เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 8 ตอนที่ 230 ขออาสารับหน้าที่
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 8 ตอนที่ 230 ขออาสารับหน้าที่
เล่มที่ 8 ตอนที่ 230 ขออาสารับหน้าที่
“ข้าได้ยินว่าทัพศัตรูต้องการตัวข้าเป็นการแลกเปลี่ยน เหตุใดท่านจึงไม่ยินยอม?”
หลิงมู่เอ๋อร์แผ่บรรยากาศน่ากลัวเข้ามาหาซั่งกวนเซ่าเฉิน มือทั้งสองข้างกดอยู่บนโต๊ะมองลงไปหาเขา
เมื่อครู่มีคนบอกนางว่าทัพศัตรูยอมจำนน เพียงแต่มีเงื่อนไขข้อหนึ่ง คือต้องเอาตัวหลิงมู่เอ๋อร์ไปแลกเปลี่ยน อีกทั้งยังรับปากว่าหลังจากนี้ทั้งสองแคว้นจะมีสัมพันธไมตรีต่อกัน ไม่รุกรานซึ่งกันและกันอีก
แต่นางได้ยินว่าซั่งกวนเซ่าเฉินปฏิเสธ
“เจ้าไม่อยู่ปรนนิบัติจวิ้นอ๋องน้อยให้ดีวิ่งโร่มาทำอันใดถึงที่นี่ ไม่แน่หากเจ้าปรนนิบัติได้ดีในภายภาคหน้าเขาอาจตกรางวัลให้สถานะอนุภรรยาแก่เจ้าก็เป็นได้”
ซั่งกวนเซ่าเฉินทำเพียงชำเลืองมองนางคราหนึ่ง “เรื่องศึกสงครามในกองทัพหาใช่สถานที่ที่แม่นางน้อยผู้หนึ่งเช่นเจ้าจะสามารถเข้ามาข้องเกี่ยวได้ อย่าคิดว่าเจ้าบังเอิญเจอความคิดดีๆ ที่ทำให้กองทัพของข้าได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ แล้วข้าจะสามารถไว้ใจอันใดเจ้าได้ กลับไปปรนนิบัติเจ้านายใหม่ของเจ้าเสียเถอะ”
ซั่งกวนเซ่าเฉินตะโกนไปที่ทางเข้าเสียงดัง “ให้คนเข้ามาส่งนางออกไป!”
“ข้าไม่ไป!” หลิงมู่เอ๋อร์มีท่าทีแน่วแน่
จับใบหน้าของเขาบังคับให้เขามองดวงตาของตน “ข้าเคยบอกแล้วว่าหากยังไม่ได้แก้แค้นข้าจะไม่ไป และนี่ยังเป็นโอกาสที่พอเหมาะพอดีที่จะได้แก้แค้น เหตุใดท่านจึงไม่เห็นด้วย?”
“เจ้ามีความรู้สึกที่อยากจะแก้แค้นให้เจ้านายใหม่ของเจ้าข้าก็เข้าใจได้ แต่ที่นี่เป็นค่ายทหาร ไม่ใช่สถานที่ที่เด็กจะมาแสดงความรู้สึกต่อกัน เจ้าคิดว่าเจ้าไปแล้วจะสามารถทำอันใดได้ เจ้าคิดว่าด้วยฝีมือแมวสามขา [1] และทักษะด้านการแพทย์อันโดดเด่นของเจ้าจะสามารถฆ่าอามู่เต๋อได้หรือ?” ซั่งกวนเซ่าเฉินยิ่งพูดยิ่งโมโห “ข้าเป็นถึงผู้บัญชาการสูงสุด ข้าบอกว่าไม่เห็นด้วยก็คือไม่เห็นด้วย หากเจ้ายังพูดอีกเพียงประโยคเดียว ข้าจะปิดปากเจ้าให้สนิทและปล่อยซูเช่อไปตามเวรตามกรรม”
“ท่าน…” หลิงมู่เอ๋อร์หายใจถี่กระชั้น มองเขาอย่างผิดหวังพลางพูด “ข้าคิดว่าท่านสูญเสียความทรงจำไปเพียงไม่กี่ปี แต่ดูเหมือนยามนี้ท่านจะสูญเสียสมองของท่านไปเสียแล้ว!”
