฑ์ถึงเพียงนี้ “เมื่อครู่เจิ้นบอกให้เจ้าลุกขึ้นแล้วหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์ทำหูทวนลม “เรียนฝ่าบาทต่อให้แพทย์หลวงจะเร่งรุดมาอย่างเร็วสุดย่อมต้องใช้เวลาถึงหนึ่งก้านธูปเพคะ หรือพระองค์ทรงไม่อยากทราบอาการของเขาล่วงหน้าหรือเพคะ?”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้เงยหน้าขึ้นเห็นซั่งกวนเซ่าเฉินที่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นสีหน้าของนางก็เปี่ยมสุข “ฟื้นแล้วเพคะ พิษในร่างถูกชะล้างออกจนหมดสิ้น ยิ่งไปกว่านั้นเพราะผลการรักษาของไป่หลิงเซียนทำให้พื้นฐานร่างกายของเขาแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อน แม้จะยังไม่ถึงขั้นร้อยพิษไม่กล้ำกราย [1] ทว่าอย่างน้อยพิษธรรมดาในวันข้างหน้าก็ล้วนไม่มีผลกับเขาแล้วเพคะ ส่วนบาดแผลบนร่างกายยังไม่หายเป็นปกติขอเพียงพักผ่อนเพิ่มอีกเล็กน้อยก็จะหายดีในอีกไม่กี่วันเพคะ!”
ข่าวนี้เป็นข่าวดีที่สุดสำหรับฮ่องเต้อย่างไม่ต้องสงสัย หลิงมู่เอ๋อร์ที่เมื่อครู่พุ่งเข้ามาอย่างไม่สนกฎเกณฑ์พระองค์ก็ล้วนไม่ถือสาหาความ
มองไปยังซั่งกวนเซ่าเฉินที่ลืมตาขึ้นมาช้าๆ ด้วยความมึนงง พระองค์จ้องมองอย่างถี่ถ้วนและกล่าวอย่างระมัดระวัง “ได้ยินว่าเจ้าสูญเสียความทรงจำ ยามนี้ยังจำเจิ้นได้อยู่หรือไม่?”
สายตาอันพร่ามัวค่อยๆ กลายเป็นชัดเจน ซั่งกวนเซ่าเฉินมองสำรวจรอบด้านคราหนึ่ง เมื่อมองเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ตรงหน้าเขาก็ขมวดคิ้ว “เหตุใดข้ากับเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่”
หาได้กอดนางอย่างตื่นเต้นดีใจอีกทั้งยังมีน้ำเสียงที่ไม่คุ้นเคยนี้ หลิงมู่เอ๋อร์แน่ใจว่าเขายังคงฟื้นฟูความทรงจำเมื่อสามปีนั้นกลับมาไม่ได้
แต่นางหาได้สนใจไม่ขอเพียงเขาฟื้นขึ้นมาก็พอแล้ว
ไม่ได้ตอบคำถามของเขาและคุกเข่าลงไปกับพื้นเรียบร้อย หลิงมู่เอ๋อร์ก้มหัวแสดงความเคารพให้ฮ่องเต้ตามกฎเกณฑ์ “หม่อมฉันหลิงมู่เอ๋อร์เข้าไปในค่ายทหารโดยพลการ เป็นการตัดสินใจของหม่อมฉันแต่เพียงผู้เดียวหาได้เกี่ยวกับจวิ้นอ๋องน้อยไม่ ขอฝ่าบาททรงลงโทษเพคะ!”
“อ้าว ยามนี้เจ้ารู้จักกฎเกณฑ์แล้วหรือ?” ฮ่องเต้แย้มสรวลบาง “หญิงชาวบ้านผู้หนึ่งแอบอ้างเป็นแพทย์หลวงเข้าไปในค่ายทหาร เจ้าว่าเจิ้นควรลงโทษเช่นไร?”
“อย่าแตะต้องนางพ่ะย่ะค่ะ” ผู้เกี่ยวข้องยังไม่เปิดปากพูด เสียงร้อนรนของซั่งกวนเซ่าเฉินก็ดังมาจากเตียง
หลิงมู่เอ๋อร์ตกตะลึง “ท่านจำได้แล้วหรือ?”
