เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 8 ตอนที่ 231 คำสารภาพ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 8 ตอนที่ 231 คำสารภาพ
เล่มที่ 8 ตอนที่ 231 คำสารภาพ
ซั่งกวนเซ่าเฉินแผดเสียงออกมาอย่างกะทันหันทำให้หลิงมู่เอ๋อร์ตกใจ
พี่ใหญ่หึงหรือ? แต่เขาก็ยังรุนแรงกับนาง!
หลิงมู่เอ๋อร์หันหน้าหนีอย่างดื้อรั้น “ข้าจะไม่บอกอันใดกับท่านทั้งนั้น”
“เพราะเหตุใด?”
“เพราะท่านไม่ควรรู้!” หลิงมู่เอ๋อร์ผลักเขาออกอย่างโกรธเกรี้ยว ก้าวเท้ายาวๆ จะออกจากกระโจม
ซั่งกวนเซ่าเฉินพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็กดนางเข้ากับกำแพงพลางกดจูบอย่างรุนแรง
ถูกคนช่วงชิงลมหายใจไป นางเพิ่งรู้สึกตัวและมีการตอบสนอง ยามที่นางคิดจะดิ้นรนขัดขืน ชายผู้นี้ยิ่งดึงดันยึดจับรุนแรงขึ้น ราวกับจะไม่ยอมปล่อยให้ออกจากพื้นที่นี้แม้แต่นิ้วเดียว เป็นดั่งลมพายุที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรงโดยพลัน นางอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก
มือข้างหนึ่งยึดด้านหลังของนางไว้ มืออีกข้างกดร่างของนาง เขาออกแรงจุมพิตจนนางแทบถูกกดจมเข้าไปในร่าง
ใช่ เขาโหยหาความรู้สึกนี้เป็นอย่างยิ่ง ตั้งแต่จูบในถ้ำก็โหยหาร่างที่นิ่มนวลของนางมาโดยตลอด หลายวันมานี้นางต่อต้านเขาด้วยท่าทีดุร้ายอยู่หลายครา เขาแทบทนไม่ไหมที่จะได้สั่งสอนนางด้วยวิธีเช่นนี้
ที่เขาโกรธนางและต้องการให้นางจากไป ล้วนเป็นเพราะไม่รู้ว่าสตรีผู้นี้เข้ามาอยู่ส่วนลึกภายในใจเขาอย่างเงียบๆ ตั้งแต่เมื่อใด
เขายอมรับว่าเขาถูกทำให้ลุ่มหลงเข้าเสียแล้ว ดังนั้นจึงอิจฉานางกับซูเช่ออยู่หลายครา บุกเข้าไปช่วยนางที่ฐานทัพของกองทัพศัตรูด้วยตัวคนเดียวโดยหาได้สนใจอันตรายไม่ และยืนกรานไม่เห็นด้วยที่จะใช้นางไปแลกกับการสงบศึก
“ยามนี้ข้ามีสิทธิ์ที่จะรู้แล้วหรือไม่?”
เมื่อหยุดจูบ ซั่งกวนเซ่าเฉินก็ปล่อยนางอย่างอาลัยอาวรณ์
มองลงมาที่นางราวกับหากนางพูดเพียงครึ่งคำ เขาจะใช้วิธีนี้ต่อไปจนกว่านางจะพูดความจริง
ถูกจูบจนสับสนมึนงง หลิงมู่เอ๋อร์ก็ใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อเรียกสติกลับมา นางหอบหายใจพลางเงยหน้ากลับเห็นเพียงชายผู้นี้มีสีหน้านิ่งเฉยอย่างไม่สะทกสะท้าน ก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาส่วนหนึ่ง “ท่านมีคุณสิทธิ์อันใด สิทธิ์ที่ท่านผู้บัญชาการสูงสุดจะสั่งแพทย์ทหารหรือ”
“สิทธิ์ในฐานะคู่หมั้น”
ซั่งกวนเซ่าเฉินพูดอย่างหนักแน่น ยามที่หลิงมู่เอ๋อร์หันมามองด้วยสายตาตะลึงงัน เขาก็จ้องดวงตาของนางอย่างแน่วแน่
ราวกับก้นบึ้งในจิตใจมีดอกไม้ไฟถูกจุดขึ้น ช่องว่างในอกเบ่งบานไปด้วยสีสันงดงามมากมาย
รู้สึกหวั่นไหวอยู่บ้างแต่กลับกลัวว่าเขาจะตกใจ นางอดกลั้นแต่สุดท้ายก็ถามออกไปอย่างอดไม่ได้ “ท่านจำเรื่องทั้งหมดได้แล้วหรือ?”
