เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 8 ตอนที่ 224 อามู่เต๋อ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 8 ตอนที่ 224 อามู่เต๋อ
เล่มที่ 8 ตอนที่ 224 อามู่เต๋อ
“ปล่อยนาง!”
เมื่อเห็นว่าหลิงมู่เอ๋อร์ถูกคุกคาม ซูเช่อก็ลุกขึ้นจากพื้น น่าเสียดายที่คนยังไม่ทันได้เข้าใกล้ ดาบคมสองเล่มก็จ่ออยู่ที่ลำคอนางแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์ใช้สายตาส่งสัญญาณให้เขาอย่าวู่วาม
อามู่เต๋อชายผู้มีรูปลักษณ์สุภาพแต่น้ำเสียงชั่วร้ายราวกับเป็นปีศาจ เขามีนิสัยไม่แน่ไม่นอน โหดเหี้ยมไร้ปรานี มีความต้องการที่จะศึกษารูปแบบของยาพิษอย่างแรงกล้า ชายผู้นี้น่ากลัวเป็นที่สุด หากไม่ระวังไม่แน่ว่าเขาอาจฆ่าซูเช่อเองกับมือ
“ถึงเจ้าอยากรู้ข้าก็ไม่บอก” หลิงมู่เอ๋อร์หันหน้าไปอย่างดื้อรั้น
พละกำลังของเขาเยอะมาก ออกแรงบีบจนใบหน้าเปลี่ยนรูป แต่สตรีผู้นี้ไม่แม้แต่จะส่งเสียงสักคำ ทั้งยังมีท่าทีไม่ยี่หระ
อามู่เต๋อยื่นริมฝีปากแดงเข้าไปใกล้ใบหูของนาง “ช่างอาจหาญเสียจริง เจ้าไม่กลัวข้าหักคอเจ้าหรือ?”
เสียงของเขาราวกับวิญญาณร้ายที่ปีนขึ้นมาจากขุนนรกด้วยความไม่ยินยอม หากเป็นสตรีทั่วไปคงตกใจกลัวจนร้องไห้ไปนานแล้ว
“กลัวแล้วมีประโยชน์อันใด? เจ้าจะปล่อยพวกข้าไปหรือ? เช่นนั้นเหตุใดข้าต้องกลัว?”
อามู่เต๋อปล่อยคางของนางในทันใด “ดี ช่างทะนงตนนัก เช่นนั้นข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะเป็นเช่นนั้นไปได้อีกนานเท่าใด!”
เขาโบกฝ่ามือ “มานี่ ข้าจะค้นให้ละเอียดอีกครา ในกระเป๋าหาไม่เจอก็ถอดเสื้อผ้านางออกแล้วค้นทีละชิ้น ข้าอยากเห็นนักว่าบนตัวนางจะยังมีอะไรซ่อนอยู่อีก”
“หยุดนะ!”
ซูเช่อร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง
ใบหน้างดงามของเขาดูน่ากลัว ดวงตาที่จ้องเขม็งเต็มไปด้วยเส้นเลือด “เจ้ามีอันใดก็มาลงที่ข้า รังแกสตรีตัวคนเดียวเช่นนี้เป็นบุรุษเช่นไรกัน?”
“อ้าว ข้าลืมไปได้อย่างไรว่าที่นี่ยังมีจวิ้นอ๋องน้อยที่อยากเป็นวีรบุรุษช่วยสาวงามอยู่?” โบกมือส่งสัญญาณให้ทหารที่กำลังค้นตัวถอยออกไปก่อน อามู่เต๋อเดินไปคว้าคอเสื้อของเขาขึ้นมากำแน่น ดึงซูเช่อขึ้นมาอย่างแรง “ตัวเจ้าเองยังยากจะปกป้องได้แต่อยากเป็นวีรบุรุษหรือ? จวิ้นอ๋องน้อย ไม่รู้ว่าในนรกจะยังมีตำแหน่งนี้ให้เจ้าหรือไม่”
ไม่ให้โอกาสใครได้ตอบโต้ อามู่เต๋อก็โยนซูเช่อออกไป
ร่างของซูเช่อกระแทกโต๊ะที่อยู่ข้างหลัง โต๊ะไม้ถูกกระแทกจนแหลกเป็นเสี่ยง แต่เมื่อเขาเป็นอิสระอีกครั้งก็หาได้สนใจความเจ็บปวดบนร่างกายไม่ แผ่จิตสังหารพุ่งเข้าไปหาอามู่เต๋อ
คาดไม่ถึงว่าเขาจะลงมืออย่างกะทันหันเช่นนี้ อามู่เต๋อถูกซูเช่อบีบคอ
เมื่อซูเช่อถูกต้อนจนมุมก็มีพละกำลังมหาศาล
รู้อยู่แก่ใจว่าในสถานการณ์นี้ตนไม่ใช่คู่มืออีกฝ่าย อามู่เต๋อคลำหาบางอย่างจากในกระเป๋า หลิงมู่เอ๋อร์เห็นดังนั้นก็ตะโกนออกไปโดยพลัน “ระวัง!”
