เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 8 ตอนที่ 222 ลาก่อน
เล่มที่ 8 ตอนที่ 222 ลาก่อน
“ข้าไม่ไปคิดบัญชีกับเจ้า แต่เจ้ากลับมาหาถึงที่เอง อย่าคิดว่าเจ้าเป็นจวิ้นอ๋องน้อยแล้วข้าจะไม่กล้าลงมือกับเจ้า!” ดวงตาของซั่งกวนเซ่าเฉินเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ทั้งหมดที่เจ้าเห็นเมื่อคืนล้วนเป็นเพียงเรื่องลวง เปิ่นหวางถูกคนวางแผนชั่วจนเกือบทำให้นางต้องอับอาย แต่เจ้าเล่า ยังทำร้ายนางไม่พออีกหรือ? วันนี้เปิ่นหวางจะสอนบทเรียนแก่เจ้าเอง” แววตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร ซูเช่อลงมืออย่างหมายจะเอาชีวิต เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะปล่อยเขาไป
ทั้งคู่มีฝีมือล้ำเลิศ เมื่อต่อสู้กันในค่ายทหารจึงดึงดูดสายตาของผู้คนจำนวนมาก
หนึ่งขุนพล หนึ่งแม่ทัพ เพื่อสตรีนางหนึ่งจึงต่อสู้กันอย่างเอาชีวิตเข้าแลก คิดเพียงจะถอนรากถอนโคนอีกฝ่ายให้สิ้นไม่เช่นนั้นจะไม่มีทางหยุด เหล่าทหารจำนวนมากต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์
หนานกงอี้จือและโฉวอวี่จินเมื่อได้ข่าวจึงรีบมุ่งตรงมา คิดอยากจะแยกสองคนที่อยู่เบื้องหน้า แต่กลับหาโอกาสที่เหมาะสมไม่ได้
“ซื่อจื่อยังยืนงงทำอันใด แม่นางหลิงผู้นั้นมิได้เป็นน้องสาวบุญธรรมของเจ้าหรือ?” โฉวอวี่จินถามอย่างร้อนรน
“ใช่ ข้าจะไปหานาง”
หนานกงอี้จือหันหลังออกวิ่ง แต่วิ่งออกไปได้ไม่กี่ก้าวจู่ๆ ที่หางตาก็เห็นหลิงมู่เอ๋อร์ยืนอยู่ในกลุ่มคน
เขาสบถออกมาว่าสมควรตายคราหนึ่ง ก่อนจะรีบปรี่เข้าไปดึงนางออกมาจากเบื้องหลังฝูงชน
“ข้าขอถามน้องบุญธรรม ไม่สิ พี่สะใภ้ พวกเจ้ากำลังทำอันใดอยู่กันแน่!”
นางสะบัดมือที่ถูกเขาลากออกอย่างแรง หลิงมู่เอ๋อร์จ้องมองเขาราวกับเป็นศัตรูคู่อาฆาต “เจ้าพูดไร้สาระอันใด ใครเป็นพี่สะใภ้ของเจ้ากัน?”
“หากไม่ใช่เจ้าแล้วยังจะเป็นใครได้อีก?” หนานกงอี้จือยิ้มเยาะ “เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเจ้ากับพี่ใหญ่หลายวันมานี้ในค่ายทหาร คิดว่าพวกเจ้าไม่บอกแล้วข้าจะมองไม่ออกหรือ แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับพวกเขาสองคน แต่มันต้องเกี่ยวกับเจ้าเป็นแน่ พี่สะใภ้รีบไปเกลี้ยกล่อมให้หน่อยเถิด อย่างไรที่นี่ก็เป็นค่ายทหาร”
“ค่ายทหารแล้วอย่างไร แม่ทัพใหญ่กับผู้บัญชาการสูงสุดแห่งทัพหน้าประมือกัน ทหารมากมายล้วนไม่กล้าเข้าใกล้ ข้าเป็นเพียงหญิงอ่อนแอที่มือไม่มีแรงมัดไก่ [1] หากเข้าไปยุ่งแล้วบาดเจ็บขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า?” หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ใช่แค่ไม่ไป แต่ยังคิดจะหันหลังกลับไปที่กระโจมของตนเองอีกด้วย
“เจ้าเป็นหญิงอ่อนแอหรือ?”
