เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 8 ตอนที่ 221 เข้าใจผิด
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 8 ตอนที่ 221 เข้าใจผิด
เล่มที่ 8 ตอนที่ 221 เข้าใจผิด
สีหน้าของซั่งกวนเซ่าเฉินพลันแปรเปลี่ยนไปในทันใด เขาใช้สายตาส่งสัญญาณให้ทหารออกไป ในกระโจมจึงเหลือเพียงพวกเขาสองคน “เจ้ายังรู้เรื่องอันใดอีก?”
“ข้าเพียงบอกได้แค่ว่าข้าไม่ชอบสถานที่ในวังหลวงที่เต็มไปด้วยพวกกินคนไม่คายกระดูก [1]”
“แม้เจ้าจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของข้า ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้เรื่องนี้” น้ำเสียงของเขาเย็นชาเป็นอย่างมาก “อย่าบอกนะว่าเรื่องนี้ข้าก็เป็นคนบอกเจ้า”
ร่างของซั่งกวนเซ่าเฉินแฝงไอสังหารแรงกล้า นางกดดันจนแทบหายใจไม่ออก
นางไม่ชอบที่เขาเป็นเช่นนี้ ยังน่ากลัวยิ่งกว่าเมื่อเทียบกับยามที่เขาโหดร้ายกับนาง
หลิงมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้วมุ่น “แน่นอนว่าท่านมิได้บอกข้า แต่ฮ่องเต้ทรงเรียกพบท่านอยู่หลายครา จะให้ข้าไม่คาดเดาสถานะของท่านนับว่ายากนัก”
ใช่ นางฉลาดเฉลียวถึงเพียงนั้น เพียงได้ฟังบทสนทนาไม่กี่ประโยคในกระโจม ก็คาดเดาการเคลื่อนไหวของศัตรูได้ หากคำพูดที่กล่าวในยามนั้นว่าสนิทกับเขามากเป็นเรื่องจริง จะคาดเดาสถานะของเขาไม่ออกได้อย่างไร?
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเจ้ายิ่งควรรู้ ว่าข้าเคยแฝงตัวอยู่ที่หมู่บ้านสกุลหลิง เพื่อที่วันหนึ่งจะได้สร้างชื่อในสนามรบ ข้ารอคอยวันนี้มานานมาก”
เมื่อมาถึงด่านชายแดนจนพบว่าข้างยอดเขาเป็นด้านหลังหมู่บ้านสกุลหลิง นางยิ่งคาดเดาจุดประสงค์แท้จริงที่พี่ใหญ่เฝ้ารออยู่ที่นี่ได้ เกรงว่าเป็นเพราะรอคอยมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ กอปรกับถูกขัดเกลาจากในหมู่บ้านทำให้เขาถอดเขี้ยวเล็บไป ค่อยๆ กลายเป็นคนเก็บตัวไม่แสวงหาการต่อสู้
นี่ก็เป็นเรื่องที่นางไม่ต้องการจะเผชิญหน้ามาโดยตลอด
นางคิดอย่างไร้เดียงสา ว่าความรู้สึกของพวกเขาจะทำให้พี่ใหญ่เปลี่ยนไปเพื่อนางได้ ยามนั้นที่ถูกไท่จื่อวางแผนลักพาตัวคน พี่ใหญ่ไม่ใช่แอบลอบกลับมากล่าวว่ามีบางสิ่งต้องบอกนางหรือ? หากนางเดาไม่ผิด สิ่งที่เขาต้องการบอกกับนางในครานั้นก็คือเรื่องนี้กระมัง? แต่เขาสูญเสียความทรงจำทั้งหมดที่มีต่อนางไปแล้ว
“ก่อนหน้านี้ท่านถามข้า ว่าจะเป็นอย่างไรหากท่านไม่มีวันจำได้ว่าข้าเป็นใคร? เช่นนั้นข้าจะตอบท่านให้” หลิงมู่เอ๋อร์มองแววตาที่ซับซ้อนของซั่งกวนเซ่าเฉิน ในใจฉายแววไม่ยอมหักใจ “ไม่ว่าท่านจะจำได้หรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้ว”
————-
กองทัพของเราได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ในการขับไล่ข้าศึก แม่ทัพสั่งมอบรางวัลสามทัพ [2] กองทหารย่อยขึ้นเขาไปล่าไก่ฟ้า เหล่าพลทหารล้วนยินดีปรีดา ก่อกองไฟย่างอาหารป่า ร้องรำทำเพลงกันอย่างครึกครื้น
“เหล่าพลทหาร พวกเราล้วนรู้สึกขอบคุณแม่นางหลิง นางไม่เพียงรักษาทหารที่บาดเจ็บมากมาย กลยุทธ์ครั้งนี้ก็เป็นนางที่วางแผน แม่นางหลิงมีจิตใจเมตตาทั้งยังฉลาดเฉลียว พวกเรามาดื่มให้นางหนึ่งจอก!”