ซูเช่อที่ได้รับคำเตือนหลบออกไปในทันใด มองเห็นเพียงหนอนกระหายเลือดตัวอวบอ้วนที่กระโดดออกมาจากในแขนเสื้อของอามู่เต๋อ คว่ำตัวอยู่บนพื้นรีบร้อนหาร่างกาฝากใหม่
“เป็นหนอนกระหายเลือด ซูเช่อ มันแพ้ไฟ” หลิงมู่เอ๋อร์รีบเตือน
ไม่ผิดแน่ วันนั้นหลังจากนางและซั่งกวนเซ่าเฉินหล่นลงไปในถ้ำ ยามเขาไข้ขึ้น นางแอบเข้าไปในมิติเทพค้นคว้าอ่านตำราโบราณอย่างละเอียด ทันใดนั้นก็พบว่าหนอนกระหายเลือดที่กำลังหาร่างกาฝากนั้นแพ้ไฟ
ความเร็วของซูเช่อว่องไวมาก ด้วยช่วงขาที่ยาว เทียนบนกำแพงถูกเขาเตะหล่นลงมาบนร่างของหนอนกระหายเลือดอย่างแม่นยำ หนอนตัวนั้นพยายามดิ้นรนอยู่ไม่กี่คราก็ถูกไฟแผดเผากลายเป็นแอ่งเลือดแอ่งหนึ่งทันที
“ดูเหมือนที่ซั่งกวนเซ่าเฉินสามารถเอาชีวิตรอดมาได้ จะเป็นผลงานชิ้นเอกของเจ้ากระมัง?” อามู่เต๋อหมุนตัวกลับไปมองหลิงมู่เอ๋อร์อีกครา ยามที่ซูเช่อไล่กระชั้นเข้ามาเขาก็สะบัดสาดผงสีดำออกไป
ซู่เช่อรู้สึกเพียงดวงตาปวดร้าวราวกับไฟแผดเผา มือทั้งสองปิดดวงตาไว้แน่น “นี่มันอันใด ข้าขอเตือนเจ้าอามู่เต๋อ อย่าได้แตะต้องมู่เอ๋อร์”
ซูเช่อสูญเสียทัศนวิสัยรอบทิศทางไป อามู่เต๋อใช้สายตาส่งสัญญาณให้พวกทหาร ทหารสองคนใช้เท้าคนละข้างเตะเขาเข้ามุม
“อย่าทำร้ายเขา!” หลิงมู่เอ๋อร์ที่ถูกจับไว้พยายามต่อสู้ดิ้นรน
อามู่เต๋อค่อยๆ เดินไปทางหลิงมู่เอ๋อร์ นางฉวยโอกาสพ่นยาลูกกลอนในปากออกไปเม็ดหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่เขาหลบได้
“ยังมีอีกหรือ? ดูเหมือนหากข้าไม่ถอดเสื้อผ้าเจ้าให้หมดและค่อยๆ ค้นอย่างละเอียด คงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วในร่างกายที่อ่อนนุ่มของเจ้ามีสิ่งใดซ่อนอยู่บ้าง?”
ซูเช่อที่ได้ยินเพียงเสียงแต่มองไม่เห็นเบื้องหน้า เมื่อได้ยินประโยคนี้ก็จมลงไปในความตื่นตระหนก “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่าแตะต้องนาง ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่าล้างตระกูลเจ้า!”
