เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 8 ตอนที่ 239 ไป่หลิงเซียน
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 8 ตอนที่ 239 ไป่หลิงเซียน
เล่มที่ 8 ตอนที่ 239 ไป่หลิงเซียน
“องค์ชายหกหรือ?” ในตอนแรกหลิงมู่เอ๋อร์ไม่อยากจะเชื่อว่าป้ายประจำตำแหน่งอันนี้เป็นขององค์ชายผู้หนึ่ง แต่เมื่อได้ยินองค์ชายเจ็ดที่สงบถึงเพียงนี้ หางตาของนางก็หรี่ลง
“เมื่อก่อนพี่หกเคยขัดแย้งกับซั่งกวนเซ่าเฉินมาตลอดจริงๆ อีกทั้งครั้งนี้ฮ่องเต้ยังส่งผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์หลวงให้นำทัพใหญ่หลายแสนไปรบที่ชายแดน เป็นการยากที่จะให้คนไม่สงสัย พี่หกตรวจสอบพบบางสิ่งแต่ก็เป็นไปได้ว่ามีคนตั้งใจวางของไว้เพื่อใส่ร้ายคน” องค์ชายเจ็ดกล่าว “แต่เรื่องนี้เป็นสงครามในวังหลวง เจ้าที่เป็นเพียงหมอจากสำนักแพทย์เล็กๆ ผู้หนึ่งจะเป็นการดีที่สุดหากไม่เข้ามาพัวพันด้วย ไม่เช่นนั้น…”
องค์ชายเจ็ดพูดยังไม่ทันจบ ทันใดนั้นเสียงตื่นตระหนกของหนานกงอี้จือก็ดังขึ้นมา “แย่แล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้าอยู่ไหน!”
สาเหตุเดียวที่จะสามารถทำให้หนานกงอี้จือหุนหันถึงเพียงนี้มีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือสถานการณ์ของซั่งกวนเซ่าเฉิน
หลิงมู่เอ๋อร์และองค์ชายเจ็ดสบตากันก่อนจะวิ่งตรงไปที่กระโจมด้วยกัน เป็นดังคาดซั่งกวนเซ่าเฉินที่อยู่ในสภาวะหมดสติจู่ๆ ทั่วทั้งร่างกระตุกไม่หยุด ราวกับถูกไฟฟ้าช็อต หนานกงอี้จือและซูเช่อทั้งสองคนต่างกดไว้ไม่อยู่
“จู่ๆ ก็เป็นเช่นนี้ พวกเราไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นร่างกายของเขายังร้อนเป็นอย่างมาก” หนานกงอี้จือหันหน้าไปกล่าว
หลิงมู่เอ๋อร์รีบตรงเข้าไปจับชีพจรของเขา ในตอนนั้นเองซั่งกวนเซ่าเฉินก็หยุดกระตุกโดยพลัน ราวกับเด็กที่ได้รับการปลอบประโลมจนค่อยๆ สงบลง ทุกคนเห็นเช่นนั้นก็ต่างลอบถอนหายใจโล่งอก คิดเพียงว่าอาการของเขาที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันในยามนี้ก็ดีแล้ว แต่มีเพียงหลิงมู่เอ๋อร์ผู้เดียวที่ในใจเต้น “ตึกตัก”
“มีอันใดหรือ? การผ่าตัดของเจ้าล้มเหลวหรือ?” หนานกงอี้จือรู้สึกได้ถึงสีหน้าไม่สู้ดีของนางจึงถามด้วยใจที่เต้นรัวไม่หยุด
“…ใช่!” เพียงครู่เดียวหลิงมู่เอ๋อร์ก็กัดฟันยอมรับ
นางหยิบเข็มเงินออกมาฝังเข็มให้ซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างระมัดระวัง ทั้งยังคอยตรวจสอบอาการของเขาอยู่ตลอดเวลาไปด้วย แต่อาการของเขากลับยิ่งแย่ลงจนกดดันให้หลิงมู่เอ๋อร์ร้องไห้ “ชีพจรของเขาอ่อนลงเรื่อยๆ อวัยวะภายในทั้งหมดล้มเหลวเกรงว่า…”
