เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 8 ตอนที่ 236 สะเทือนใจ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 8 ตอนที่ 236 สะเทือนใจ
เล่มที่ 8 ตอนที่ 236 สะเทือนใจ
หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่าซูเช่อตั้งใจหยอกล้อนาง เพื่อให้นางรู้สึกดีขึ้น แต่นางไม่ชอบการหยอกล้อเช่นนี้
“หากท่านจะมาล้อข้าเล่นก็เชิญจวิ้นอ๋องน้อยออกไปเถิด”
“แม่นางผู้นี้ช่างไม่เข้าใจอารมณ์สุนทรีย์เอาเสียเลย”
ซูเช่อเก็บมือกลับ ใช้ความรู้สึกยืนยันตำแหน่งของหลิงมู่เอ๋อร์ “สถานการณ์ทางฝั่งนี้ข้าล้วนได้ยินทั้งหมด เพื่อที่จะไม่มารบกวนเจ้าจึงยืดเวลาออกไปนานถึงเพียงนี้ ทั้งที่ความจริงข้าร้อนใจยิ่ง”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่พูดสิ่งใด มองไปด้านข้างอย่างดื้อรั้น
“เจ้าคิดว่าหากเจ้าไม่กินไม่ดื่มไม่นอนไม่พักผ่อนแล้วเขาจะฟื้นขึ้นมาหรือ?” ซูเช่อยิ้มหยันพูด “หากข้าเป็นเจ้าสิ่งแรกที่จะทำคือกินให้ตัวเองอิ่มท้อง ยามที่มีเรี่ยวแรงจะได้คิดหาวิธีใหม่มารักษาเขาให้ดีกว่าเดิมไม่ใช่หรือ?”
ได้ยินคำพูดนี้หลิงมู่เอ๋อร์ก็หลุบตาลง ช่วงนี้เพื่อซั่งกวนเซ่าเฉินนางอ่อนแอลงมากจริงๆ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อได้กลิ่นหอมเบื้องหน้านี้ก็ทำให้รู้สึกหิวขึ้นมาเสียแล้ว
“ในค่ายทหารสามารถหาสิ่งนี้มาได้อย่างไรหรือ?” พักอยู่ค่ายทหารมานาน ทุกวันล้วนได้กินข้าวต้มจางๆ หรือวอวอโถว [1] บางครั้งบางคราวจึงจะได้กินแป้งหมี่ขาวสักคราก็รู้สึกว่าเป็นอาหารเลิศรสของโลกมนุษย์แล้ว
“สิ่งที่จวิ้นอ๋องน้อยต้องการเคยหลุดมือไปด้วยหรือ?” เขาแหงนหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ ใช้ประสาทสัมผัสในการฟังได้ยินเสียงกินอาหารของนาง ก็รู้สึกว่าเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่ง “ถ้าชอบกินครั้งหน้าข้าจะทำมาให้เจ้าเยอะๆ”
ได้ยินคำพูดนี้ก็สำลัก หลิงมู่เอ๋อร์เงยหน้ามองอย่างไม่อยากจะเชื่อ “สิ่งนี้เป็นท่านทำหรือ?”
“แน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?” ซูเช่อถามกลับ เชิดหน้ายืดอก “แต่เจ้าเป็นสตรีคนแรกที่ได้กินอาหารที่จวิ้นอ๋องเช่นข้าเข้าครัวทำเอง นับเป็นเกียรติมากใช่หรือไม่?”
มองก๋วยเตี๋ยวครึ่งชามที่ถูกนางกินในอึดใจเดียว หลิงมู่เอ๋อร์ยังคาดว่าเขาไปหาซื้อก๋วยเตี๋ยวนี้ในราคาแพงมาจากหมู่บ้านใกล้ๆ แต่เขาที่มีสภาพเช่นนี้จะวิ่งไปถึงในหมู่บ้านได้อย่างไร?