“เช่นนั้นคงต้องทำให้จวิ้นอ๋องผิดหวังแล้ว ตระกูลข้าเหลือข้าเป็นคนสุดท้าย ไม่สู้เจ้าหาโอกาสรักษาดวงตาของเจ้าให้ได้ก่อนค่อยพูดจะดีกว่ากระมัง”
ใช่ ซูเช่อตาบอดเสียแล้ว บางทีตัวเขาเองคงไม่สังเกต แต่เป็นหลิงมู่เอ๋อร์ที่เห็นอย่างชัดเจนว่าดวงตาทั้งสองของเขามีโลหิตสีแดงสดกำลังไหลรินลงมา
“เจ้าทำอันใดกับเขา เอายาถอนพิษมาให้ข้า!”
เห็นหลิงมู่เอ๋อร์เป็นห่วงซูเช่อเช่นนี้ อามู่เต๋อก็แปลกใจอยู่บ้าง “ไม่ใช่บอกว่าเจ้าเป็นผู้หญิงของซั่งกวนเซ่าเฉินหรือ เหตุใดจึงเป็นห่วงจวิ้นอ๋องน้อยผู้นี้ถึงเพียงนั้นเล่า? ดูเหมือนจะมีคนถูกสวมหมวกเขียวโดยไม่รู้ตัวเสียแล้วกระมัง”
“ถุย” หลิงมู่เอ๋อร์ถ่มน้ำลายใส่เขาอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจ หรี่ตาจนเป็นเส้นตรง “เจ้าภาวนาให้พวกเราตายที่นี่เถอะ ไม่เช่นนั้นความอัปยศที่ได้รับในวันนี้ข้าจะเอาคืนเจ้าเป็นร้อยเท่า”
“แปะๆๆ” อามู่เต๋อปรบมือให้นางอย่างชื่นชม “เยี่ยมจริงๆ ยอดเยี่ยมที่สุด สตรีผู้หนึ่งมีจิตใจเด็ดเดี่ยวได้ถึงเพียงนี้ แม้แต่ข้าอามู่เต๋อยังรู้สึกละอายใจ แต่เจ้าขอให้สวรรค์คุ้มครองพวกเจ้าให้ออกไปจากที่นี่ให้ได้เสียก่อนเถอะ แล้วข้าจะรอดู”
อามู่เต๋อโน้มตัวลงไปหยิบกริชขึ้นมาจากพื้น มองสัญลักษณ์และพื้นผิววัสดุก็รู้ว่าไม่ใช่ของจากแคว้นของเขา
“ดูเหมือนนี่ก็เป็นของเจ้าเช่นกัน?” เขาหยิบมามองอย่างระมัดระวัง “คนของข้าบอกว่าค้นทั่วทั้งร่างกายเจ้าแล้ว แต่ก็ยังหยิบของทั้งหมดออกมาได้ เจ้าไม่เพียงแต่มียาลูกกลอน ยังมีกริชกับเข็มเงินด้วย หรือว่าตัวของสตรีเช่นเจ้ามีคลังสมบัติบางอย่างอยู่?”
เห็นเขามีท่าทีสงสัยตน หลิงมู่เอ๋อร์ก็คิดว่าน่าจะใช้ประโยชน์ได้บ้าง
“ใช่ ข้ามีสมบัติลับอยู่อย่างหนึ่ง ขอเพียงเจ้าปล่อยซูเช่อไป ข้าจะบอกเจ้า ว่าอย่างไรเล่า?”
ซูเช่อรู้ว่าหลิงมู่เอ๋อร์ตั้งใจจะพูดเช่นนี้ เขาส่ายหัวไม่หยุด “ไม่ได้ ข้าไม่ไป พวกเราต้องไปด้วยกัน!”
“ตาเจ้าบอดไปแล้วยังจะพานางไปได้หรือ?”
อามู่เต๋อถือโอกาสซัดกริชในมือออกไป แต่ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ ซูเช่อสัมผัสได้ถึงอันตรายกำลังพุ่งเข้ามาก็จับตำแหน่งได้อย่างแม่นยำ รีบหลบได้อย่างทันท่วงที
เดิมทีอามู่เต๋อก็ไม่ได้หวังว่ากริชเล่มเดียวจะสามารถฆ่าซูเช่อได้ “เหอะ พวกเจ้าสองคนเห็นข้าเป็นคนตายหรือถึงยังคิดว่าจะหนีออกไปได้ทั้งคู่? ข้าจะบอกพวกเจ้าให้แม้แต่คนเดียวก็อย่าหวัง!”