โฉวอวี่จินยกจอกเหล้าขึ้นมาก่อน เสียงพูดดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน ทหารมากมายพากันคารวะสุราแก่หลิงมู่เอ๋อร์
หลิงมู่เอ๋อร์ทนความกระตือรือร้นของทุกคนไม่ไหว นางดื่มไปไม่กี่จอกก็เมาแล้ว
“เหอะ แค่แมวตาบอดเจอหนูตายวางไว้ [3] มีอะไรน่าอวดนัก” หลิงไฉ่เว่ยส่ายหัวอย่างไม่ยินยอม แยกตัวออกจากฝูงชนเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครสังเกต
“หมอหลวงในวังบอกว่าแขนข้างนี้ของข้าเกือบจะหมดหวังแล้ว แต่แม่นางหลิงก็ปรากฏตัวขึ้น ยอดหมอเช่นนางรักษาแขนของข้าจนหายดี แม่นางหลิงเป็นหมอเทวดาในใต้หล้าอย่างแท้จริง แม่นาง ข้าขอดื่มให้ท่าน!” ครานี้ทหารที่ได้รับบาดเจ็บชี้ที่แขนซ้ายของตนเอง เดินโซเซมาตรงหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์ พลางรินเหล้าให้นาง
เพราะเมาแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่าตนดื่มต่อไม่ไหว นางขมวดคิ้วไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร ทันใดนั้นซั่งกวนเซ่าเฉินก็ฉวยจอกเหล้าในมือของนางไป “ในเมื่อเป็นยอดหญิงหมอเทวดา จะมาเทียบกับคนธรรมอย่างพวกเราได้อย่างไร มา เปิ่นไชว่ดื่มให้พวกเจ้า!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินดื่มเหล้าในจอกรวดเดียว “เหล่าทหาร หากไม่มีพวกเจ้าเสียสละเลือดเนื้ออยู่ด่านหน้า ก็ย่อมไม่มีความสงบสุขของชาวบ้าน ข้าซั่งกวนเซ่าเฉินขอคารวะให้ทุกคนอีกครั้ง ดื่ม!”
แม่ทัพคารวะเหล้าด้วยตนเอง วิธีพูดเช่นนี้ตั้งแต่โบราณมาเคยมีเสียที่ไหน?
เหล่าทหารพากันตื้นตันใจ ยกดื่มจอกแล้วจอกเล่า ชั่วพริบตาก็เมากันไปบ้างแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์นั่งอยู่หน้ากองไฟย่างเนื้อเสียบไม้ให้ทุกคน
บนเขามีสิ่งมีชีวิตไม่มากนัก สิ่งที่พอล่าได้ก็ล่ามาหมดแล้ว แต่ในกองทัพมีทหารนับแสน จะไปแบ่งพอเสียที่ไหน?