หลิงมู่เอ๋อร์มองส่วนบนของรองเท้าเขา ยังมีคราบดินเกรอะกรังอยู่ก็รู้สึกสะเทือนใจ
“ขอโทษ เพื่อเขาช่วงนี้ข้าจึงละเลยท่านไป”
หลังกลับมาจากสนามรบ หลิงมู่เอ๋อร์ก็เฝ้าอยู่ในกระโจมผู้บัญชาการสูงสุดทุกวัน แม้จะเคยนึกถึงซูเช่อแต่ก็คิดว่าเขาคงไม่เป็นไรมาก จึงส่งต่อเขาให้พวกหมอหลวงจัดการทั้งหมด คาดไม่ถึงว่าเขาไม่เพียงแต่ไม่โกรธทั้งยังทำเพื่อนางมากมายเพียงนี้
“อืม ยามนี้รู้จักขอโทษข้ายังไม่นับว่าสายเกินไป” เขางอนิ้วมือ “หมอหลวงบอกว่าดวงตาของข้าฟื้นฟูได้ดีทีเดียว ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็ใช่ว่าจะตื่นขึ้นมาในเวลาสั้นๆ ไม่สู้เจ้าลองมองข้าบ้างดีกว่ากระมัง?”
หลิงมู่เอ๋อร์ต้องการปฏิเสธโดยสัญชาตญาณ แต่ก็รู้สึกละอายใจกับพฤติกรรมช่วงนี้ของตน เพียงไม่กี่คำก็กินก๋วยเตี๋ยวที่เหลืออยู่จนหมด เขารีบพุ่งเข้ามายามที่มือของนางสัมผัสกับร่างของเขาโดยบังเอิญ ซูเช่อใช้แรงดึงนางขึ้นมานั่งบนตักของตนอย่างมั่นคง
“ซูเช่อ!” นางหายใจถี่อย่างไม่พอใจ
“ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้นข้าจะอยู่ข้างหลังเจ้าเสมอ ข้ารู้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการแต่ข้าอยากให้เจ้ารู้ไว้ หากวันหนึ่งชายผู้นี้จากเจ้าไปแล้วจริงๆ เจ้าก็ยังมีข้าอยู่”
เสียงที่น่าดึงดูดของเขาแน่วแน่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน น้ำเสียงยังคงอ่อนโยนเช่นกาลก่อน ไม่รอให้หลิงมู่เอ๋อร์ได้ตอบสนอง ซูเช่อก็วางนางลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา และออกจากกระโจมไป
นางเม้มริมฝีปาก ดวงตาจ้องมองซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างไม่กะพริบตา เห็นได้ชัดว่าคิดจะอดกลั้นไว้แต่น้ำตาก็ยังไหลลงมาอย่างควบคุมไม่ได้
“เฉิน ท่านหลับใหลมาสิบห้าวันเต็มแล้วยังไม่คิดจะตื่นขึ้นมาอีกหรือ”
จับมือของเขามาวางไว้ข้างริมฝีปาก หลิงมู่เอ๋อร์หลับตาลงก่อนจะลืมตาขึ้นมา น้ำตาก็ไหล ‘แหมะ’ ลงมา
“ท่านจะจำข้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ต่อให้ลืมเรื่องทั้งหมดนี้ก็ไม่เป็นไร ข้าแค่หวังว่าท่านจะตื่นขึ้นมา ท่านอยากทำอันใดข้าจะไม่โกรธอีกแล้ว ท่านตื่นขึ้นมาได้หรือไม่?” นางพูดเกลี้ยกล่อมคิดว่าหากใช้วิธีนี้จะสามารถปลุกคนบนเตียงให้ตื่นขึ้นมาได้