มองหลิงมู่เอ๋อร์อีกครา ดวงตาของอามู่เต๋อก็แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนอย่างยิ่งยวด “เกรงว่าแม้ข้าจะปล่อยเขา เจ้าก็คงไม่ยอมพูดความจริง แต่ไม่เป็นไรขอเพียงเจ้าอยู่ในกำมือข้า สักวันข้าต้องได้สิ่งที่ต้องการแน่นอน”
เรื่องที่สตรีผู้นี้หลิงมู่เอ๋อร์มีคลังสมบัติลับอยู่ในมือ เขารู้สึกเชื่ออย่างสุดจิตสุดใจ ไม่เช่นนั้นสตรีอ่อนแอที่ถูกค้นตัวไปแล้วจะเอาของออกมาชิ้นแล้วชิ้นเล่าอย่างน่าเหลือเชื่อเช่นนี้ได้หรือ?
คิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ยิ่งสนใจหลิงมู่เอ๋อร์มากขึ้น “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าหนอนกระหายเลือดของข้าแพ้ไฟ?”
พูดตามตรงแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ความลับนี้
เมื่อครู่หนอนกระหายเลือดกำลังรีบร้อนหาร่างกาฝาก ยามที่สตรีผู้นี้รีบเปิดปากเตือนเขาก็ไม่ได้ขัดขวางในทันที เพียงแค่ลองดูว่าคำพูดของนางเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ผลคือสมบัติล้ำค่าที่เขาทุ่มเททั้งกายใจเลี้ยงดูกลับตายไปเช่นนั้น จึงรู้แล้วว่าสตรีผู้นี้ไม่ธรรมดา
“หากเจ้ารับปากว่าจะปล่อยเขา ข้าก็จะบอกเจ้า ไม่เช่นนั้นเจ้าก็อย่าหวังว่าข้าจะปริปากบอกสิ่งใดกับเจ้า” หลิงมู่เอ๋อร์หันหน้าไปอีกทางอย่างดื้อรั้นไม่มองเขาอีก
อามู่เต๋อไม่โกรธ เขาปฏิบัติต่อผู้ที่มีความสามารถอย่างทะนุถนอมอยู่เสมอ
วันนี้เขาได้รับรายงานจากทหารว่าทหารฝ่ายศัตรูพาสตรีผู้หนึ่งออกเดินทาง ยามนั้นเขามีเพียงความสงสัยจึงให้คนไปซุ่มโจมตี นึกไม่ถึงว่าจะจับคนสำคัญถึงเพียงนี้กลับมาได้ถึงสองคน
เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดก็พบว่าที่ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่ตายเป็นฝีมือของนาง เขาจึงยิ่งสนใจมากกว่าเดิม เมื่อมาลองดูว่าสตรีผู้นี้เป็นเช่นไร ก็ทำให้เขาพบว่าสตรีนางนี้น่าสนใจยิ่งกว่าที่ตนคิดเอาไว้เสียอีก
“เมื่อถูกหนอนกระหายเลือดของข้ายอมรับเป็นเจ้าของแล้ว ภายในสามวันจะต้องถูกดูดเลือดจนตาย แต่เจ้ากลับช่วยชีวิตซั่งกวนเซ่าเฉินไว้ได้”
อามู่เต๋อชมเชย “ข้าคิดว่าตัวเองเป็นยอดฝีมือในการใช้ยาพิษ คาดไม่ถึงว่าวันนี้จะพบผู้เชี่ยวชาญเข้า เดิมทีข้าวางแผนจะเอาเจ้าไปใช้ข่มขู่ให้ซั่งกวนเซ่าเฉินยอมจำนน ยามนี้ดูเหมือนแค่เขาเพียงคนเดียวก็พอแล้ว” เขาชี้ไปยังซูเช่อที่ถูกจับกุมอยู่
“คาดหวังไร้สาระ เจ้าคิดว่าเก็บข้าไว้แล้วเจ้าจะได้ทุกสิ่งที่ต้องการหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์กลัวว่าเขาจะทำอะไรซูเช่อ ยามนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรับประกันความปลอดภัยของซูเช่อ ขอเพียงเขาปลอดภัย นางก็จะสามารถหนีไปได้โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว
