เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 8 ตอนที่ 223 ถูกจับเป็นเชลย
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 8 ตอนที่ 223 ถูกจับเป็นเชลย
เล่มที่ 8 ตอนที่ 223 ถูกจับเป็นเชลย
“ข้าบอกแล้วว่าให้ท่านหนีไปก่อน ข้ารับมือเองได้ ตอนนี้ดีหรือไม่เล่า โดนจับกันทั้งคู่แล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์พูดพลางพยายามดิ้นให้หลุดอยู่หลายครา แต่พบว่าในยามนี้เชือกมัดแน่นมากเหลือเกิน นางขมวดคิ้วมุ่น “จวิ้นอ๋องน้อยไม่ฟังข้าบ้างเลยจริงๆ”
ซูเช่อที่ถูกมัดอยู่ด้านหลังหัวเราะเสียงเบา “ทิ้งเจ้าไว้คนเดียวให้ถูกจับตัวไป เจ้าคิดว่าข้าจะทำเช่นนั้นได้หรือ?”
“ก็ยังดีกว่าถูกจับเข้ามาทั้งคู่ อย่างน้อยท่านก็ยังออกไปหากำลังเสริมได้”
หลิงมู่เอ๋อร์ใช้สายตาสำรวจโดยรอบ ครุ่นคิดหาทางหนี ที่มือขวาก็ลอบหยิบกริชออกมาจากมิติเทพ
“เจ้าคิดว่าด้วยความคิดเช่นนั้นที่ซั่งกวนเซ่าเฉินมีต่อเจ้า ยามใดเขาจึงจะส่งกำลังเสริมมาเล่า อีกทั้งที่นี่ยังเป็นฐานที่มั่นของศัตรูอีก”
เมื่อครู่พวกเขาเพิ่งออกมาจากค่ายทหารได้ไม่ไกล จู่ๆ ก็มีกลุ่มคนที่ปิดบังใบหน้าพุ่งเข้ามาพร้อมอาวุธสังหาร พวกเขามีเพียงสี่ห้าคน แต่อีกฝ่ายกลับมากันร้อยสองร้อยคน ยากที่จะต่อกรศัตรูได้ แถมซูเช่อยังได้รับบาดเจ็บอีก
หลิงมู่เอ๋อร์บอกให้เขาหนีไป แต่ชายผู้นี้ดื้อรั้นนัก พูดแต่เพียงต้องไปด้วยกัน จนสุดท้ายก็ถูกจับมายังสถานที่ที่ทั้งมืดมิดและอับชื้น
“บาดแผลที่ไหล่ของท่านเป็นเช่นไรบ้าง?”
อามู่เต๋อเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย ทั้งยังเชี่ยวชาญในการใช้พิษ นางจึงกังวลว่าครั้งนี้เขาจะใช้วิธีการเช่นนั้น
“เป็นบาดแผลภายนอกเล็กน้อยเพียงเท่านั้น” แม้บาดแผลจะเจ็บมาก แต่เทียบกับอันตรายของหลิงมู่เอ๋อร์แล้ว ซูเช่อจึงไม่เห็นเรื่องนี้อยู่ในสายตา เมื่อรู้สึกได้ว่านางกำลังทำบางสิ่ง ซูเช่อก็ก้มหน้า จึงได้เห็นกริชที่แวววาวเล่มหนึ่ง “เอามาจากที่ใดกัน?”
เมื่อครู่ยามที่ถูกมัดมีคนมาค้นทั้งตัวของพวกเขา อย่าว่าแต่กริชเลย แม้แต่เหรียญทองแดงสักเหรียญก็ยังไม่ทิ้งไว้ให้พวกเขา
“ตัวของสตรีมีที่มากมายใช้ซ่อนสิ่งของ” ในที่สุดก็ตัดเชือกขาด หลิงมู่เอ๋อร์รีบช่วยซูเช่อแก้มัด จึงเพิ่งพบว่าบาดแผลของเขาไม่ได้มีเพียงที่ไหล่เท่านั้น “ขาของท่าน…”
“เพื่อกันไม่ให้พวกเราหนี พวกมันจึงหักขาข้า แต่ไม่ใช่ว่ายังมีเจ้าหรือ ข้าไม่เป็นไร” ใบหน้าขาวซีดของซูเช่อเห็นได้ชัดว่ากำลังเจ็บปวด แต่ก็ยังพูดว่าตัวเองไม่เป็นไร ในดวงตาของหลิงมู่เอ๋อร์ฉายแววรู้สึกผิด รีบตรวจสอบโดยรอบ
“ที่นี่เป็นกรงขังที่สร้างมาเพื่อพวกเราโดยเฉพาะ!” หลิงมู่เอ๋อร์กระทืบเท้าบนพื้นอย่างแรง
รู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก สถานที่โดยรอบนี้ล้วนใช้แผ่นเหล็กสร้างขึ้นมา อย่าว่าแต่ทางออกเลย แค่รอยแตกสักแห่งยังไม่มี นางสามารถหนีไปได้ด้วยการซ่อนตัวอยู่ในมิติเทพ แต่ซูเช่อเล่า? นางยังไม่แน่ใจว่ามิติเทพจะรับคนอื่นนอกจากนางหรือไม่ นอกจากนี้แม้จะสามารถเข้าไปซ่อนได้ แต่จะอธิบายกับเขาเช่นไรเล่า?