“หากท่านไม่ยอมตื่นขึ้นมาข้าจะหนีไปกับซูเช่อ เขาเป็นจวิ้นอ๋องน้อยเขาสามารถให้สิ่งที่ข้าต้องการได้ทุกอย่าง เขายังบอกว่าจะให้สถานะอนุภรรยาแก่ข้าด้วย ข้าเชื่อว่าหากต้องการเป็นเจิ้งเฟยเขาก็สามารถให้ข้าได้ เช่นนี้ท่านก็ยังไม่คิดจะฟื้นขึ้นมาอีกหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์พองแก้มด้วยความโมโห เมื่อไม้อ่อนไม่ได้ผลนางจึงพูดข่มขู่ โดยไม่รู้ว่าคนที่ยืนอยู่นอกประตูที่ได้ยินคำพูดนี้ในใจก็เปี่ยมไปด้วยความสุขล้น
“เฉิน…” จับมือของเขาแน่นปล่อยให้หยดน้ำตาไหลซึมแขนเสื้อจนชื้น หลิงมู่เอ๋อร์กัดริมฝีปากล่าง หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคนที่นอนอยู่ตรงนี่จะเป็นนาง
ไม่รู้ว่าพูดกับใบหน้าที่หลับใหลของเขาไปกี่มากน้อย หลิงมู่เอ๋อร์ยิ่งไม่รู้ว่านางฟุบหลับไปข้างกายเขาตั้งแต่เมื่อใด นางฝันเห็นภาพฝันที่เห็นเมื่อหลายปีก่อน เห็นภาพที่ซั่งกวนเซ่าเฉินนอนจมกองเลือดเป็นตายไม่ชัดเจน
เมื่อตกใจจนตื่นขึ้นมานางก็หอบหายใจเฮือกใหญ่ และกริชเย็นเยือกเล่มหนึ่งก็แทงเข้ามาในทันใด
หลิงมู่เอ๋อร์ตะลึงงันไปชั่วครู่ก่อนจะหลบไปด้านข้างโดยพลัน ใช้แรงจับไปที่มือของอีกฝ่ายก่อนจะฟาดไปที่กริชของนางอย่างแรง นางเดือดดาล “ผู้ใดกัน?”
“หลิงมู่เอ๋อร์ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ราวกับคาดเดาไว้ก่อนแล้วว่ากริชจะถูกนางแย่งไป หลิงไฉ่เว่ยหยิบเชือกที่เตรียมไว้ก่อนแล้วขึ้นมาคล้องคอของนางและออกแรงดึง
น่าเสียดายเบื้องหน้านางคือสตรีผู้ดื่มน้ำพุวิญญาณตลอดทั้งปีจึงมีเรี่ยวแรงมหาศาล เพียงหลิงมู่เอ๋อร์เพิ่มแรงอีกเล็กน้อย ร่างของหลิงไฉ่เว่ยก็ถูกเหวี่ยงออกไปอย่างแรง
หลิงไฉ่เว่ยเจ็บปวดจนร้องออกมาอย่างน่าเวทนา เสียงร้องน่าตกใจนี้ดึงดูดให้หนานกงอี้จือและโฉวอวี่จินรีบรุดมาอย่างรวดเร็ว
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
“แม่นางหลิง?”
ทั้งสองคนพูดออกมาอย่างประหลาดใจพร้อมกัน
ยังคิดว่าเสียงร้องตกใจเมื่อครู่ออกมาจากปากนาง แต่ยามที่พวกเขาเห็นหลิงไฉ่เว่ยที่ร้องครวญครางอยู่บนพื้นมองหลิงมู่เอ๋อร์ด้วยสีหน้าอาฆาตมาดร้ายก็ทึ่มทื่อไปชั่วขณะ
“นี่ นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?” โฉวอวี่จินพูดอย่างมึนงง
“เป็นนาง นางต้องการฆ่าปิดปากข้า หญิงผู้นี้นางต้องการฆ่าข้า ท่านแม่ทัพใหญ่ช่วยข้าด้วย!” หลิงไฉ่เว่ยลุกขึ้นจากพื้นวิ่งไปหลบหลังโฉวอวี่จิน คว้าแขนเสื้อของเขาไว้แน่น
น่าเสียดายที่สมองของแม่ทัพใหญ่หาได้ทำจากไม้อวี๋ [2]
“เกรงว่าเป็นเจ้าต้องการฆ่าแม่นางหลิงแต่กลับไม่สำเร็จกระมัง?”