“เป็นไปไม่ได้!” หนานกงอี้จือตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว “ญาติผู้พี่เป็นคนดีสวรรค์ย่อมคุ้มครอง หลายปีมานี้ได้รับบาดเจ็บมากเพียงใดก็ล้วนฝืนทนมาได้ เขาต้องไม่ตาย”
องค์ชายเจ็ดเลี่ยงทุกคนเดินไปที่ข้างร่างของซั่งกวนเซ่าเฉิน ยื่นมือไปจับชีพจรก็ยิ่งขมวดคิ้วมากขึ้น “ยังจะรออันใดอีก ข้าบอกแล้วว่าจำเป็นต้องส่งเขากลับเมืองหลวงทันที ทหาร!” เขาตะโกนก้องคิดจะจัดกองกำลังหน่วยเล็กออกเดินทาง
“รอเดี๋ยว รอข้าเพียงครู่เดียว ข้าจะต้องคิดวิธีได้แน่ ข้ามีวิธีรักษาเขาให้หายแน่นอน ท่านให้เวลาข้าอีกเพียงครู่เดียว ข้าทำได้!” หลิงมู่เอ๋อร์กดร่างของซั่งกวนเซ่าเฉินไว้อย่างแรง ดูชีพจรของเขาอย่างละเอียด พยายามค้นหาความหวังเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจให้เขาที่ดวงตาปิดสนิท
นางมักจะรู้สึกว่านางลืมบางสิ่งไป ทั้งยังคิดอยู่เสมอว่าซั่งกวนเซ่าเฉินจะมาตกตายอย่างง่ายดายไม่ได้ แต่ยิ่งร้อนรนสมองของนางก็ยิ่งสับสน
“ใช่ ญาติผู้พี่จะต้องไม่เป็นอันใด เพราะเขาชะตาแข็งนัก!” หนานกงอี้จือร้อนรนแล้ว “หลิงมู่เอ๋อร์เจ้าลองคิดดีๆ บนโลกนี้มีพวกยาวิเศษที่สามารถรักษาได้ทุกโรคหรือไม่?”
ยาวิเศษที่สามารถรักษาได้ทุกโรคหรือ?
ดวงตาดั่งไข่มุกของหลิงมู่เอ๋อร์กลอกไปมา
ซู่เช่อที่ยืนเงียบมาตลอดทำได้เพียงอาศัยการฟังแยกแยะทุกสิ่งทันใดนั้นก็เปิดปาก “ข้าเคยได้ยินว่าบนโลกมีดอกไม้ชนิดหนึ่งที่จะขึ้นบนหน้าผาสูงชัน พบเห็นได้ยากยิ่งทั้งยังเก็บได้ยากดอกไม้นั้นเรียกว่า…”
“เรียกว่าไป่หลิงเซียน!” หลิงมู่เอ๋อร์ชิงตอบออกมา
“ถูกต้อง เมื่อก่อนข้าเคยได้ยินมาไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้นไม่รู้ว่าดอกไม้วิเศษเช่นนี้มีอยู่บนโลกจริงหรือไม่” ซูเช่อตอบกลับ “ได้ยินมาว่าดอกไม้ชนิดนี้ออกผลหลากสีสัน หนึ่งร้อยปีมันถึงจะงอกเงย อีกหนึ่งร้อยปีจึงจะเติบโต อีกร้อยปีจะเริ่มผลิดอก อีกร้อยปีจะเริ่มออกผล และอีกร้อยปีสุดท้ายผลจะสุกงอม แต่สรรพคุณวิเศษยิ่ง”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้แม้แต่หนานกงอี้จือก็หัวเราะ “เป็นไปไม่ได้ บนโลกนี้จะมีดอกไม้วิเศษเช่นนั้นได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้มีจริงก็คงต้องใช้วาสนาเป็นอย่างยิ่งจึงจะพบมันในยามนี้กระมัง?”
“ข้าเคยพบ!” พูดอย่างแผ่วเบา เสียงของหลิงมู่เอ๋อร์แผ่วออกมาแต่กลับมีอำนาจทะลุทะลวงอย่างรุนแรง
นางหันไปมองซูเช่ออย่างซาบซึ้งใจ “ขอบคุณท่านจวิ้นอ๋องน้อย”
หลิงมู่เอ๋อร์แสร้งทำเป็นกลับไปข้างกล่องยา แต่แท้จริงหยิบไป่หลิงเซียนออกมาจากในมิติ
ใช่นางจำได้แล้ว ตั้งแต่แรกที่นางอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลหลิง ดอกไม้ที่ซั่งกวนเซ่าเฉินเสี่ยงตายปีนหน้าผาสูงชันไปเก็บ มาให้นางไม่ใช่ว่าเป็นดอกไป่หลิงเซียนหรือ?