“รอให้ถึงยามที่มีคนเอาอาหารมาส่งให้พวกเรา ข้าจะพยายามสร้างความวุ่นวายเพื่อดึงดูดความสนใจ เจ้าก็จงฉวยโอกาสช่วงที่วุ่นวายหนีไปก่อน เข้าใจหรือไม่?”
ซูเช่อก็รู้สึกตัวเช่นกันว่าที่นี่ไม่มีทางออกใด นี่จึงเป็นหนทางเพียงหนึ่งเดียวที่มองเห็น
“ถึงอยากหนีแต่ข้าคงถูกจับได้ตั้งแต่ก่อนจะทันได้หนีแล้ว ยามนี้ท่านบาดเจ็บร้ายแรงเช่นนี้ ข้าจะทิ้งท่านไว้คนเดียวได้อย่างไร?” หลิงมู่เอ๋อร์ใช้สายตาทึมทื่อมองเขา
“เจ้าไม่รู้ว่าอามู่เต๋อผู้นี้เป็นคนเช่นไร หากเขารู้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้า เจ้าคิดว่าเขาจะไม่ใช้เจ้าไปข่มขู่ซั่งกวนเซ่าเฉินหรือ?” ซูเช่ออธิบาย “ถึงอย่างไรข้าก็เป็นจวิ้นอ๋อง เขาเพียงแค่ต้องการใช้ข้าไปข่มขู่สามเหล่าทัพ อย่างมากก็กลายเป็นเชลยศึกของพวกเขา แต่เจ้าไม่เหมือนกันเข้าใจหรือไม่!”
“เช่นนั้นข้าก็ยิ่งไปไม่ได้ ถึงอย่างไรอยู่ที่นี่ข้าก็ยังรักษาบาดแผลท่านได้ และใช้สถานะของซั่งกวนเซ่าเฉินควบคุมเขาไว้ หากข้าหนีไปแล้วท่านจะเป็นหรือตายใครจะบอกได้ ท่านก็ยังพูดว่าคนผู้นั้นอารมณ์ไม่แน่นอน ใครจะรู้ว่าเขาจะเป็นสัตว์ร้ายกินคนหรือไม่”
“หลิงมู่เอ๋อร์!” ซูเช่อกัดฟัน
“อย่าพูดอันใดอีกเลย ข้าไม่ไป ข้าจะไม่ทิ้งใครไว้คนเดียวโดยไม่สนใจไยดีแน่!”
“เจ้า…”
พูดยังไม่ทันจบ ทันใดนั้นประตูใหญ่ที่ทำจากแผ่นเหล็กก็ถูกคนเตะเปิดจากด้านนอก ชายผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากนอกประตูพลางปรบมือ “ช่างเป็นคู่สามีภรรยาที่ผูกพันลึกซึ้ง แต่พวกเจ้าเอาข้าอามู่เต๋อไปไว้ที่ใดกัน ใครมอบความกล้าให้พวกเจ้าคิดว่าจะสามารถออกไปได้หรือ?”
ชายผู้หนึ่งที่มีน้ำเสียงน่าฟังซึ่งสวมหน้ากากเสือครึ่งหน้าปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า ฉายชัดถึงรูปลักษณ์ที่งดงามของบัณฑิตผู้อ่อนโยน แต่ดวงตาคู่นั้นกลับฉายแววเย็นยะเยือกราวกับปีศาจ
ซูเช่อรีบปกป้องหลิงมู่เอ๋อร์ไว้เบื้องหลัง “บนสนามรบไม่เกี่ยวข้องกับสตรี อามู่เต๋อ เจ้าจับข้าไว้คนเดียวก็พอและปล่อยนางไปเสีย!”
“ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะเย็นเยือกดังขึ้น อามู่เต๋อนั่งลงบนเก้าอี้ที่ผู้ใต้บังคับบัญชานำมาวางไว้ให้ เคาะบนขาที่นั่งไขว่ห้างของตัวเอง และพิจารณาพวกเขาอยู่คราหนึ่ง หลังจากพิจารณาซูเช่อแล้วก็มองไปยังร่างของหลิงมู่เอ๋อร์
“หลิงมู่เอ๋อร์คู่หมั้นของซั่งกวนเซ่าเฉิน จวิ้นอ๋องน้อยลองบอกมาหน่อย ว่าพวกเจ้าสองคนใครสำคัญกับข้ามากกว่า?”
ในคราแรกที่ได้ยินน้ำเสียงน่าฟังของชายผู้นี้ มันช่างไม่เข้ากับหน้ากากเสือของเขาเสียจริง
นางเดินอ้อมมาหยุดอยู่ระหว่างซูเช่อกับเขา “เจ้าจับข้าไว้ก็พอ เขาถูกพวกเจ้าทำร้ายจนบาดเจ็บเช่นนี้แล้ว ปล่อยเขาไปเถอะ!”
“คิดว่าที่นี่เป็นตลาดสดหรือ เจ้าถึงจะมาต่อรองกับข้า!”
เขาหยิบถ้วยชาที่ผู้ใต้บังคับบัญชาส่งมาให้ ขว้างไปยังกำแพงฝั่งตรงข้ามอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ซูเช่อรีบปกป้องหลิงมู่เอ๋อร์ไว้ในอ้อมแขนเพื่อไม่ให้น้ำชาร้อนกระเด็นมาถูกตัวนาง
แต่เพียงครู่เดียว อามู่เต๋อที่โกรธเกรี้ยวก็กลับมามีใบหน้าราวกับปีศาจเหมือนยามที่เพิ่งเข้าประตูมา “ผู้หนึ่งเป็นจวิ้นอ๋องน้อยที่ฮ่องเต้ห่วงใยเป็นล้นพ้น ผู้หนึ่งก็เป็นสตรีที่แม่ทัพฝั่งศัตรูห่วงใยมากที่สุด แน่นอนว่าข้าล้วนต้องการทั้งสองคน”
พูดจบเขาก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ปากที่น่ากลัวเหมือนสัตว์ร้ายราวกับจะสามารถกลืนกินชีวิตพวกเขาทั้งสองคนได้
ซูเช่อขมวดคิ้ว ใช้กำลังภายในของเขาส่งเสียงที่มีเพียงหลิงมู่เอ๋อร์ที่ได้ยิน “เขาเป็นผู้ชำนาญด้านการใช้หนอนกระหายเลือด อย่าเสียเวลาคิดคุยกับเขาด้วยเหตุผล อีกครู่เดียวเมื่อสบโอกาสข้าจะสร้างความวุ่นวายให้เจ้าหาโอกาสหนีเสีย ฟังข้าเถอะ!”
“อ้าว เสียงที่ส่งผ่านกำลังภายในนี่ ฝีมือของจวิ้นอ๋องน้อยร้ายกาจทีเดียว แต่น่าเสียดาย เจ้าจะให้นางวิ่งหนีไปที่ใดเล่า?” ร่างของอามู่เต๋อโน้มไปข้างหน้า ส่ายหัวอย่างกระหยิ่มใจ “นี่เป็นอาณาเขตของข้า รอบบริเวณนี้ทั้งหมดก็ล้วนเป็นคนของข้า กองทัพใหญ่มีทหารหลายแสนนาย เจ้าคิดจะให้แม่นางน้อยเช่นนางโยนตัวเองเข้าไปอ้อมกอดทหารของข้าหรือ?”