ยามที่หนานกงอี้จือพูดประโยคนี้ก็แทบจะกัดลิ้นตัวเอง ไม่ว่านางจะยินยอมหรือไม่ หลังจากนี้ต้องล่วงเกินนางแล้ว เขาแบกนางขึ้นบ่ามุ่งตรงไปยังสถานที่ที่มีการประมือกัน
“ค่ายทหารเป็นสถานที่สำคัญ แม่ทัพใหญ่กับผู้บัญชาการสูงสุดแห่งทัพหน้ามีเรื่องกัน หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปถึงในวัง ทั้งสองคนต้องได้รับโทษจากฮ่องเต้ ข้าเชื่อว่าเจ้าคงไม่อยากให้พวกเขาคนใดคนหนึ่งต้องบาดเจ็บกระมัง?”
เมื่อมาถึงจุดหมาย หนานกงอี้จือก็วางร่างของนางลง เชิดคางชี้ไปยังทั้งสองคนที่กำลังลงมือกันอย่างรุนแรง “นี่น้องบุญธรรม คิดเสียว่าเพื่อพี่ชายบุญธรรมของเจ้า ช่วยหน่อยได้หรือไม่?”
คนที่มามุงดูรอบๆ ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปย่อมไม่เป็นผลดี หลิงมู่เอ๋อร์ทอดถอนใจ กำลังจะเดินเข้าไป แต่บังเอิญได้ยินคำพูดที่เกรี้ยวกราดของซั่งกวนเซ่าเฉินเสียก่อน “เข้าใจผิดหรือ? เหอะ นางมีฝีมือสูงส่ง วิชาแพทย์โดดเด่นเหนือใคร ถึงในยามนั้นเจ้าจะถูกคนวางแผนคิดร้าย แต่นางจะล้างพิษในร่างเจ้าไม่ได้เชี่ยวหรือ? ข้าเห็นอยู่ชัดๆ ว่านางไม่คิดจะทำ!”
เพียงประโยคเดียว หัวของหลิงมู่เอ๋อร์ราวกับถูกไม้ตีเข้าอย่างแรง ทำให้ความกล้าแต่เดิมที่นางคิดจะเข้าไปพูดเกลี้ยกล่อมถูกทำลายราวกับฟองอากาศในทะเลทันที
“ซั่งกวนเซ่าเฉิน เจ้ามันรนหาที่ตาย!”
ซูเช่อไม่ให้โอกาสเขาได้ตอบโต้อีก ลงมืออย่างรวดเร็วและดุดัน
การที่เขามาสู้กับซั่งกวนเซ่าเฉิน เดิมทีเขาก็หาได้คิดจะทำเช่นนี้ แต่เรื่องเมื่อวานเกิดขึ้นเพราะเขา เขาจึงต้องการมาอธิบายแทนหลิงมู่เอ๋อร์ แต่คิดไม่ถึงว่าชายผู้นี้จะเย็นชาไร้ความรู้สึกถึงเพียงนี้
หนานกงอี้จือยิ่งตกใจหนัก เขาคาดไม่ถึงว่าท่านพี่จะทำให้หลิงมู่เอ๋อร์ต้องอับอายถึงเพียงนี้
พึงรู้ว่าเขาในยามนั้นเพียงแค่คนอื่นมองหลิงมู่เอ๋อร์เขาก็ไม่ยินยอมแล้ว แล้วจะทำให้นางได้รับความไม่เป็นธรรมเช่นนี้ได้อย่างไร?
“พี่ใหญ่!”