“จำไม่ได้” พูดออกมาอย่างเรียบง่ายชัดเจน ไม่มีความรู้สึกแม้แต่น้อย
ความยินดีอย่างเปี่ยมล้นบนใบหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์หายไปโดยพลัน “ท่าน…ข้าจะไม่สนใจท่านอีกแล้ว!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินกลับเกี่ยวนิ้วของนางเล่นในมืออย่างไม่รีบไม่ร้อน “แม้ข้าจะจดจำสิ่งใดไม่ได้ แต่ในช่วงเวลานี้ภายในนี้ทั้งหมดมีแต่เจ้า”
เขาชี้ไปที่หัวของตัวเอง
“เจ้าคิดว่าเหตุใดข้าจึงโกรธเช่นนี้ และเหตุใดจึงอยากไล่เจ้าไปเล่า? ขอถามว่าจะมีชายใดทนให้สตรีในดวงใจของตนไปเข้าใกล้ชายอื่นได้หรือ?”
เมื่อพูดเรื่องนี้ในใจซั่งกวนเซ่าเฉินก็ยังอัดแน่นไปด้วยความโกรธเคือง แต่เขาก็ถูกสตรีเบื้องหน้าทำให้พ่ายแพ้ “เจ้าช่างเป็นสตรีที่มีอุบายมากมายนัก ข้าที่ไม่เคยลุ่มหลงสตรีกลับถูกเจ้าดึงดูดโดยไม่รู้ตัวอยู่ทุกครา เจ้าคิดว่าเจ้ามีความสามารถใดจึงดึงดูดคนเช่นนี้หรือ?”
ถึงจะเป็นเมื่อก่อนซั่งกวนเซ่าเฉินก็หาได้เคยพูดกับนางเช่นนี้ไม่ ใบหน้างามของหลิงมู่เอ๋อร์แดงเรื่อโดยพลัน รู้สึกเพียงว่ามันกำลังร้อนผ่าว
ซั่งกวนเซ่าเฉินยื่นแขนทั้งสองข้างไปรวบตัวนางเข้ามาในอ้อมแขน คางวางไว้บนไหล่ของนาง “หลายปีมานี้ที่ข้าสูญเสียความทรงจำและสร้างความเจ็บปวดให้เจ้า ข้าขอโทษจริงๆ แต่เจ้าจะยอมให้โอกาสข้าอีกสักครั้ง ให้ข้าได้ดูแลเจ้าอีกครั้งได้หรือไม่?”
รู้สึกเพียงความสั่นไหว “ตึกตัก” ภายในใจ หัวใจที่สงบของหลิงมู่เอ๋อร์เดือดพล่านขึ้นมา นางเงยหน้ามองอย่างไม่อยากเชื่อ แต่กลับถูกเขากดกลับไป
“ข้ายังพูดไม่จบฟังข้าเงียบๆ ก่อน” เขาว่าอย่างเผด็จการ
“ข้ายอมรับว่าแรกเริ่มที่พบเจ้า ข้าอยากขับไล่เจ้าออกไปเสีย สตรีผู้หนึ่งจะแฝงกายเข้ามาอยู่ในค่ายทหารได้อย่างไร เจ้าจะกลายเป็นหมอได้อย่างไร แต่ด้วยสติปัญญาและความกล้าหาญของเจ้าทำให้ข้าเปลี่ยนความคิด เจ้ามักจะสามารถดึงดูดสายตาข้าได้อย่างง่ายดาย เมื่อเห็นเจ้ากับซูเช่อใกล้ชิดกันข้าก็โกรธเป็นอย่างยิ่ง เห็นเจ้าน้อยอกน้อยใจแต่กลับไม่แสดงความรู้สึกออกมา ข้าก็อยากโอบกอดเจ้าไว้เหมือนในยามนี้ มู่เอ๋อร์ยังจำได้หรือไม่ที่ข้าเคยถามเจ้า ว่าหากทั้งชีวิตนี้ข้าจำไม่ได้จะทำเช่นไร?”