“ข้าคิดว่าคงไม่ แต่ไม่เป็นไร ข้ามีเวลาที่จะค่อยเป็นค่อยไป อย่างเช่นเปลี่ยนให้เจ้ากลายเป็นผู้หญิงของข้า”
ซูเช่อไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น เมื่อได้ยินคำพูดชั่วร้ายเช่นนี้ของอามู่เต๋อ เขาก็แทบอยากจะพุ่งเข้าไปหักคออีกฝ่ายเสีย
“อามู่เต๋อ ข้าจะสู้กับเจ้าเอง” ซูเช่อพุ่งออกจากการจับกุมเข้าหาอามู่เต๋อ ต้องยอมรับว่าเขาตาบอดแล้วแต่ประสาทสัมผัสของเขาก็ล้ำเลิศเป็นอย่างยิ่ง สามารถหาตำแหน่งของศัตรูได้ในทันที แต่เทียบกับศัตรูที่ไม่ได้รับบาดเจ็บแล้ว เขาจึงพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว
“อยากตายถึงเพียงนั้นเชียว?” อามู่เต๋อเช็ดเลือดที่มุมปากอย่างไม่สบอารมณ์ “อย่ารีบร้อนนัก ยามนี้ถึงตาของเจ้าแล้ว”
ปรายตามองครั้งเดียว ทหารสองคนก็ส่งพู่กัน แท่งหมึก กระดาษ และที่ฝนหมึกให้
“บอกมาแผนการรบของพวกเจ้าคืออันใด แผนต่อไปพวกเจ้าคิดจะทำเช่นไร นอกจากซั่งกวนเซ่าเฉินและโฉวอวี่จินเจ้ายังพากำลังเสริมมากี่มากน้อย…เรื่องทั้งหมดที่ข้าอยากรู้จงเขียนลงไปเสีย หาไม่แล้วข้าจะตัดมือเจ้าทิ้ง!”
ซูเช่อถึงอย่างไรก็เป็นจวิ้นอ๋องน้อย แม้ว่าเพื่อหลิงมู่เอ๋อร์จะทำให้มีท่าทีจนตรอกเช่นนี้ ทั้งยังไม่รู้ว่าในอนาคตดวงตาจะกลับมามองเห็นเช่นเดิมหรือไม่ แต่เรื่องที่จะให้เขาทรยศแคว้นของตนเองจะเป็นไปได้อย่างไร?
เขายื่นมือทั้งสองข้างออกมาอย่างไม่อิดออด “เช่นนั้นเจ้าก็ตัดมันเสียตอนนี้เลย”
อามู่เต๋อหยิบกริชของหลิงมู่เอ๋อร์ออกมาปักที่ข้างมือของซูเช่อ “เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าหรือ?”
“ฆ่าข้าเสียไม่เช่นนั้นเจ้าก็เลิกคิดอยากรู้ข้อมูลใดที่ต้องการไปได้เลย” ใบหน้าของซูเช่อนิ่งสงบ พยายามอย่างยิ่งที่จะอาศัยการฟังเพื่อระบุตำแหน่งของอามู่เต๋อ ในใจคิดคำนวณทางหนีทีไล่ไปด้วย “แต่ข้าขอแนะนำเจ้าว่าอย่าหวังจะใช้ข้าไปขู่ซั่งกวนเซ่าเฉิน ในเมื่อรู้ตัวตนของพวกข้าสองคนแล้วเจ้ายิ่งต้องรู้ว่าข้ากับเขาบาดหมางกัน และกองทัพของข้าก็ไม่มีทางยอมจำนนเพื่อข้าเพียงผู้เดียวแน่”
มุมปากของอามู่เต๋อกระตุกอย่างรุนแรง แม้คิดไว้แล้วว่าเขาจะพูดเช่นนี้ แต่เมื่อได้ยินกับหูก็ยังรู้สึกเดือดดาลนัก
แม้จะรู้ว่าเขามองไม่เห็นก็ยังชี้ไปที่หน้าของหลิงมู่เอ๋อร์ “เช่นนั้นนางเล่า? หากข้าใช้นางไปต่อรอง เจ้าจะว่าอย่างไร?”
อามู่เต๋อเดินไปข้างหลิงมู่เอ๋อร์ มองพิจารณาดวงหน้าเล็กที่ละเอียดงดงามของนาง “จิ๊ๆๆ ช่างงามล่มเมืองเสียจริง จวิ้นอ๋องน้อยคิดว่ายามนี้หากข้าเอานางจับล้างน้ำไปโยนไว้ในมือของพวกทหารที่อดอยากปากแห้งมาหลายเดือน เจ้าคิดว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร?”