แม้แต่เขายังรู้สึกว่าคำพูดนั้นมันมากเกินไป หนานกงอี้จือรีบพุ่งเข้าไปแยกทั้งสองคนแม้เสี่ยงที่จะถูกลูกหลงก็ตาม
“คำพูดนี้ของท่านรุนแรงนัก น้องบุญธรรมเป็นคนที่ท่านห่วงใยจากก้นบึ้งของหัวใจ ท่านพูดเช่นนี้กับนางได้อย่างไร?”
เมื่อมองจวิ้นอ๋องน้อยอีกครา หนานกงอี้จือก็ยิ้มอย่างเข้าใจ “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพวกท่าน แต่นี่ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่นอน ท่านวางใจเรื่องนี้ให้ข้าจัดการเอง”
มีคนมาไกล่เกลี่ย ซูเช่อยังคิดอยากลงมือสู้กับผู้บัญชาการสูงสุดอยู่
เขามองซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างเจ็บใจ ก่อนจะเดินไปคว้าแขนของหลิงมู่เอ๋อร์ที่อยู่ในฝูงชน “พวกเราไปกันเถอะ”
“ดี ออกจากค่ายทหาร ออกจากชายแดน ออกไปจากสถานที่อันวุ่นวายนี้ ถึงอย่างไรข้างกายคนผู้นั้นก็มีหญิงอื่นแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์ปล่อยให้เขาจูงไป แต่ร่างกายกลับไม่ขยับแม้เพียงก้าวเดียว สายตาจ้องตรงไปยังซั่งกวนเซ่าเฉิน
แต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยรู้ว่าหยดน้ำตามีรสชาติเป็นเช่นไร แต่ยามนี้น้ำตากลับรื้นอยู่ในดวงตา นางอดกลั้นไม่ยอมให้น้ำตาไหลออกมาอย่างดื้อรั้น
มองซั่งกวนเซ่าเฉิน ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยผิดหวัง และหัวใจที่แตกสลาย
“กลับเมืองหลวง จวิ้นอ๋องน้อยซูเช่อช่วยส่งคนมาคุ้มครองข้ากลับเมืองหลวงด้วย!”
น้ำเสียงของนางเด็ดเดี่ยว ไม่เหมือนว่าล้อเล่น ซูเช่อขมวดคิ้ว “เจ้าแน่ใจหรือ?”
“แน่ใจ” หลิงมู่เอ๋อร์ข่มน้ำตากลับเข้าไป ริมฝีปากสั่นเทา “ก่อนมาที่นี่ ข้าคิดว่าอาศัยวิชาแพทย์ของข้าคงสามารถช่วยได้บ้าง แต่ลองมองยามนี้แล้วข้าคงอวดดีเกินไปจริงๆ ข้าเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่แฝงกายเข้ามาในค่ายทหาร หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปก็มีแต่จะบั่นทอนขวัญกำลังใจของทหาร ทั้งยังทำให้จวิ้นอ๋องน้อยซูเช่อลำบาก”
นางประสานมือน้อมตัวคำนับเก้าสิบองศา ยามที่พูดประโยคนี้ก็หาได้มองซั่งกวนเซ่าเฉินไม่
“ได้ ข้าจะพาเจ้าไป!”
ดึงมือนางก้าวยาวๆ ออกไปจากสถานที่อันแสนวุ่นวายนี้ พวกทหารที่มุงดูอยู่เมื่อตั้งสติได้ก็หลบทางให้
“นี่…” หนานกงอี้จือตีไหล่ของซั่งกวนเซ่าเฉิน “ท่านยังเหม่ออันใดอยู่อีก จะไม่ตามไปจริงหรือ?”