ออกแรงดึงมือนางออกจากแขน หลิงไฉ่เว่ยก็ถูกโยนเป็นสุนัขเล่นโคลน [3] อีกครา
หนานกงอี้จือสายตาเฉียบแหลมมองเห็นกริชและเชือกหยาบที่หล่นอยู่บนพื้น ในกระโจมของผู้บัญชาการสูงสุดจะมีอาวุธสังหารได้อย่างไร อีกทั้งหลิงมู่เอ๋อร์จะสามารถฆ่าคนในกระโจมของซั่งกวนเซ่าเฉินได้อย่างไร
“เจ้าเป็นอันใดหรือไม่?” เมื่อยืนยันแล้วว่าหลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้รับบาดเจ็บ หนานกงอี้จือก็สั่งทหารที่อยู่นอกกระโจม “ทหารนำตัวสตรีผู้นี้ออกไป”
ถูกคนควบคุมตัวอีกครา หลิงไฉ่เว่ยก็ดิ้นรนให้หลุดพ้นไม่หยุด “ปล่อยข้า เห็นอยู่ชัดๆ ว่านางต้องการฆ่าข้า เป็นนางที่ฆ่าคนไม่สำเร็จ”
น่าเสียดายที่ไม่ผู้ใดฟังเสียงร้องตะโกนของนาง
ไม่รู้ว่าตัวเองต้องได้รับการลงโทษเช่นไร หลิงไฉ่เว่ยก็ตกใจกลัวเป็นอย่างยิ่ง “หลิงมู่เอ๋อร์เจ้ามันหญิงชั่ว เจ้าล่อลวงซั่งกวนเซ่าเฉิน เจ้าทำร้ายข้าที่เป็นป้าซึ่งเป็นญาติของเจ้า ต่อให้ข้าเป็นผีก็จะไม่ปล่อยเจ้าไป!”
“รอเดี๋ยว”
หลิงมู่เอ๋อร์เปิดปากค่อยๆ ปรากฏตัวเบื้องหลังทุกคน
หลิงไฉ่เว่ยคิดว่านางเปลี่ยนใจก็มีสีหน้าเบิกบาน “ข้ารู้ว่าเจ้าหาได้ไม่สนใจไยดีข้าถึงเพียงนั้นไม่ ถึงอย่างไรข้าก็เป็นป้าน้อยของเจ้า มู่เอ๋อร์เจ้าปล่อยข้าไปเถอะ ข้ารับรองว่าจะไม่ทำร้ายเจ้าอีก ปล่อยข้าไปเถิดนะ?”
โฉวอวี่จินกำลังคิดเกลี้ยกล่อมหลิงมู่เอ๋อร์ว่าอย่าได้ใจอ่อน แต่กลับถูกหนานกงอี้จือขวางไว้เสียก่อน
“เพราะเหตุใด หรือซื่อจื่อก็คิดว่าควรปล่อยสตรีจิตใจเหี้ยมโหดผู้นี้ไปหรือ?” โฉวอวี่จินไม่เข้าใจ
“สตรีผู้กล้าต่อต้านท่านผู้บัญชาการสูงสุด ไม่สิ สตรีผู้ห้าวหาญเช่นนี้ เจ้าคิดว่าจะใจอ่อนหรือ?” หนานกงอี้จือมองด้วยสายตานึกสนุก
เห็นเพียงหลิงมู่เอ๋อร์ถือกริชที่นางเพิ่งพยายามใช้สังหารตบไปที่แก้มของนาง แม้จะไม่ได้พูดสิ่งใดแต่การกระทำนี้ก็ยิ่งทำให้หลิงไฉ่เว่ยตกใจกลัวจนความกล้าถูกทำลาย
“เจ้าจะทำอันใด หลิงมู่เอ๋อร์ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่าทำอันใดกับใบหน้าของข้า”
“วางใจเถอะ ข้าหาได้จิตใจโหดเหี้ยมเช่นเจ้าไม่ ไม่ได้สนใจชีวิตของเจ้า ทั้งยังไม่สนใจใบหน้าของเจ้าด้วย”
หลิงมู่เอ๋อร์โยนกริชทิ้งและใช้มือทั้งสองข้างกอดอก “ข้าอยากถามเจ้าว่าเหตุใดจึงอยากฆ่าข้า?”