พูดจบก็มีเสียงหัวเราะครืนดังขึ้น แม้แต่พวกคนคุ้มกันที่เข้ามาก็ยังร่วมวงหัวเราะอย่างชั่วร้าย
ใบหน้าของซูเช่อมืดครึ้ม หมัดกำแน่นจนส่งเสียง “ข้าจะเตือนเจ้า มีเรื่องอันใดก็มาลงที่ข้าเสีย”
“ได้ ข้าจะสนองให้เจ้า” แทบจะในทันทีที่สิ้นเสียง ทุกคนมองความเร็วของอามู่เต๋อไม่ทัน ร่างของเขาทะยานมาอย่างรวดเร็ว ฝ่าเท้าข้างหนึ่งก็เหยียบอยู่ที่อกของซูเช่อแล้ว
โครม
ร่างของซูเช่อล้มลงพื้นอย่างแรง ไอออกมาอย่างหนักหน่วง กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
“ซูเช่อ!” หลิงมู่เอ๋อร์รีบพยุงเขาไว้ในอ้อมแขน ไม่สนใจผู้ใดอีก หยิบยาลูกกลอนออกมาจากมุมที่คนอื่นไม่เห็นยัดเข้าไปในปากของเขา
อามู่เต๋อเห็นว่าสถานการณ์ผิดปกติ เขาตำหนิผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างโกรธเกรี้ยว “นั่นมันอันใดกัน ไม่ใช่บอกว่าค้นทั่วทั้งร่างจนหมดแล้วหรือ แล้วนั่นมันอันใด!”
ผู้ใต้บังคับบัญชาคิดไม่ถึงว่าในมือหลิงมู่เอ๋อร์จะยังมีของบางสิ่งอยู่ ใช้สายตามองผู้ใต้บังคับบัญชาสองคนด้านหลัง ทหารทั้งสองนายก็ยกหลิงมู่เอ๋อร์ขึ้นมาจากพื้นค้นตัวอย่างละเอียดอีกครา
“อย่าแตะต้องนาง!” ซูเช่อที่กินยาลูกกลอนลงไปราวกับมีพละกำลังขึ้นมาในทันใด บาดแผลไม่รู้สึกเจ็บปวด เขาคิดว่ายามนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาซักถามเรื่องยาลูกกลอน เมื่อเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ถูกคนพาไป เขาก็มองด้วยดวงตาแดงฉาน “หากเจ้ามีความสามารถก็มาสู้กับข้าตัวต่อตัว ห้ามแตะต้องนาง!”
“เจ้าบอกว่าห้ามพวกข้าก็ต้องทำตามหรือ?”
อามู่เต๋อหยัดกายขึ้นมาช้าๆ คิดจะเดินตรงไปยังหลิงมู่เอ๋อร์ ซูเช่อไม่มีเวลาตั้งตัว จู่ๆ เขาก็หันกายมาอย่างรวดเร็ว ว่องไวมาก เขาใช้เท้าข้างหนึ่งเตะไปบนหัวเข่าที่ได้รับบาดเจ็บของซูเช่อด้วยความเร็วที่ดวงตาแทบมองไม่ทัน ซูเช่อเจ็บปวดจนต้องคุกเข่าลงบนพื้น ใช้มือข้างเดียวยันร่างกายไว้ แต่อามู่เต๋อก็เหยียบนิ้วทั้งห้าของเขาอย่างโหดเหี้ยม “เหตุใดข้าต้องฟังเจ้า!”
เจ็บ ความเจ็บปวดของนิ้วทั้งสิบเชื่อมมาถึงหัวใจ สีหน้ายิ่งไม่สู้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ซูเช่ออดทนอย่างเด็ดเดี่ยวไม่ยอมส่งเสียงออกมา
“หากมีความสามารถก็ฆ่าข้าเสีย คุกคามสตรีเช่นนี้จะนับว่าเป็นบุรุษเช่นไรกัน!”