“ยังจำไม่ได้!” ยังคงเป็นน้ำเสียงที่เย็นชา ดวงตาของซั่งกวนเซ่าเฉินยิ่งไม่มองนางแม้แต่คราเดียว จ้องมองฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง “กระหม่อมเป็นคนทำพ่ะย่ะค่ะ ขอบังอาจทูลถามฝ่าบาทว่าควรทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้แต่แรกไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ที่ไร้ตำแหน่งทั้งยังหาได้มีความเกี่ยวข้องอันใดเหล่านี้ขอให้ฝ่าบาททรงรับสั่งให้พวกเขาถอยออกไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
หาได้มีความเกี่ยวข้องอันใด?
ผู้ที่ไร้ตำแหน่ง?
แม้จะรู้ว่าซั่งกวนเซ่าเฉินปกป้องตัวเอง แต่คำพูดนี้ก็ราวกับมีดที่ปักลงอกของนาง
“ดูเหมือนจะเป็นความจริง ความทรงจำเมื่อไม่กี่ปีก่อนเจ้าล้วนลืมเลือนไปเช่นนั้นก็ช่างเถอะ” ฮ่องเต้หมุนกายหันไปมองพิจารณาหลิงมู่เอ๋อร์อย่างชอบใจ ดวงตานั้นราวกับจะบอกว่า ‘แม่นาง ไม่มีผู้ใดต่อต้านเจิ้นเพื่อเจ้าอีกแล้ว’
เมื่อเห็นเล่ห์เหลี่ยมในดวงตาของฮ่องเต้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็ยังคงหนักแน่นเช่นคราแรก “ไม่ทราบฝ่าบาทคิดว่าควรลงโทษหม่อมฉันเช่นไรเพคะ?”
“ความจริงต้องลงโทษแต่เจ้าช่วยรักษาผู้บัญชาการสูงสุดจนสำเร็จ มีคุณงามความดีชดเชยความผิดเจิ้นจะไม่ถือสาหาความเจ้า” ใคร่ครวญครู่หนึ่งฮ่องเต้ก็โบกพระหัตถ์ “ให้คนเข้ามาพานางออกจากวัง!”
“ขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทเพคะ!”
ราวกับเป็นการหลบหนี นางลุกขึ้นพุ่งตัวเดินออกไปโดยไม่มองซั่งกวนเซ่าเฉินแม้แต่คราเดียว
ชายผู้นอนอยู่บนเตียงขมวดคิ้ว แม่นางน้อยเดินไปไกลจากสายตาแล้ว เขาก็ยังเรียกสติกลับมาได้ไม่เต็มที่
นางเคยบอกว่าไม่ชอบวังหลวง ที่แท้ก็เกลียดมากถึงเพียงนี้จนไม่อยากอยู่ต่อแม้เพียงครู่เดียวเลยหรือ?
ฮ่องเต้มองซั่งกวนเซ่าเฉินทั้งยังมองประตูใหญ่ของตำหนักที่ปิดสนิท มุมปากแย้มเป็นรอยยิ้มเยาะ “เฉินเอ๋อร์ ยามนี้ดูเหมือนเจิ้นควรให้เจ้าได้เลือกอีกครา ว่าต้องการแม่นางผู้นั้นหรือต้องการคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของเจ้า?”
เก็บความรู้สึกไม่สบายใจกลับมา ซั่งกวนเซ่าเฉินกำหมัดแน่นจนส่งเสียง มองฮ่องเต้ราวกับกำลังมองศัตรู “ฉินเฉินยี่ถูกท่านสั่งให้ประหารไปตั้งแต่ห้าปีก่อนแล้ว ยามนี้ฮ่องเต้ทรงคิดจะยอมรับผิดความผิดเมื่อครานั้นและฟื้นฟูสถานะของกระหม่อมกลับมาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
หลังออกจากวังหลวงก็มีเกี้ยวมารออยู่ข้างนอกแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์สั่งให้คนคุมเกี้ยวตรงกลับไปที่จวนตระกูลหลิงโดยเร็วที่สุด
มองจากไกลๆ ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งรออยู่ที่นอกประตูจวนอย่างกระสับกระส่าย แทบไม่รอให้เกี้ยวหยุดอย่างมั่นคงนางกระโดดลงพื้นราวกับเด็กซุกซน
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านยาย พี่ชาย พี่สะใภ้ จื่ออวี้ ข้ากลับมาแล้ว!”