หลิงไฉ่เว่ยถอนหายใจอย่างโล่งอกแต่ดวงตาของนางก็ยังดุร้าย เมื่อถูกถามคำถามนี้จึงเผยความชั่วร้ายออกมา “เพราะเจ้าได้ดีกว่าข้า เพราะข้ายอมไม่ได้!”
นางมีท่าทีดุร้ายตะโกนก้อง “เห็นอยู่ชัดๆ ว่าข้าเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในหมู่บ้าน แล้วเหตุใดซั่งกวนเซ่าเฉินจึงสนใจเพียงเจ้า เหตุใดข้าจึงถูกจ้วงต้าหลินขอหย่า เหตุใดชีวิตของเจ้าจึงยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ บุรุษข้างกายเจ้าก็เลิศเลอยิ่งกว่า!”
หลิงไฉ่เว่ยชี้ไปยังหนานกงอี้จือ “เขารู้อยู่แก่ใจว่าข้าเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตซั่งกวนเซ่าเฉินก็ยังไม่มีมารยาทต่อข้า แต่ทำราวกับยอมรับตัวเจ้าเรื่องนี้ก็แล้วไปเถอะ ซั่งกวนเซ่าเฉินตายไปแล้วข้าล้วนได้ยินมาทั้งหมดว่าเขาจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก หากเขารู้ว่าข้าถูกคุมขังจะต้องปล่อยข้าไปแน่ เหตุใดต้องเอาข้าไปจัดการต่อหน้าเจ้า เจ้าถือดีมาจากที่ใด!”
เพี๊ยะ!
ฝ่ามือถูกตีไปที่หน้าของนางเสียงกังวาน หลิงมู่เอ๋อร์มองมือที่ตีจนเจ็บของตัวเอง “ข้าเป็นคู่หมายที่แท้จริงของซั่งกวนเซ่าเฉิน เจ้ามัวเพ้อฝันอันใด!”
“ใช่ ข้าเพ้อฝัน แต่ถึงอย่างไรข้าก็เป็นป้าน้อยของเจ้าเป็นครอบครัวของเจ้า ในร่างของพวกเรามีสายเลือดเดียวกัน เจ้าจะกลับไปใช้ชีวิตที่ดียังเมืองหลวงแล้วเหตุใดจะพาข้าไปด้วยไม่ได้?” นางตะโกนแทบขาดใจ ใบหน้าดุร้ายราวกับวิญญาณร้ายจากนรก
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้ม “ป้าน้อยหรือ? ดูเหมือนก่อนหน้านี้ข้ายังพูดกับเจ้าไม่ชัดเจนพอ ควรสอนให้เจ้ารู้จักตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงา [4] ใช่หรือไม่? เจ้ารังแกข้ายังไม่พอกลับยังต้องการให้พาเจ้าไปใช้ชีวิตดีๆ เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือเจ้าโง่กันแน่!”
“ข้ารังแกเจ้าแล้วอย่างไร เจ้าก็ยังไม่ตายไม่ใช่หรือ? ขอเพียงเจ้าพูดประโยคเดียวก็พาข้าไปไว้ข้างกายได้ต่อให้เป็นทาสก็ย่อมได้ แต่เจ้ากลับเลือกทิ้งข้า ข้าถูกจ้วงต้าหลินขอหย่าที่หมู่บ้านตระกูลหลิงก็ไม่มีที่ของข้าอีกต่อไป เจ้าจะจิตใจอำมหิตให้ข้ากลายเป็นคนเร่ร่อนเชียวหรือ?”