นางไม่สนใจสายตาที่ซั่งกวนเซ่าเฉินมองมาอย่างโกรธเคืองพลางพูดต่อ “อามู่เต๋อทำร้ายท่านอยู่หลายครั้ง หากเขายังอยู่สงครามที่ชายแดนของพวกเราก็ไม่รู้ต้องสู้รบไปอีกกี่เดือนกี่ปี ยามนี้มีโอกาสที่พวกเราจะรีบจบสงครามครั้งนี้ได้ เพื่อทำให้ประชาชนโดยรอบพ้นทุกข์ได้เร็วขึ้น เหตุใดจึงจะไม่ทำเล่า? ท่านไม่ให้ข้าลองแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าทำได้หรือไม่ได้?”
เมื่อสิ้นคำพูด โฉวอวี่จินและหนานกงอี้จือก็เดินเข้ามาด้วยกัน “ใช่ขอรับท่านผู้บัญชาการสูงสุด แม่นางหลิงพูดถูก”
“ทั้งสองทัพสู้รบกันผู้ที่ทุกข์ระทมที่สุดย่อมเป็นประชาชน ท่านผู้บัญชาการสูงสุดอาจจะไม่รู้ แต่ก่อนที่ท่านจะสูญเสียความทรงจำได้อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลหลิงมานานสองปี ซึ่งในยามนี้ประชาชนต่างมีชีวิตอยู่อย่างไม่เป็นสุข แม้ว่าเรื่องที่กองทัพของพวกเราจะเอาชนะทัพศัตรูต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว แต่หากสามารถเอาชนะสงครามได้โดยง่ายข้าก็คิดว่าเป็นวิธีที่ดีกว่า”
โฉวอวี่จินมองหลิงมู่เอ๋อร์ “คาดไม่ถึงว่าแม่นางหลิงจะเต็มใจเสียสละส่วนน้อยเพื่อส่วนมาก ปณิธานเช่นนี้แม้แต่ข้าที่เป็นบุรุษยังไม่อาจสู้ได้ โฉวอวี่จินขอบังอาจเป็นตัวแทนของประชาชนทั้งใต้หล้าขอบคุณบุญคุณยิ่งใหญ่ของแม่นางหลิง”
“หุบปาก!” ซั่งกวนเซ่าเฉินว่าอย่างโกรธเกรี้ยว “ข้ายังไม่ยินยอม แล้วเจ้าจะมาขอบคุณอันใดตรงนี้? ข้าบอกแล้วว่าหากจะชนะก็ต้องใช้วิธีของพวกเราเองที่สนามรบ ให้ใช้สตรีผู้หนึ่งทำข้อตกลงเพื่อความสงบสุขของสองแคว้นจะนับว่าเป็นวีรบุรุษเช่นไรกัน!”
“สตรีแล้วอย่างไร? ยามนี้ท่านยังคิดดูถูกสตรีอีกหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์พูดเสียงต่ำอย่างเย็นชา “เคยมีองค์หญิงตั้งกี่องค์ที่ถูกส่งไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ของสองแคว้น หรือนี่ก็ไม่ใช่ความสำคัญของสตรีหรือ? แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเหตุใดท่านจึงไม่เห็นด้วย แต่ขอเพียงท่านส่งข้าออกไป ทุกคนก็จะสามารถยุติสงครามได้โดยเร็วและได้กลับบ้านเร็วกว่าเดิม ท่านลองถามเหล่าทหารของท่านว่าพวกเขาเป็นสามีของผู้ใด เป็นบิดาของผู้ใด หรือเป็นลูกชายของผู้ใด พวกเขาจะไม่คิดถึงบ้านเลยหรือ พวกเขาจะไม่คิดถึงภรรยาและลูกเลยหรือ เหตุใดพวกเราจึงไม่ทำให้ต่างฝ่ายต่างพ้นทุกข์เล่า?”
เห็นซั่งกวนเซ่าเฉินครุ่นคิด หลิงมู่เอ๋อร์ก็คุกเข่า “ข้าหลิงมู่เอ๋อร์ขอรับหน้าที่เป็นตัวประกันแลกเปลี่ยนกับจดหมายยอมจำนนของทัพศัตรูด้วยตัวเอง หวังว่าท่านผู้บัญชาการสูงสุดจะคิดทบทวนอีกครา”
มองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างชื่นชม แม้จะรู้ว่านางมีจุดประสงค์ของตัวเอง แต่จิตใจของนางที่พร้อมเสียสละส่วนน้อยเพื่อส่วนมากก็ทำให้ผู้ชายเช่นเขายังรู้สึกไม่อาจสู้ได้
หนานกงอี้จือดึงซั่งกวนเซ่าเฉินไปคุยด้านข้าง “พี่ใหญ่ ข้ารู้ว่าท่านไม่รับฟังคำพูดของข้า แต่ข้าก็ยังต้องพูด ท่านลืมอุดมการณ์และความแค้นของท่านไปแล้วหรือ? ท่านลืมเรื่องที่ต้องการแก้แค้นเพื่อท่านป้าไปแล้วหรือ?”