“ข้างกายนางมีเขาอยู่แล้ว และข้าก็หาใช่สามีของนางไม่” ซั่งกวนเซ่าเฉินก็ไม่หันกลับไปมองเช่นกัน
ด้านหลังสุดของฝูงชน หลิงไฉ่เว่ยยกมุมปากขึ้นอย่างพึงพอใจ
“เจ้าต้องการไปจริงหรือ?” เห็นหลิงมู่เอ๋อร์เก็บข้าวของ ซูเช่อก็ขมวดคิ้วมุ่น คิดว่านางกำลังประชดประชัน
“อาจเป็นความผิดของข้าที่มาที่นี่ตั้งแต่แรก” สัมภาระของนางมีไม่มาก จัดไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็เสร็จเรียบร้อย เห็นสายตาที่ซับซ้อนของซูเช่อ นางก็ยัดห่อผ้าเล็กๆ ไว้ในอ้อมแขนของเขา “ของพวกนี้เป็นข้าที่ทำขึ้นมา ประสิทธิภาพดีกว่ายาที่ท่านนำออกมาจากวังร้อยเท่า ท่านวางไว้บนร่างกายจะช่วยป้องกันตัวได้”
ก่อนที่นางจะไปก็ยังนึกถึงตน นี่ทำให้ซูเช่อมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง แต่การที่นางจากไปเช่นนี้ ทำให้เขาเสียใจยิ่งนัก
“มู่เอ๋อร์…”
“ข้าไม่โทษท่าน แม้ว่าเมื่อคืนท่านจะถูกคนวางแผนร้าย ทว่าแม้แต่ความเชื่อใจพื้นฐานเขาก็ล้วนไม่มีให้ข้า และข้าก็เห็น…”
เขากับหลิงไฉ่เว่ย…
นี่เป็นครั้งแรกที่หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่าสิ่งใดที่เรียกว่าแค่หายใจก็รู้สึกเจ็บปวด
“บางทีนี่คงเป็นเจตจำนงของสวรรค์ แล้วเหตุใดข้าจะต้องดื้อดึงไม่ปล่อยเขาไปเล่า?” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มบาง “ข้าผู้นี้มีชื่อเสียงไปทั่วทั้งเมืองหลวง จะขาดผู้ชายไปสักคนไม่ได้เชียวหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์แบกถุงสัมภาระไว้บนบ่าและก้าวเดินไปข้างหน้า ทว่าชายที่อยู่หลังกระโจมยังไม่เดินออกมา
“ไม่คิดจะไปส่งข้าหน่อยหรือ?”
ซูเช่อที่เพิ่งดึงสติกลับมาได้ เอามือทั้งสองข้างไพล่หลัง ค่อยๆ เดินเคียงข้างนางไป บนใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้มอ่อนโยนมีเสน่ห์ไว้ “ข้าจะไปส่งตั้งแต่เริ่มเดินทางจนถึงจุดหมาย ถึงจะถูกฝ่าบาทลงโทษ ข้าก็จะส่งเจ้ากลับเมืองหลวงด้วยตนเอง”
เห็นพยัคฆ์หน้ายิ้มกลับมามีชีวิตชีวา หลิงมู่เอ๋อร์ก็มองไปยังที่พักของแม่ทัพ
“ลาก่อนซั่งกวนเซ่าเฉิน” ——–
“ข้าได้ยินว่าเมื่อคืนท่านอยู่ในกระโจมกับหลิงไฉ่เว่ย เป็นเรื่องจริงหรือ?” หนานกงอี้จือที่ตรวจสอบเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบชัดเจนแล้ว ก็ซักถามซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างขุ่นเคือง
ซั่งกวนเซ่าเฉินที่ยังจิตใจว้าวุ่นเดิมทีก็ไม่สบอารมณ์อยู่แล้ว เมื่อถูกเขาถามก็ยิ่งเกรี้ยวกราด “จะมาวุ่นวายอันใด ต่อไปอย่าได้มาพูดจาไร้สาระไม่มีมูลกับข้า ออกไป!”