เห็นหญิงสาวปรากฏตรงหน้าอย่างกะทันหันด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า ทุกคนล้วนตะลึงงันไปชั่วครู่ ก่อนจะรีบพุ่งเข้าไปกอดแน่น “มู่เอ๋อร์ มู่เอ๋อร์ของพวกเรา พวกเราคิดถึงแทบแย่แล้ว”
“รีบให้ข้าดูหน่อยว่าบาดเจ็บที่ใดหรือไม่?” หยางซื่อจับแขนทั้งสองข้างของลูกสาวมองซ้ายมองขวา น้ำตาอุ่นคลอหน่วยอยู่ในเบ้าตา “ก่อนหน้านี้ที่ได้ยินว่าสงครามที่ชายแดนเคร่งเครียดนักพวกเราตกใจกลัวแทบแย่ เจ้าผอมลงถึงเพียงนี้แล้ว”
“ใช่ ยามที่กลับไปหมู่บ้านตระกูลหลิงกว่าสตรีจะเพิ่มน้ำหนักได้ไม่ง่ายเลย เร็วเข้าข้าจะรีบกลับไปทำอาหารให้มู่เอ๋อร์!” แม้ถังซื่อจะอยากมองดูให้มากหน่อย แต่ก็สงสารหลานสาวจึงรีบดึงหยางต้าหนิวกลับไปจุดไฟ
เห็นสายตาเป็นห่วงของทุกคนหลิงมู่เอ๋อร์ผู้ไม่เคยร้องไห้ก็รู้สึกเพียงแสบจมูก โผเข้าไปในอ้อมกอดของมารดา “ท่านแม่มู่เอ๋อร์คิดถึงท่านเจ้าค่ะ”
แทบจะทันทีที่พูดจบน้ำตาที่กลิ้งอยู่ในเบ้าตาก็ไหลแหมะลงมา หยางซื่อกอดลูกสาวไว้แน่นคำพูดมากมายล้วนติดอยู่ในลำคอ “กลับมาก็ดีแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว!”
หลิงต้าจื้อที่มีจิตใจเข้มแข็งเมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็ไม่อาจห้ามน้ำตาไว้ได้ เขาเช็ดหางตาโอบกอดภรรยาและลูกสาวอย่างอ่อนโยนด้วยความรัก “เอาเถิดคนก็กลับมาแล้วทั้งยังไม่หนีไปไหน จะยืนอยู่หน้าประตูเช่นนี้ได้อย่างไร พวกเรามีอันใดจะพูดก็เข้าไปพูดในบ้านเถิด”
หลิงต้าจื้อใช้หางตามองไปเบื้องหลัง “อีกอย่างร่างกายของเจาหยางไม่อาจทนอยู่เช่นนี้ได้”
หลิงมู่เอ๋อร์หันกลับไปมองพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ เห็นจวิ้นจู่น้อยแห่งราชวงศ์หยางที่อิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของหลิงจือเซวียน แม้ท้องจะยื่นออกมาไม่มากนักแต่ทั้งตัวคนก็อิ่มเอิบอยู่ไม่น้อย อาจเป็นเพราะกำลังจะเป็นมารดาความเย่อหยิ่งในอดีตจึงสลายหายไป ดูอ่อนโยนและมีคุณธรรมอยู่หลายส่วน
“พี่ชายมู่เอ๋อร์กลับมาแล้วเจ้าค่ะ” นางตั้งใจกอดแขนข้างหนึ่งของหลิงจือเซวียนเอาหัวพิงไปที่แขนของเขาอย่างใกล้ชิด ทำให้เจาหยางไม่พอใจอย่างที่คาด
“เจ้าก็โตมากแล้วยังติดพี่ชายไม่ปล่อยไม่รู้จักอายเลย!” เจาหยางเปิดปากที่แท้จวิ้นจู่น้อยผู้ดื้อรั้นยังคงมีนิสัยเย่อหยิ่งและใช้อำนาจบาตรใหญ่ดั่งเช่นกาลก่อน
หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราะ ‘คิกคิก’ ก่อนจะวิ่งอ้อมผ่านหลิงจือเซวียนไปข้างกายเจาหยาง กอดแขนนางข้างหนึ่งแน่นเหมือนเมื่อครู่ หัวเล็กๆ ยังถูกับหัวไหล่นาง “พี่สะใภ้มู่เอ๋อร์กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
ท่าทีออดอ้อนเช่นนั้นทำให้เจาหยางนึกขัน นางแสร้งทำเป็นสะบัดมือที่กอดแขนนางอยู่อย่างรังเกียจ “มู่เอ๋อร์เจ้าช่างน่ารำคาญ!”