“เคราะห์ดีที่จวิ้นอ๋องน้อยเตือนขึ้นมา หากไม่เช่นนั้นข้าคงลืมมันไปแล้วจริงๆ” เพียงชั่วพริบตาก็เห็นเพียงดอกไม้หลากหลายสีสันดอกหนึ่งปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือของหลิงมู่เอ๋อร์อย่างกะทันหันราวกับเล่นกล “ดอกไม้นี้ยามที่ยังอยู่หมู่บ้านตระกูลหลิงเป็นเซ่าเฉินที่เก็บมา เพราะตลอดมายังไม่ได้รับการยืนยัน ที่ผ่านมาจึงถูกข้าเก็บไว้ในชั้นกล่องยา”
หลิงมู่เอ๋อร์พูดอย่างมีความสุข “จวิ้นอ๋องน้อยเป็นดาวนำโชคของพวกเราจริงๆ”
“สวรรค์ นี่…ข่าวลือนี้เป็นเรื่องจริงหรือ?” หนานกงอี้จือมองอย่างตะลึงงัน เขาไม่เคยพบดอกไม้ที่งดงามถึงเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นดอกไม้วิเศษในตำนานด้วย!
“เจ้าแน่ใจหรือว่านี่เพียงพอที่จะสามารถรักษาญาติผู้พี่ได้จริง?”
หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้าพูดอย่างหนักแน่น “ตามข่าวลือบอกว่าบนโลกนี้มีไป่หลิงเซียนเพียงต้นเดียว ยิ่งไปกว่านั้นผลของมันยังมีเพียงสี่ผลแต่ถูกคนเก็บไปแล้วสามผล ซึ่งทั้งสามผลล้วนให้สรรพคุณที่ต่างกัน ผลหนึ่งสามารถเพิ่มกำลังภายในได้ถึงหกสิบปี ผลหนึ่งทำให้สตรีอัปลักษณ์ผู้หนึ่งกลายเป็นผู้มีรูปโฉมงามล่มเมือง อีกผลหนึ่งปรับสภาพร่างกายเพิ่มอายุขัยให้ยืนยาว นี่เป็นผลที่สี่แม้จะยังไม่รู้สรรพคุณแน่ชัดแต่ข้าเชื่อว่าจะต้องสามารถรักษาเขาได้อย่างแน่นอน”
นางพูดจบก็เปิดฝ่ามือที่มีดอกไม้หลากหลายสีสัน เป็นอย่างที่คาดคือมีผลหนึ่งผลที่ราวกับลูกกลอนสีรุ้งปรากฏบนฝ่ามือของนาง นางเอาออกมากำลังจะยัดเข้าไปในปากซั่งกวนเซ่าเฉิน
“หยุด!” องค์ชายเจ็ดตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด ทันใดนั้นก็ใช้แรงดึงหลิงมู่เอ๋อร์ที่อยู่เบื้องหน้า “ข่าวลือของไป่หลิงเซียนพวกเจ้าก็บอกเองว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล่า สิ่งนี้จะเป็นยาแก้พิษหรือเป็นยาพิษจริงเท็จอย่างไรก็ล้วนไม่รู้ จะให้เขากินลงไปง่ายๆ ได้อย่างไร”
หลิงมู่เอ๋อร์ถูกความตื่นเต้นของเขาทำให้ตะลึงงัน ในยามนี้คนถูกเขาลากออกมาไกลจากกระโจมหลายเมตรแล้ว
“เรื่องมันยิ่งร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ จนข้าและเจ้าไม่อาจรับผิดชอบได้แล้ว เจ้าคงไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของคนผู้นั้นที่นอนอยู่ในกระโจม” สีหน้าองค์ชายเจ็ดเคร่งขรึม “เขาหาใช่เพียงผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์หลวงธรรมดาไม่”
คาดไม่ถึงว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะไม่สนใจแม้แต่น้อย “เช่นนั้นแล้วอย่างไรเพคะ?”
“เหอะแล้วอย่างไรหรือ?” องค์ชายเจ็ดยิ้มหยัน “เห็นแก่ที่พวกเราเป็นคนรู้จักกันทั้งในตอนแรกเจ้าเคยช่วยข้าอยู่หลายครา ข้าจึงเตือนเจ้าอย่างหวังดี ตัวตนของซั่งกวนเซ่าเฉินหาใช่ธรรมดา เขาหาใช่คนที่เจ้าจะสามารถเข้าไปวุ่นวายตามใจชอบได้! เมื่อครู่ให้เจ้าทำเรื่องเสี่ยงผ่าตัดเปิดกะโหลกเขาไปถึงเพียงนั้น เพราะเจ้ามั่นใจยิ่งจึงยอมไว้หน้าเจ้า แต่ดอกไม้นั้นเป็นเพียงดอกไม้ในข่าวลือหากเขาตายทั้งเจ้าและข้าหรือแม้แต่ทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็ล้วนไม่อาจรับผิดชอบได้!”