“ทั่วทั้งค่ายทหารมีแต่ข่าวลือเรื่องเมื่อคืนแพร่ไปทั่ว ข้าไม่เชื่อว่าจะเป็นเพียงข่าวลือที่ไม่มีมูล”
สีหน้าของหนานกงอี้จือก็ไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก “ท่านพี่ แม้ว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะเป็นเพียงน้องสาวบุญธรรมที่มารดาของข้ารับมาเลี้ยง แต่ก่อนที่ท่านจะสูญเสียความทรงจำ ท่านบอกว่านางสำคัญต่อท่านมาก ข้าไม่อยากให้ท่านทำเรื่องอันใดที่ต้องมาเสียใจภายหลัง”
ซั่งกวนเซ่าเฉินสายตาเย็นชา “เช่นนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับพวกเขาสองคน? เรื่องที่เห็นกับตาจะบอกว่าไม่ใช่เรื่องจริงหรือ?”
“ดูเอาเถอะ ท่านยังเป็นห่วงนางจริงๆ”
หลังจากทอดถอนใจก็ถือโอกาสนั่งตรงข้ามเขา หนานกงอี้จือส่ายหน้า “ข้าได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้ว ว่าเป็นเพราะท่านเห็นน้องบุญธรรมกับจวิ้นอ๋องน้อย…ดังนั้นถึงได้โกรธจนวิ่งออกไป และหันไปโปรดปรานหลิงไฉ่เว่ยแทน”
“ข้าหาได้ทำเช่นนั้นไม่!”
“ข้ารู้ว่ายามนั้นท่านโกรธ แต่ท่านพี่…”
“ข้าบอกว่าข้าหาได้ทำเช่นนั้นไม่!”
กำปั้นทุบลงไปบนโต๊ะอย่างแรงด้วยความเกรี้ยวกราด ซั่งกวนเซ่าเฉินที่โกรธเกรี้ยวยามนี้ก็ยิ่งโกรธจัด “ข้ายอมรับว่ายามที่เห็นพวกเขาสองคนกำลังกอดรัดกันข้าโกรธมาก แต่เมื่อคืนหลิงไฉ่เว่ยไม่ได้ค้างที่กระโจมข้า และข้าหาได้โปรดปรานนางไม่!”
เมื่อคืนเมื่อเขาเห็นหลิงมู่เอ๋อร์กับซูเช่อจูบกัน ก็หันหลังเดินออกไปด้วยความโกรธ หากถามว่าเหตุใดเขาจึงโกรธ แน่นอนว่าเป็นเพราะสตรีผู้นั้นไม่แม้แต่จะขัดขืน และปล่อยให้ชายอื่นจุมพิตนาง
จะอยู่ในถ้ำก็ทำได้ จะอยู่ในค่ายทหารก็ทำได้ ไม่ใช่แสดงให้เห็นแล้วหรือว่านางเป็นคนปล่อยเนื้อปล่อยตัวเช่นนี้
ดังนั้นเขาจึงกลับไปด้วยความเดือดดาล ทว่าจู่ๆ หลิงไฉ่เว่ยก็โถมตัวเข้ามาด้วยร่างเปลือยเปล่า เขาหงุดหงิดเป็นอย่างยิ่ง จะมีใจทำเรื่องเช่นนี้เสียที่ไหน
เขาจึงไล่นางออกไปทันที และสั่งไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้
ส่วนข่าวลือในวันนี้เป็นใครที่ปล่อยข่าวลือ เขาไม่ใช่คนที่คิดเล็กคิดน้อยเช่นนั้น แต่เขาก็อยากลองดูท่าทีของหลิงมู่เอ๋อร์เสียก่อน ผลเป็นอย่างไรเล่า นางไม่แม้แต่จะยกขึ้นมาพูดแม้แต่คำเดียวและยังถึงขนาดปล่อยให้ซูเช่อพาออกไป
ช่างหน้าไม่อาย!