เมื่อถูกกดไว้ในอ้อมแขนก็ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงเหมือนกับของตน หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้าตอบอย่างไร้คำพูด
“ยามนี้ให้ข้าได้ตอบเจ้า ข้าไม่ยอม”
เสียงของซั่งกวนเซ่าเฉินแหบพร่า แสดงถึงความหนักแน่นเช่นเดียวกับการกระทำของเขา
“หลังชนะศึกข้าจะพยายามทำให้ความทรงจำในช่วงเวลานั้นกลับมาทั้งหมด เพราะในความทรงจำนั้นมีเจ้าอยู่!”
หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกเพียงเลือดภายในตัวทั้งร่างกายกำลังเดือดพล่าน นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าคนที่ไม่ค่อยพูดตรงหน้าจะสามารถพูดคำหวานได้ถึงเพียงนี้
เมื่อครู่จะกี่มากน้อยนางก็ยังได้ยินที่เขาพูดกับหนานกงอี้จืออยู่บ้าง จึงพอจะรู้สาเหตุหลักที่เขาจำเป็นต้องอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลหลิง เกรงว่าในยามนั้นเขาปิดกั้นความรู้สึกของตัวเอง ล้วนปฏิบัติกับทุกคนอย่างเย็นชา เมื่อผ่านไปนานเข้าจึงกลายเป็นคนไม่ชอบพูด
เป็นอย่างที่คาดว่าแม้ซั่งกวนเซ่าเฉินจะมีท่าทีเช่นไร เขาก็มีเสน่ห์เฉพาะตัวและดึงดูดสายตาของนางได้เสมอ
“พี่ใหญ่…” น้ำเสียงแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากบางของนาง
รู้สึกว่าแม่นางน้อยราวกับแมวจึงลูบหัวอย่างแผ่วเบา แต่นางกลับไม่ได้ตอบคำถามของเขา ซั่งกวนเซ่าเฉินก็ไม่สบายใจ “อย่าขยับ”
“ข้าเพียงแค่อยาก…จูบท่าน”
แทบจะทันทีที่สิ้นคำพูด ซั่งกวนเซ่าเฉินก็กดจูบอีกคราราวกับลมพายุรุนแรง
ในกระโจมเขาบีบมือทั้งสองข้างของนาง และกดนางไว้กับกำแพงอีกครา รู้สึกถึงการตอบสนองที่เร่าร้อนเช่นเดียวกันของนาง ก็ราวกับไปจุดไฟของความชั่วร้ายภายในกายเขาที่สะสมมาหลายปีให้ปะทุออกมาจึงยิ่งไม่อาจควบคุมตัวเองได้
ซั่งกวนเซ่าเฉินรู้สึกว้าวุ่นใจ “มู่เอ๋อร์..”
“ยามนี้ท่านจะยอมใช้ข้าแลกเปลี่ยนกับการสงบศึกแล้วหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์หอบหายใจย่างหนักหน่วง
ซั่งกวนเซ่าเฉินที่เกือบควบคุมตัวเองไม่ได้ ราวกับถูกน้ำเย็นถังหนึ่งราดลงมา “หลิงมู่เอ่อร์ เจ้าช่างทำลายบรรยากาศเก่งนัก”
หลิงมู่เอ๋อร์แลบลิ้นออกมาราวกับเด็กดื้อ “ท่านรังแกข้าถึงเพียงนี้ยังจะไม่ให้ข้าสู้กลับเสียหน่อยเลยหรือ?”
“ยามนี้เป็นผู้ใดรังแกผู้ใดกันแน่?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินถอนหายใจ “หรือเมื่อครู่คำพูดของข้ายังไม่ชัดเจนพอ ทำให้เจ้ายังไม่ละทิ้งความคิดเดิม เช่นนั้นข้าก็ไม่ถือสาหากต้องพูดอีกครา”
“ข้าเป็นห่วงเจ้ามาก ดังนั้นจะไม่ยอมให้เจ้าทำเรื่องอันตรายใดๆเด็ดขาด!” เขาตัดตะปูตัดเหล็กกล้า [1]
“ยิ่งไปกว่านั้นข้าไม่คิดว่าอามู่เต๋อที่สู้รบมานานถึงเพียงนี้จะยอมจำนนเพียงเพื่อสตรีผู้เดียว บางทีนี่อาจเป็นอีกแผนการหนึ่งของเขา หากเจ้าเอาตัวเองเข้าไปในกับดัก ถึงครานั้นข้าจะเสียทั้งภรรยาทั้งทหาร เจ้าคิดว่าเรื่องโง่เง่าเช่นนี้ข้าจะยอมรับได้หรือ?”