“ถึงผู้ใดจะลืมแต่ข้ายังไม่ลืม”
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองมาโดยพลัน สายตาล้ำลึกเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “แต่หลิงมู่เอ๋อร์ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ความแค้นเป็นเรื่องของข้าผู้เดียว”
“ห้าปี ตั้งแต่เกิดเรื่องกับท่านป้าจนถึงตอนนี้ห้าปีเต็มๆ แล้ว ท่านปิดบังตัวตนถึงขนาดใช้ชีวิตโดยเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์อย่างไม่เสียดาย เพื่อที่วันหนึ่งจะได้สร้างผลงานด้วยชัยชนะในสงครามครั้งนี้ จนยามนี้โอกาสได้มาถึงแล้ว” เห็นได้ชัดว่าหนานกงอี้จือยังต้องการปลุกใจเขา “พี่ใหญ่ท่านยังจำได้หรือไม่ว่าท่านป้าตายอย่างไร?”
“เจ้าล้วนจำได้แล้วข้าจะลืมได้อย่างไร?” ถอนหายใจไปความรู้สึกนึกคิดของเขาก็ล่องลอยไปยังสถานที่ซึ่งไกลออกไป
ห้าปีก่อนกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงเพราะสงครามแย่งชิงความรักในวังหลัง ทำให้ถูกคนใส่ร้ายว่าแอบมีความสัมพันธ์กับคนในวัง จึงถูกปรักปรำว่าเด็กที่เกิดมานั้นหาใช่โอรสของฮ่องเต้ไม่ ฮ่องเต้ที่มีความสงสัยมาแต่เดิมหาได้สืบสวนเรื่องนี้ตั้งแต่แรก สั่งให้จับกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงไปขังไว้ในคุก ไม่รู้ว่าผู้ใดไปติดสินบนพวกขุนนางคนสำคัญให้ร่วมกับยื่นคำร้องกล่าวหาว่ากุ้ยเฟยเหนียงเหนียงว่ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสม หวังให้ฮ่องเต้ตัดสินลงโทษประหารชีวิต
ฮ่องเต้ไม่ให้โอกาสกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงได้อธิบายใดๆ มีรับสั่งให้นางปลิดชีพตัวเอง ลูกที่นางให้กำเนิดก็ถูกฮ่องเต้สั่งให้ลอบสังหารเช่นกัน เพียงแต่สวรรค์ทรงเมตตา องค์ชายผู้นั้นชะตายังไม่ถึงฆาต และยังมาตามหาหลักฐานเพื่อพลิกคดีของเสด็จแม่
องค์ชายผู้นั้นก็คือเขา ซั่งกวนเซ่าเฉิน
แม้ฮ่องเต้จะรู้สึกเสียใจภายหลังกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง ถึงขั้นยอมใช้ทุกอย่างเพื่อชดเชยความผิดพลาดของตัวเอง แต่เขาจะไม่ยอมยกโทษให้เด็ดขาด
เขาเห็นเสด็จแม่ตายไปต่อหน้าตัวเอง ทั้งยังผ่านเหตุการณ์ที่บิดาของตนส่งคนมาลอบฆ่าตัวเอง เป็นความเจ็บปวดที่สาหัสจนแทบอยากตายตกไปเสีย
เขาสาบานว่าจะต้องทวงความยุติธรรมกลับมาให้เสด็จแม่ ทั้งยังสาบานว่าจะทำให้เสด็จพ่อต้องชดใช้ทุกสิ่งที่ทำลงไป
หลังเขาออกจากวังก็ปกปิดตัวตนมายังหมู่บ้านตระกูลหลิง โดยมีเป้าหมายเพื่อวันหนึ่งจะสามารถเข้าร่วมสงครามชายแดน แต่ก่อนเขาเคยเป็นเพียงองค์ชายน้อยคนหนึ่งหาได้มีคุณงามความดีอันใด แต่มีแผนการที่ต้องการสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้นเพื่อแผนการนี้เขาจึงรอคอยมาสามปีเต็มๆ ในที่สุดฮ่องเต้ที่รู้สึกผิดก็พาเขากลับไป พระราชทานตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์หลวง ทั้งยังให้เขาไปออกศึกที่ชายแดน
เขาต้องคว้าโอกาสนี้ไว้อย่างแน่นอน เขาจะต้องทำให้ศัตรูปราชัยและนำชัยชนะกลับไปให้ได้
แม้ว่าอามู่เต๋อจะเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แต่เขาเชื่อว่าในท้ายที่สุดสักวันจะสามารถชนะอีกฝ่ายได้ และทำให้ทัพข้าศึกยอมจำนนในที่สุด
ขอเพียงนำชัยชนะกลับไป เขาจะสามารถกลับสู่สถานะเดิม เมื่อถึงยามนั้นทุกคนที่ทำร้ายเสด็จแม่ รวมถึงเสด็จพ่อผู้อยู่เหนือมวลชนผู้นั้น เขาจะทำให้ต้องชดใช้คืนอย่างชอบธรรม!
“แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นจะให้ข้าใช้ชีวิตของสตรีผู้หนึ่งไปแลกกับทุกสิ่งที่ข้าต้องการ เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ?”
จิตสังหารที่แผ่ออกไปถูกเรียกกลับมา ซั่งกวนเซ่าเฉินส่งสายตาบอกหนานกงอี้จือว่าไม่จำเป็นต้องพูดอันใดอีก
หนานกงอี้จือไม่ยอม “พี่ใหญ่ ท่านบอกเองว่ายามนี้หาใช่เวลาที่เด็กจะมาแสดงความรู้สึกต่อกัน อามู่เต๋อเป็นคู่ต่อกรที่แข็งแกร่งมากผู้หนึ่งท่านย่อมรู้ดีที่สุด ยามนี้เขายอมจำนนแล้วเหตุใดพวกเราจึงจะไม่คว้าโอกาสนี้ไว้”
แม้พูดไปแล้วเขาจะรู้สึกผิดต่อหลิงมู่เอ๋อร์ แต่เมื่อเขาคิดไปคิดมาก็ถอนหายใจ “ข้ารู้ว่านางพิเศษสำหรับท่าน แม้ว่าท่านจะสูญเสียความทรงจำเกี่ยวกับนางทั้งหมดไป แต่ท่านก็ยังเป็นห่วงนางมาก ไม่เช่นนั้นท่านคงไม่แอบลอบเข้าไปในค่ายทหารของศัตรูแม้จะถูกคัดค้าน แต่ญาติผู้พี่ แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบพุทรา [2] ท่านก็ทำเป็นว่าแต่ไหนแต่ไรไม่เคยรู้จักคนผู้นี้เถิด”
“หุบปาก!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง “เจ้าพูดเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร ถึงอย่างไรนางก็เป็นผู้บริสุทธิ์”
“แต่ในตอนนี้นางเป็นหนทางเดียวที่จะสามารถยุติความลำบากข้นแค้นของประชาชนได้โดยง่ายนะขอรับ!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินส่งสายตาให้เขาว่าจะไม่ฟังเขาพูดไร้สาระอีก ก่อนจะกลับไปนั่งที่เก้าอี้อีกครั้ง
“ข้าเป็นผู้บัญชาการสูงสุด แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่คิดว่าการใช้สตรีผู้หนึ่งส่งไปทัพศัตรูเพื่อให้ยอมจำนนเป็นเรื่องที่มีเกียรติอันใด ดังนั้นข้าไม่เห็นด้วย ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ต้องมาพูดให้มากความ ใครกล้าพูดมากอีกเพียงประโยคเดียวจะถูกลงโทษตามกฎทหาร!” ซั่งกวนเซ่าเฉินชี้ไปที่หน้าประตู “ออกไปให้หมด!”