“หืม นั่นเป็นหลิงไฉ่เว่ยที่จงใจสร้างข่าวลือหรือ?” หนานกงอี้จือพยักหน้า “ท่านพี่ แท้จริงแล้วท่านคิดอย่างไรกับหลิงไฉ่เว่ยผู้นั้นหรือ?”
แม้แต่เขายังรำคาญการกระทำของหญิงผู้นั้น เขาไม่เชื่อว่าญาติผู้พี่ท่านนี้จะไม่รู้สึกเอือมระอา
“คิดว่านางเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตข้า”
“แล้วอย่างไร?” หนานกงอี้จือยิ้มเยาะ “ท่านอดทนทุกอย่างปล่อยให้นางทำความผิดโดยไม่คิดห้ามปราม เรื่องเมื่อคืนหากเปลี่ยนเป็นคนอื่นจะเป็นเช่นไร? วางหลุมพรางจวิ้นอ๋องน้อย แยกคู่ชะตาของท่านผู้บัญชาการสูงสุด สร้างความบาดหมางมากมายนัก ท่านยังคิดจะปล่อยให้นางอยู่ข้างกายอีกนานเท่าใดกัน?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินตกอยู่ในภวังค์
ปัญหานี้ใช่ว่าเขาจะไม่เคยใคร่ครวญ แต่ชีวิตนี้ถึงอย่างไรสตรีผู้นั้นก็เป็นคนช่วยไว้ ยามนี้นางมีเพียงคำขอเดียวคือการอยู่ข้างกาย ต่อให้ต้องเป็นทาสคอยรับใช้ก็ล้วนยินยอมพร้อมใจ
แม้ว่าช่วงนี้ในค่ายทหารจะมีข่าวลือว่านางเป็นภรรยาของผู้บัญชาการสูงสุดอยู่บ่อยครั้ง แต่เขาคิดเพียงว่าแค่ไม่มากเกินไปก็จะปล่อยให้นางสร้างเรื่องไป เพราะถึงอย่างไรชีวิตนี้หากไม่ได้นางช่วยไว้คงได้ไปพบยมบาลแล้ว
แต่หลิงมู่เอ๋อร์ก็ปรากฏตัวขึ้นมาทำลายความคิดทั้งหมดของเขา
เดิมทีเขาวางแผนว่าหลังจากนำชัยชนะในสงครามกลับไปที่เมืองหลวงแล้ว จะให้เงินหลิงไฉ่เว่ยก้อนหนึ่งไปตั้งตัว เพื่อให้นางได้ใช้ชีวิตอย่างดีอยู่ที่เมืองหลวง
แต่หลิงมู่เอ๋อร์ราวกับไม่สนใจหญิงอื่นที่อยู่ข้างกายเขา ถึงขนาดบอกว่าไม่สำคัญว่าเขาจะจำนางได้หรือไม่
ทั้งยังแสดงออกอย่างชัดเจนว่านางไม่ชอบวังหลวง และไม่ว่าอย่างไรนางก็คิดว่าที่ที่เขาใช้ชีวิตอยู่นั้นเป็นกรงขัง
น่าหงุดหงิด รู้สึกหงุดหงิดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“คนก็ไปแล้ว พี่ใหญ่ หากท่านไม่ไล่ตามไปก็จะไม่ทันจริงๆ แล้ว” หนานกงอี้จือชี้เวลา คิดจะให้เขาได้ใคร่ครวญเอาเอง แต่ยังไม่ทันได้เดินออกจากกระโจม ก็มีทหารนายหนึ่งรีบร้อนมารายงาน
“รายงานท่านผู้บัญชาการสูงสุด จวิ้นอ๋องน้อยและแม่นางเซียนแพทย์ถูกซุ่มโจมตีระหว่างเดินทาง ยามนี้เป็นตายไม่ชัดเจนขอรับ”
เชิงอรรถ
[1] มือไม่มีแรงมัดไก่ หมายถึง คนอ่อนแอไร้กำลัง