อามู่เต๋อไม่เพียงแต่ไม่ปล่อยเท้าทั้งยังบดขยี้ลงไปซ้ำ เขาเชิดหน้าขึ้นสูง “อ้าว เจ้าไม่บอกข้าก็ยังคิดไม่ถึงเลย พวกทหารของข้าไม่ได้เห็นสตรีมานานมากแล้วจริงๆ”
น้ำเสียงของเขากลับตาลปัตร ปล่อยเท้าที่เหยียบซูเช่อออก ก้าวเดินตรงไปหาหลิงมู่เอ๋อร์
ซูเช่อเห็นเช่นนั้นก็ลุกขึ้นจากพื้น ทะยานไปด้านหลังอามู่เต๋ออย่างรวดเร็ว
น่าเสียดายที่เขาบาดเจ็บสาหัสจึงไม่ใช่คู่มือของอามู่เต๋อแม้แต่น้อย รับไปเพียงไม่กี่กระบวนท่าซูเช่อก็นอนคว่ำไปบนพื้นอีกครา
เขาที่เป็นคุณชายอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงจนตรอกอย่างถึงที่สุด
“ซูเช่อ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” หลิงมู่เอ๋อร์มองเขาอย่างตึงเครียด เสี่ยงหยิบเข็มเงินสามเล่มออกมาจากในมิติอีกครั้ง และซัดออกไปทางอามู่เต๋อ
เขารับรู้ได้ถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามา ยามที่เข็มเงินถูกซัดมาที่คอ อามู่เต๋อเอียงศีรษะหลบเล็กน้อย ใช้นิ้วจับไว้แน่น
“อาบยาพิษหรือ?” เห็นยาพิษก็ราวกับเห็นสมบัติ อามู่เต๋อเปิดปากที่ดูกระหายเลือด “ฮ่าๆๆ ดูเหมือนงานอดิเรกของพวกเราจะเหมือนกัน เจ้าก็ชอบยาพิษมากเหมือนกันกระมัง”
ยามนี้เขาเดินไปอยู่เบื้องหน้าหลิงมู่เอ๋อร์
ตั้งแต่ต้นจนจบหลิงมู่เอ๋อร์ก็ยังไม่สามารถเชื่อมโยงใบหน้าชั่วร้ายของเขาเข้ากับน้ำเสียงที่น่าฟังนั้นได้ ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ทันใดนั้นอามู่เต๋อก็ตะคอกใส่คนสองคนที่อยู่ด้านข้างนาง
“บอกให้พวกเจ้าค้นตัวแล้วมัวทำอันใดกันอยู่! หากไม่คิดจะทำให้ดีก็ไสหัวเฉือนเอาเนื้อตัวเองลงไปในน้ำแกงให้ทหารคนอื่นกินเสีย”
ถูกข่มขวัญจนตกใจกลัวเช่นนี้ ทหารคนหนึ่งก็อธิบายด้วยเนื้อตัวสั่นเทา “ขอรายงานท่านแม่ทัพ นาง…ค้นตัวนางทั้งตัวอย่างละเอียดแล้วขอรับ ไม่มีสิ่งใดแล้วขอรับ”
“ไม่มี?” เขายกเข็มเงินในมือขึ้นมา “เช่นนั้นนี่คืออันใด? เจ้าคิดว่าข้าตาบอดหรือ?”
ด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ อามู่เต๋อก็เอาเข็มเงินในมือเสียบเข้าไปบนคอของทหาร แทบจะในทันที ทหารก็น้ำลายฟูมปากล้มลงไปชักกระตุกไม่หยุด เพียงชั่วพริบตาก็ขาดใจตาย
“ตายแล้วหรือ?”
อามู่เต๋อดวงตาเบิกกว้าง แบมือทั้งสองข้างมองไปทั่ว ก็ได้รับคำตอบยืนยันจากพวกทหาร เขาไม่เพียงแต่ไม่โกรธทั้งยังตื่นเต้นมากอีกด้วย
“อ่า คาดไม่ถึงว่าของเล่นชิ้นเล็กๆ นี่จะร้ายกาจถึงเพียงนี้ แค่เล่มเดียวก็ตายแล้วหรือ?” ราวกับทั้งหมดเป็นภาพลวงตา อามู่เต๋อมองซ้ายมองขวานำเข็มเงินวางไว้ใต้จมูกพลางถามอย่างละเอียด “แม่นาง บอกข้ามาว่าเจ้าใส่ยาพิษชนิดใดลงไปบนนี้”
น้ำเสียงของอามู่เต๋อสงบเป็นอย่างยิ่ง ราวกับยาพิษที่เขาสนใจเป็นเพียงของธรรมดา น้ำเสียงของเขาไม่ได้ชั่วร้ายถึงเพียงนั้นแล้ว แต่ในยามที่หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ทันตั้งตัว ฝ่ามือของเขาก็จับที่คางของนางอย่างรุนแรง “หากเมื่อครู่ข้าไม่หลบ ยามนี้คนที่นอนตายอยู่ตรงนี้คงเป็นข้ากระมัง? เจ้ากล้ามากที่คิดจะฆ่าข้า! บอกมาบนเข็มนี่เจ้าอาบยาพิษอันใดลงไป และเข็มเงินนี่เจ้าเอามาจากที่ใด?”