“พี่สะใภ้หึงแล้วมู่เอ๋อร์ต้องง้อให้ดี พี่สะใภ้ว่าถูกต้องหรือไม่?” ไม่เพียงแต่ไม่ปล่อยแต่กลับยิ่งกอดแน่นขึ้นอีกด้วย
หลิงจือเซวียนมองทั้งสองคนหยอกล้อกันด้วยใบหน้าเปี่ยมรัก เมื่อหยอกล้อกันใกล้จบแล้วก็เข้าไปลูบศีรษะของหลิงมู่เอ๋อร์อย่างอ่อนโยน “เอาเถิดคนกลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว พวกเราเข้าไปนั่งในบ้านเถิด หากเจ้ายังมีเรี่ยวแรงก็ตรวจชีพจรให้พี่สะใภ้ของเจ้าหน่อยเถิด”
“ตรวจแล้วเจ้าค่ะ ชีพจรพี่สะใภ้มั่นคงดีมาก” เมื่อครู่ที่หลิงมู่เอ๋อร์กอดแขนนางก็ถือโอกาสตรวจชีพจรนางไปแล้ว “แต่พี่ชายอยากรู้หรือไม่ว่าเป็นจวิ้นอ๋องน้อย หรือจวิ้นจู่น้อย?”
ได้ยินข่าวเช่นนี้เจาหยางก็ตื่นเต้นดีใจจนแทบกระโดด นางรีบคว้ามือของหลิงมู่เอ๋อร์ไม่ปล่อย “ยามนี้สามารถมองออกแล้วหรือ? มู่เอ๋อร์รีบบอกข้าเร็ว”
หลิงจือเซวียนแม้จะไม่พูดแต่คิ้วก็เลิกขึ้นเป็นเชิงถาม
หลังจากได้รับคำอนุญาตหลิงมู่เอ๋อร์ก็จงใจอุบไว้ก่อน “เช่นนั้นต้องดูว่าพี่ชายและพี่สะใภ้ชอบลูกชายหรือลูกสาวแล้วเจ้าค่ะ”
“หากเป็นลูกชายก็จะอ่อนโยนและมีความรู้ความสามารถของจือเซวียน หากเป็นลูกสาวข้าจะสอนวรยุทธให้นางจัดการคนเลวเพื่อขจัดภัยชั่วช้าแก่ประชาชน” เจาหยางเชิดคางอย่างภาคภูมิใจ ใกล้คลอดแล้วแต่ก็ยังคงเปลี่ยนนิสัยดื้อรั้นของนางไม่ได้
หลิงมู่เอ๋อกล่าว “ดูจากชีพจรแล้วน่าจะเป็นลูกสาวเจ้าค่ะ”
เมื่อสิ้นเสียงหยางซื่อที่ชงชาเรียบร้อยก็ออกมาจากในห้อง เจาหยางเห็นสีหน้าแม่สามีอย่างชัดเจนก็คิดว่านางไม่ชอบลูกสาวจึงก้มหน้าอย่างละอายใจ
หลิงจือเซวียนมองความเสียใจของภรรยาออกในปราดเดียว ทั้งยังเห็นว่าสีหน้าของมารดาไม่สู้ดีนักก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น
“ท่านแม่ไม่ชอบลูกสาวหรือขอรับ?”