“เช่นนั้นองค์ชายเจ็ดหมายความว่าอย่างไรเพคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์ซ่อนผลไป่หลิงเซียนไว้ในฝ่ามือ ตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เมื่อได้ยินเช่นนี้ดวงตาขององค์ชายเจ็ดก็เป็นประกาย แต่เพียงชั่วครู่ก็กลับมาเคร่งขรึม “ตามที่ข้าคิดคือต้องใช้ม้าเร็วเร่งส่งเขากลับวังหลวงโดยเร็ว จะตัดสินอย่างไรก็ล้วนให้เสด็จพ่อตัดสินใจ”
“ย่อมไม่ทันการ!” หลิงมู่เอ๋อร์ปฏิเสธ “จู่ๆ เขาก็มีไข้สูง ชีพจรอ่อนเป็นอย่างยิ่ง อย่าว่าแต่การที่ต้องกลิ้งไปมาแค่การเคลื่อนไหวช้าๆ ก็ล้วนทำให้เขาถึงแก่ชีวิตได้แล้ว เขาต้องได้รับการรักษาทันทีเพคะ!”
หลิงมู่เอ๋อร์สังเกตเขาอย่างละเอียด ไม่รู้เพราะเหตุใดหลังไป่หลิงเซียนปรากฏแก่สายตาเขาจึงตื่นเต้นถึงเพียงนี้
แม้แต่ซูเช่อก็ล้วนเคยได้ยินข่าวลือนี้ แล้วองค์ชายเจ็ดจะไม่รู้ได้อย่างไร หรือว่า…
“ยิ่งไปกว่านั้นตามที่องค์ชายเจ็ดกล่าว หากระหว่างทางกลับเมืองหลวงเกิดเรื่องอันใดกับซั่งกวนเซ่าเฉินจริง เกรงว่าฮ่องเต้ต้องทรงไม่ปล่อยพวกเราไปอย่างแน่นอนเพคะ!”
องค์ชายเจ็ดจมดิ่งอยู่ในความคิดใคร่ครวญ เห็นได้ชัดว่าคาดไม่ถึงว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะช่างเจรจาถึงเพียงนี้
ดวงตาแหลมคนทั้งสองข้างของเขาจ้องไปยังสมบัติล้ำค่าในฝ่ามือของหลิงมู่เอ๋อร์ กลอกตาไปมาอยู่หลายครา “เช่นนั้นไม่สามารถแบ่งผลออกแล้วหาคนมาทดสอบได้หรือ? หากไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นจริงค่อยให้เขากินก็ยังไม่สาย”
ที่แท้องค์ชายเจ็ดก็ดีดลูกคิดรางแก้ว [1] เช่นนี้
เกรงว่าหลังนางตอบตกลงเขาต้องเป็นคนแรกที่กระโดดเข้ามาบอกว่าจะลองกินเป็นแน่
สุดท้ายแล้วลูกไม้ผลนี้ก็สีสันสวยงามละเอียดอ่อนน่าทานเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีสรรพคุณมากถึงเพียงนี้ ไม่ว่าผลที่สี่จะมีสรรพคุณเช่นไรก็ล้วนดีกว่ายาบำรุงทั่วไปนับร้อยเท่าพันเท่า องค์ชายเจ็ดจะอยากได้มันก็นับว่าสมเหตุสมผลแล้ว
แต่ในเมื่อสิ่งนี้อยู่ในมือนาง นางจะไม่มอบให้ผู้ใดเป็นอันขาด
“ไม่ว่าหลังจากซั่งกวนเซ่าเฉินกินลงไปแล้วจะมีการตอบสนองเช่นไรหม่อมฉันก็จะรับผิดชอบเองเพคะ!”
ปฏิเสธคำแนะนำขององค์ชายเจ็ด หลิงมู่เอ๋อร์ก็เดินผ่านเขากลับไปที่กระโจม โดยไม่ทันได้สังเกตว่าสายตาขององค์ชายเจ็ดที่อยู่เบื้องหลังนางเต็มไปด้วยจิตสังหาร
“ฟิ้ว!”
ทันใดนั้นดาบคมเล่มหนึ่งก็ฟันลงมา หลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียง นางยังไม่ทันเตรียมป้องกันตัวคนชุดดำผู้หนึ่งก็ปรากฏที่ข้างตัวนาง ทั้งยังโจมตีนาง
“เจ้าเป็นใคร?” หลิงมู่เอ๋อร์หลบอย่างว่องไว
เพราะไม่ทันได้เตรียมป้องกันตัวนางจึงเกือบได้รับบาดเจ็บ
“คนที่ต้องการชีวิตเจ้า!”