หลิงไฉ่เว่ยถึงอย่างไรก็ไม่เข้าใจ “บนโลกนี้จะมีสตรีที่อำมหิตเช่นเจ้าได้อย่างไร!”
นางเป็นคนโหดเหี้ยมอย่างชัดเจน แต่กลับใส่ความลูกแกะน้อยผู้บริสุทธิ์ แม้แต่หนานกงอี้จือก็ล้วนทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป
“ตั้งแต่ที่เห็นคราแรกก็รู้ว่าเจ้าหาใช่สตรีธรรมดาไม่ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นผู้ที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้” มองแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียนอย่างถึงที่สุด หนานกงอี้จือมองหลิงมู่เอ๋อร์ “หากเจ้าตัดใจลงมือไม่ได้ ให้ข้าทำแทนเจ้าดีหรือไม่?”
เห็นไอสังหารในดวงตาของหนานกงอี้จือ หลิงไฉ่เว่ยก็รู้ตัวว่าตนใจร้อนเกินไป นางคิดจะขอร้องหลิงมู่เอ๋อร์แต่นางกลับตกลงไปเสียแล้ว
“ได้ เช่นนั้นรบกวนพี่บุญธรรมแล้ว”
“หลิงมู่เอ๋อร์เจ้ามันหญิงสารเลว นังคนต่ำช้า หากเจ้ากล้าบอกให้พวกเขาทำร้ายข้า ต่อให้ข้าเป็นผีก็จะไม่ปล่อยเจ้าไป” นางตะโกนอย่างรุนแรงเบื้องหลังหลิงมู่เอ๋อร์ แต่น่าเสียดายที่หลิงมู่เอ๋อร์ไม่แม้แต่จะหันกลับไป
“อย่างที่แม่บอกไว้ไม่ผิด ทั้งครอบครัวเจ้ามันเลวทรามต่ำช้า”
ฉึก
เข็มเงินเล่มหนึ่งถูกซัดเข้ามา ปากหลิงไฉ่เว่ยยังพูดไม่ทันจบก็ส่งเสียงใดไม่ได้อีกในทันที
“เดิมทียังคิดจะปล่อยเจ้าไป แต่ทั้งหมดนี้เป็นเจ้ารนหาที่เอง” หลิงมู่เอ๋อร์เห็นเหล่าทหารที่มองอย่างสนุกสนานอยู่ไกลๆ “สู้รบมาหลายวันติดต่อกัน ทุกคนลำบากแล้วจริงๆ สตรีผู้นี้ให้พวกเจ้าถือเป็นรางวัลให้ทุกคนแทนผู้บัญชาการสูงสุด พี่น้องทั้งหลายค่อยๆ ใช้ไปเถิด”
เชิงอรรถ
[1] วอวอโถว หมายถึง ขนมปังนึ่งเป็นอาหารประเภทแป้งชนิดหนึ่งของคนจีนทางเหนือ
[2] สมองทำจากไม้อวี๋ หมายถึง คนที่สมองแก้ปัญหาไม่ได้ ไม่รู้จักยืดหยุ่นอาจเกิดจากการที่มีความรู้น้อย ประสบการณ์น้อย วิสัยทัศน์แคบ คล้ายกับคำว่าหัวขี้เลื่อย
[3] สุนัขเล่นโคลน หมายถึง คนที่ล้มลงไปแล้วหัวเปื้อนฝุ่นดินโคลนเหมือนสุนัขเล่นโคลน ใช้เป็นคำดูถูก
[4] ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงา หมายถึง ให้รู้จักเจียมตัวหรือรู้จักสถานะของตัวเอง