เขาถามออกไปอย่างผ่าเผย การกระทำนี้ทำให้เจาหยางและหลิงมู่เอ๋อร์ตะลึงงัน คาดไม่ถึงว่าเขาจะถามออกไปตรงถึงเพียงนี้
หยางซื่อถูกทำให้ตกใจจนกลับมาจากห้วงความคิด นางเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง “เจ้าลูกชายโง่พูดเหลวไหลอันใด ใครบอกว่าแม่ไม่ชอบลูกสาว เจ้าก็เห็นมู่เอ๋อร์ของพวกเรางดงามจนทำให้คนเจ็บปวดเพียงใด ยังมีเจาหยางที่จิตใจเมตตามีคุณธรรมทั้งยังนิสัยร่าเริงอีก”
คิดว่าหลิงจือเซวียนไม่ค่อยชอบใจ หยางซื่อจึงเดินมาดึงหูเขาไม่ปล่อย “เจ้าเด็กบ้าแม่จะบอกเจ้าให้ แม่กับภรรยารวมทั้งน้องสาวเจ้าล้วนเป็นผู้หญิง หากในโลกนี้ไม่มีผู้หญิงจะมีผู้ชายเช่นพวกเจ้าได้หรือ? ไม่ว่าในท้องของเจาหยางจะเป็นอันใดก็ล้วนแต่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้า มีสายเลือดของพวกเราตระกูลหลิง หากเจ้ากล้าไม่ชอบใจแม่ไม่ยกโทษให้เจ้าแน่!”
ตั้งแต่เด็กจนโตท่านแม่ล้วนไม่เคยดึงหูของเขาเช่นนี้ ภาพลักษณ์ที่อบอุ่นอ่อนโยนในใจหลิงจือเซวียนถูกทำลายลงเสียแล้ว
เขาตีแขนมารดาขอให้ยกโทษให้ “ท่านแม่ข้าผิดไปแล้ว ท่านปล่อยมือก่อนเถิดขอรับท่านแม่”
ริมฝีปากแดงของหลิงมู่เอ๋อร์เข้าไปกระซิบข้างหูนาง “จวิ้นจู่ขอให้ท่านมีความสุข”
ความกังวลเมื่อครู่สลายหายไปในทันใด เจาหยางก้มหัวลงอย่างเขินอาย มองทั้งสองคนที่ตีกันเบื้องหน้าก็ยิ้มไม่หุบ
“โธ่ถัง ทั้งเด็กทั้งคนแก่จะมาถูลู่ถูกังกันไปมาได้อย่างไร วันนี้เป็นวันสำคัญที่มู่เอ๋อร์ของพวกเรากลับมาแล้ว พวกเจ้าสองคนช่างไม่มีกฎเกณฑ์เอาเสียเลย รีบหยุดเดี๋ยวนี้!”
เมื่อท่านยายถือปลาผัดเปรี้ยวหวานที่ทำเสร็จแล้วออกมาและเห็นสถานการณ์เบื้องหน้า นางจึงส่ายหัวจิ๊ปาก “มีเรี่ยวแรงถึงเพียงนี้ก็รีบไปช่วยงานข้าในครัวเสีย”
หันกลับมามองหลิงมู่เอ๋อร์และเจาหยาง ท่านยายที่ดุดันก็กลายเป็นอ่อนโยน “พวกเจ้าสองคนรอข้าอยู่ที่นี่อย่างว่าง่ายเถิด จะเอาอาหารขึ้นโต๊ะแล้ว!”
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านยาย!” หลิงมู่เอ๋อร์ชิงตอบรับ
“เจ้าช่างปากหวานนัก!” ยิ้มไม่หุบอย่างดีใจ ยามที่ท่านยายหันหลังเดินจากไปก็นึกบางอย่างขึ้นได้ “ใช่แล้ว พ่อหนุ่มเฉินเล่าเหตุใดจึงไม่กลับมากับเจ้า? เด็กคนนั้นอยู่เมืองหลวงตัวคนเดียวพวกเราส่งคนไปเชิญเขามาที่บ้านดีหรือไม่?”
เชิงอรรถ
[1] ร้อยพิษไม่กล้ำกราย หมายถึง พิษหรือโรคภัยไม่อาจกล้ำกรายเข้าสู่ร่างกายได้