เสียงต่ำลอยมาพร้อมกับจิตสังหารเข้มข้น ดาบในมือหมายแทงเข้าจุดสำคัญของนาง หลิงมู่เอ๋อร์ถูกกดดันจนต้องถอยหลังไปหลายก้าวจึงยิ่งห่างจากกระโจมขึ้นเรื่อยๆ
“ระวัง!” องค์ชายเจ็ดเข้ามาปกป้องหลิงมู่เอ๋อร์ด้วยมือเปล่า “ข้าจะรั้งเขาไว้เจ้ากลับไปที่กระโจมก่อน!”
แต่ศิลปะการต่อสู้ของคนชุดดำสูงยิ่งราวกับได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษ แม้แต่องค์ชายเจ็ดก็ล้วนไม่ใช่คู่มือก้าวเข้ามากดดันหลิงมู่เอ๋อร์ทีละก้าว
“ในเมื่อฆ่าเขาไม่ได้ข้าจะฆ่าเจ้าก่อน!” คนชุดดำกัดฟันดาบปราดเปรียวของเขาพุ่งเข้ามาที่หน้าอกของหลิงมู่เอ๋อร์โดยพลัน มีองค์ชายเจ็ดคุ้มครองนางจึงม้วนตัวหลบไปได้อย่างปลอดภัย แต่ทันใดนั้นก็มีฝ่ามือหนึ่งฟาดเขามาที่หลังศีรษะของนาง นางที่ไร้การป้องกันดวงตามืดดับหมดสติไป
“ท่าน…” ยังไม่ทันพูดจบองค์ชายเจ็ดก็ทำสัญญาณมือให้เขาเงียบเสียง เขาส่งสายตาให้คนชุดดำเป็นสัญญาณให้เขาไปก่อน
มองไปยังหลิงมู่เอ๋อร์ที่นอนอยู่บนพื้น เขาก็แกะฝ่ามือนางเปิดโดยพลัน แต่ที่น่าแปลกคือในนั้นกลับว่างเปล่า
“ไป่หลิงเซียนเล่า?” องค์ชายเจ็ดหลับตาก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครา ด้านในก็ยังคงว่างเปล่า อย่าว่าแต่ลูกไม้เลยแม้แต่ใบไม้สักใบก็ยังไม้เหลือไว้
“น่าแปลกนักเมื่อครู่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าอยู่ในฝ่ามือของนาง” องค์ชายเจ็ดขมวดคิ้วแน่นค้นร่างของนางทันใด
ถูกต้อง เขาเคยได้ยินข่าวลือของไป่หลิงเซียนอยู่หลายคราทั้งบนเวทีการแสดงรวมถึงจากสหายเจียงหู มีข่าวลือว่าสิ่งนั้นลึกลับเป็นอย่างยิ่ง กล่าวได้ว่าเป็นสมบัติที่ทุกคนในเจียงหูต้องการ เดิมทีเขาคิดเพียงว่ามันเป็นข่าวลือแต่คาดไม่ถึงว่าจะพบมันอยู่กับหลิงมู่เอ๋อร์ ทั้งหมดสี่ผลยังเหลือผลสุดท้ายอยู่ เขาจะยอมให้ซั่งกวนเซ่าเฉินได้ไปง่ายๆ ได้อย่างไร?
แต่น่าแปลกที่เขาค้นทั้งร่างของหลิงมู่เอ๋อร์จนทั่วแต่กลับหาไม่พบ!
เป็นไปได้อย่างไร? เมื่อครู่เขาจ้องมองนางอยู่ตลอดก็ไม่เห็นว่านางจะเอาของไปซ่อนไว้เมื่อใด
“นางเอาสมบัติไปซ่อนไว้ที่ใดกัน?”
องค์ชายเจ็ดยิ่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ มือทั้งสองข้างลุกลี้ลุกลนขึ้นมา แต่ยังดีที่ตรงนี้ห่างจากกระโจมอยู่มากจึงไม่ถูกคนด้านในพบเจอ แต่ไม่ว่าเขาจะค้นหาเท่าใดก็หาไม่พบ
ชัดเจนว่าของอยู่กับนางเหตุใดจึงไม่เห็นแล้วเล่า?
ยามที่องค์ชายเจ็ดมองหลิงมู่เอ๋อร์ ในดวงตาก็เปล่งประกาย
เชิงอรรถ
[1] ดีดลูกคิดรางแก้ว หมายถึง นึกถึงแต่ผลประโยชน์ที่จะได้ฝ่ายเดียว