สุดท้ายโฉวอวี่จินก็ยังอ้อนวอนอย่างไม่ยินยอม “ท่านผู้บัญชาการสูงสุด…”
“ไม่ต้องพูดอีกแล้ว! ข้าตัดสินใจไปแล้ว” สีหน้าซั่งกวนเซ่าเฉินเย็นชา น้ำเสียงราวกับเอาวัวเก้าตัวมาลากก็ไม่หวนกลับ [3] อย่างไม่ต้องสงสัย
“หรือว่าท่านเป็นห่วงข้า?” ดวงตากลมโตของหลิงมู่เอ๋อร์เป็นประกาย ถามอย่างหยั่งเชิง
ทันใดนั้นชายผู้นั้นก็เงยหน้าขึ้น ก่อนจะค่อยๆ ก้มลงไป “ไร้สาระ พรุ่งนี้ข้าจะให้คนไปส่งเจ้ากลับเมืองหลวง”
“ได้ หลังข้าออกจากค่ายทหารจะได้ไปเจออามู่เต๋อพอดี คนที่เขาต้องการไม่ใช่ข้าหรือ ขอเพียงเอาจดหมายยอมจำนนของพวกท่านกลับเมืองหลวง ข้าก็จะหาโอกาสฆ่าเขา โยนหินก้อนเดียวได้นกสองตัว”
หลิงมู่เอ๋อร์ยักไหล่อย่างมั่นใจ ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกว่าความคิดนี้เป็นไปได้
“พวกเจ้าไม่กังวลว่านี่จะเป็นเพียงกลอุบายของอามู่เต๋อหรือ?” ซั่งกวนเซ่าเฉินกวาดดวงตามองทุกคน สุดท้ายจึงมาตกอยู่บนร่างของหลิงมู่เอ๋อร์ “อีกทั้งเหตุใดเขาจึงต้องเจาะจงชื่อเจ้า! เขาเป็นแม่ทัพองอาจ ในมือบัญชากองทัพใหญ่ที่มีทหารสองแสนกว่านาย หากสู้รบกับทัพของพวกเรา กำลังรบหาได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันไม่ จะต้องเป็นการสู้รบที่ดุเดือดและยาวนานเป็นแน่ แต่เขากลับยอมจำนนเพราะต้องการเจ้า…”
ซั่งกวนเซ่าเฉินครุ่นคิดอยู่นานก็คิดคำตอบไม่ได้
“เพราะเหตุใดจึงทำให้เขายอมจำนนเพียงเพื่อสตรีผู้เดียว” ซั่งกวนเซ่าเฉินโบกมือเป็นสัญญาณให้หนานกงอี้จือ และโฉวอวี่จินออกไปก่อน
ภายในกระโจมเหลือเพียงพวกเขาสองคน
เขามองพิจารณานางขึ้นลงรอบหนึ่ง ส่ายหัวจิ๊ปาก ถึงขั้นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ “เกรงว่าเจ้าเองก็คงไม่เชื่อว่าอามู่เต๋อจะทำเช่นนี้เพราะรูปโฉมของเจ้ากระมัง? แน่นอนหากลองถอยมามองอีกมุมหนึ่ง เขาเป็นแม่ทัพองอาจจะมีผู้หญิงแบบใดที่ไม่เคยพบ จะมายอมสวามิภักดิ์เพียงเพื่อเจ้าหรือ?”
“เหตุใดจะเป็นข้าไม่ได้เล่า?” หลิงมู่เอ๋อร์เงยหน้าขึ้นอย่างทะนงตน “ในเมื่อท่านสงสัยถึงเพียงนี้ พวกเราก็ยิ่งต้องแทรกซึมเข้าไปถามให้ชัดเจน ไม่เข้าถ้ำเสือจะได้ลูกเสือได้อย่างไร [4] ทั้งหมดล้วนเป็นข้าสมัครใจ ท่านมีอันใดจึงไม่เห็นด้วย?”
“เพราะเจ้าจะทำทุกสิ่งเพื่อล้างแค้นให้ชายอื่น เจ้าคิดว่าข้าจะยอมรับได้อย่างไร!”
แทบจะทันทีที่สิ้นเสียงนาง ซั่งกวนเซ่าเฉินก็รีบโพล่งอธิบายออกมา ทันใดนั้นเขาก็ไล่ต้อนนางไปที่มุมหนึ่ง เชยคางบังคับให้นางสบตากับตน “บอกข้ามา หนึ่งวันหนึ่งคืนนั้นที่เจ้ากับซูเช่ออยู่ในเงื้อมมือของอามู่เต๋อเกิดอันใดขึ้น เหตุใดเขาจึงไม่ต้องการผู้อื่นและต้องการแค่เพียงเจ้า?”
เชิงอรรถ
[1] แมวสามขา หมายถึง คนที่ไม่มีความสามารถเหมือนแมวที่มีสามขาจึงไล่จับหนูไม่ได้
[2] แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบพุทรา หมายถึง แผ่นดินกว้างใหญ่ยังสามารถหาสิ่งที่ต้องการมาทดแทนได้
[3] เอาวัวเก้าตัวมาลากก็ไม่หวนกลับ หมายถึง คนที่ดื้อรั้น คนที่เมื่อตั้งมั่นในสิ่งใดแล้วจะไม่มีใครมาสั่นคลอนความตั้งมั่นนั้นได้
[4] ไม่เข้าถ้ำเสือจะได้ลูกเสือได้อย่างไร หมายถึง หากไม่ยอมเสี่ยงก็ไม่มีทางได้ผลลัพธ์ หรือผลตอบแทน