“ไม่ นั่นเป็นเพราะท่านไม่เข้าใจเขา” แต่หลิงมู่เอ๋อร์กลับไม่คิดเช่นนี้ “ท่านก็เห็นฐานที่มั่นของเขาแล้ว ในห้องนอนซึ่งมียาพิษหลากหลายชนิด แค่มองก็รู้ว่าเขาเป็นผู้ที่ชื่นชอบในการศึกษายาพิษเป็นอย่างยิ่ง เมื่อวานก่อนที่พวกท่านจะมาถึงข้าวางยาพิษที่แขนซ้ายของเขาไปแล้ว เขาเห็นทักษะทางการแพทย์ของข้าจึงบีบบังคับจะเก็บข้าไว้ เพราะเขาต้องการให้ข้ารักษาใบหน้าครึ่งซีกของเขา”
ซั่งกวนเซ่าเฉินขมวดคิ้ว “ครึ่งซีกที่สวมหน้ากากไว้หรือ?”
“ใช่ เพราะศึกษายาพิษใบหน้าครึ่งซีกของเขาจึงถูกสัตว์พิษยึดไปนานหลายปี นั่นเป็นปมในใจเขามาหลายปีแล้ว เขาใส่ใจเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นข้าจึงเดาว่านี่เป็นสาเหตุที่เขาต้องการตัวข้า”
หลิงมู่เอ๋อร์อธิบาย ดวงตาไม่กล้ามองเขาเพราะเธอเกรงว่าจะถูกเขามองออกว่าตนกำลังโกหก
ไม่ ไม่ใช่ว่านางกำลังโกหก นั่นเป็นการปิดบังด้วยเจตนาดี
“เช่นนั้นข้ายิ่งไม่ยอมให้เจ้าไปเสี่ยงอันตรายเช่นนี้!” ท่าทีของซั่งกวนเซ่าเฉินหนักแน่น “ในเมื่อเขามีจุดประสงค์ที่เข้าใกล้เจ้า ใครจะรู้ว่าเขาจะทำอันใดกับเจ้า คนผู้นี้นิสัยไม่แน่นอนเป็นคนหน้าเนื้อใจเสือทั้งยังโหดเหี้ยมอำมหิต เกรงว่าเจ้ายังไม่ทันได้ล้างแค้นให้ซูเช่อก็คงถูกเขาวางแผนร้ายแล้ว”
ยกมือเป็นสัญญาณว่านางไม่ต้องพูดอีกแล้ว “เรื่องที่ทัพข้าศึกจะยอมจำนนก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น แต่หากจะให้ข้าส่งสตรีของตนไปเป็นข้อแลกเปลี่ยน ไม่สู้ตัดหัวข้าไปเสียดีกว่า!”
“เหตุใดท่านจึงพูดไม่รู้เรื่องเช่นนี้” หลิงมู่เอ๋อร์ถอนหายใจ “เป็นดั่งที่ท่านพูด ในเมื่อเขาเพ่งเล็งตัวข้า จะช้าเร็วก็ต้องหาหนทางอื่นมาชิงตัวข้าไป เช่นนั้นเหตุใดพวกเราจึงไม่ฉวยโอกาสนี้เอาไว้เล่า?”
“ตราบใดที่เจ้ายังอยู่ในอาณาเขตของข้าก็จะปลอดภัย มีข้าปกป้องเจ้าแม้เขาจะมาด้วยตัวเองก็ไม่อาจพาเจ้าไปได้!” เรื่องนี้ซั่งกวนเซ่าเฉินมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง
“แต่ข้าต้องล้างแค้นให้ซูเช่อ!” ผ่านไปครู่ใหญ่นางก็กล่าวอย่างเย็นชา
ใบหน้างามของซั่งกวนเซ่าเฉินเปลี่ยนไปอย่างล้ำลึกโดยพลัน ดวงตาที่เบิกกว้างของเขาค่อยๆ มืดลง “ในที่สุดก็พูดสิ่งที่คิดจริงๆ ออกมาแล้วหรือ?”
“ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” หลิงมู่เอ๋อร์ไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก
“เช่นนั้นยามนี้เจ้าต้องการบอกข้าหรือไม่ว่าที่ฐานที่มั่นของศัตรูเกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
เขาจ้องมองดวงตาของนางอย่างถี่ถ้วน ในดวงตาฉายแววใคร่ครวญ
ที่แท้ที่เขาสนใจก็คือเรื่องนี้
เห็นชายผู้นี้ที่กำลังไม่สบอารมณ์ หลิงมู่เอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “เช่นนั้นท่านผู้บัญชาการสูงสุดของพวกเรากำลังหึงหรือ?”
“ใช่!”
คาดไม่ถึงว่าเขาจะยอมรับออกมาอย่างไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
จากที่คิดจะทำให้เขาอายเพราะคำพูดของเขา ทันใดนั้นหลิงมู่เอ๋อร์ก็ไม่รู้จะพูดสิ่งใดได้แต่ว้าวุ่นใจ “แต่ข้ากับซูเช่อไม่ได้เป็นเหมือนที่ท่านคิด!”
“ข้ารู้”
“ท่านรู้แต่ก็ยังถามหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์ตะลึงงัน นางคิดไปได้อย่างไรว่าพี่ใหญ่ที่สูญเสียความทรงจำฉลาดขึ้นแล้ว?
“เพราะข้าเข้าใจอามู่เต๋อมากเกินไป เชลยที่จับไปได้ยากทั้งยังเป็นจวิ้นอ๋อง เขาไม่มีทางปล่อยโอกาสดีที่จะใช้ข่มขู่ให้พวกเรายอมจำนนแน่ แต่เขาไม่เพียงแต่ทิ้งโอกาสทั้งยังปล่อยซูเช่อกลับมาอีก ดูจากสิ่งเหล่านี้ข้ามีเหตุผลเพียงพอที่จะถามให้ชัดเจนว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับพวกเจ้า เช่นนี้ข้าจึงจะหาวิธีรับมือได้” เสียงของเขายิ่งพูดก็ยิ่งเร็ว ความโกรธในดวงตาทบทวีขึ้นเรื่อยๆ
หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่าไม่อาจปากแข็งกับเขาได้อีกจึงถอนหายใจ “ได้ ข้าจะบอก”
เรื่องที่ซูเช่อต้องได้รับความอัปยศเพื่อนางถูกเลือกส่วนที่สำคัญออกมาเล่า
ซั่งกวนเซ่าเฉินพบว่าเพียงแค่หวนย้อนนึกกลับไปในยามนั้น ดวงตาของหลิงมู่เอ๋อร์ก็แดงก่ำ แทบอยากไปชำระแค้นกับอามู่เต๋อโดยพลัน
เมื่อเห็นสีหน้าของซั่งกวนเซ่าเฉินค่อยๆ แปรเปลี่ยนไป นางก็ยิ่งกำหมัดแน่นขึ้น “ในฐานะจวิ้นอ๋องซูเช่อจะไม่สนใจข้าก็ย่อมได้ แต่เพื่อความปลอดภัยของข้าเขาจึงถูกคนทำให้ได้รับความอัปยศเช่นนี้อย่างไม่นึกเสียดาย ไม่เพียงแต่ตาบอดทั้งยังถูกหักขา หากไม่ใช่เพราะข้ามีทักษะทางการแพทย์เขาคงกลายเป็นดั่งคนไร้ค่าไปแล้ว! ทั้งที่เป็นจวิ้นอ๋องน้อยผู้ทะนงตนถึงเพียงนั้น ท่านผู้บัญชาการสูงสุดในยามนี้ท่านยังคิดจะขัดขวางข้าอีกหรือไม่?”
เชิงอรรถ
[1] ตัดตะปูตัดเหล็กกล้า หมายถึง การกระทำที่เด็ดขาดไร้ความลังเล