นางจึงเสนอให้เอากระดูกมาตุ๋นน้ำแกง เนื้อก็ตัดแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆ มาย่างกิน แต่เนื้อมากพระสงฆ์น้อย[4] ที่ค่ายทหารเช่นนี้สามารถกินของอร่อยได้ แม้จะไม่พอกิน ทุกคนก็ยังพอใจ
“ทั้งที่เป็นวีรสตรีของสงครามครั้งนี้ แต่กลับมาเป็นแม่ครัวให้ทุกคน เจ้านี่ช่าง”
ซูเช่อไม่รู้วิ่งตามหลังนางมาตั้งแต่เมื่อใด ยื่นน้ำร้อนส่งให้แก้วหนึ่ง “ย่างเข้าสารทฤดูอากาศจึงหนาวมาก ที่นี่ไม่มีเตาอั้งโล่เท่าในเมืองหลวง”
เมื่อน้ำร้อนลงท้อง ก็รู้สึกว่าทั้งร่างกายพลันอบอุ่นขึ้นมา หลิงมู่เอ๋อร์ส่งเนื้อเสียบไม้ไปไม้หนึ่ง “ดีมาดีตอบ เชิญท่าน ไม้นี้ไม่เผ็ดแล้ว”
กองไฟทำให้ใบหน้างามดูอ่อนโยนเป็นพิเศษ มองอีกคราดวงตาที่วูบไหวของนางก็ราวกับมีดวงดาราเคลื่อนผ่าน ซูเช่อที่ดื่มเหล้าไปหลายจอกจนเมาก็สายตาพร่าเบลอ
“มู่เอ๋อร์…”
“เนื้อย่างเสียบไม้ได้ที่แล้ว เหล่าทหารที่มีหน้าที่เฝ้ายามต้องเหนื่อยมากเป็นแน่ ข้าจะเอาไปให้พวกเขาเสียหน่อย” ราวกับไม่ได้ยินคำพูดก่อนหน้านี้ของเขา หลิงมู่เอ๋อร์ถือถาดเดินจากไป ซูเช่อยื่นมือออกไปยังความว่างเปล่า
“โอ้ วิ่งเร็วเพียงนี้เชียว ข้ายังจะจับเจ้ากินได้หรือ?”
ซูเช่อหัวเราะเยาะตัวเอง ดื่มเหล้าเพียงลำพัง โดยที่ไม่ทันสังเกตมือแปลกๆ ข้างหนึ่ง ที่เพิ่งปรากฏออกมาข้างไหเหล้าด้านหลังของเขา
ในงานเลี้ยงที่หาได้ยาก พวกทหารร้องรำทำเพลง ค่ายทหารที่ก่อนหน้านี้มีบรรยากาศดุดันเหี้ยมเกรียมก็สนุกสนานครื้นเครงราวกับเป็นตลาดนัดแห่งหนึ่ง
หลังดื่มไปสามรอบ เหล่าทหารก็ล้วนดื่มไม่ไหว เนื้อไก่เสียบไม้ในที่สุดก็ถูกแจกจ่ายจนหมด หลิงมู่เอ๋อร์คิดจะกลับไปพักผ่อนที่กระโจมของตัวเองเสียหน่อย ทันใดนั้นก็มีพลทหารรีบร้อนวิ่งเข้ามา
“แม่นางแย่แล้วขอรับ จู่ๆ ร่างกายของจวิ้นอ๋องน้อยก็ไม่สู้ดี ท่านรีบไปดูเถอะขอรับ”
“ซูเช่อหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์รีบวางอุปกรณ์ย่างลง ตามหลังพลทหารไป “เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่เลยไม่ใช่หรือ ไม่สบายตรงไหนหรือ?”
“อาจดื่มมากไปขอรับ หรือบางทีแผลเก่าคงกำเริบ ข้าน้อยไม่แน่ใจ แม่นางไปดูก็จะรู้เองขอรับ” พลทหารหลบเลี่ยงสายตาในยามราตรี ซึ่งหลิงมู่เอ๋อร์ไม่ทันสังเกตเห็น นางรีบตามพลทหารไป เร่งร้อนมาที่กระโจมของซูเช่อ
“น้ำ เอาน้ำร้อนมาให้ข้า น้ำอยู่ไหน”
ยังไม่ทันเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเสียงครวญครางของซูเช่อ หลิงมู่เอ๋อร์ตกใจจนไม่ทันได้สังเกตความผิดปกติโดยรอบ นางเดินเข้าไปอย่างไร้การเตรียมตัว
“ซูเช่อ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
ร่างของนางเพิ่งปรากฏในกระโจม เสียงที่คุ้นเคยถูกส่งผ่านมา ซูเช่อที่เมื่อครู่ยังหาน้ำก็พุ่งเข้ามาในทันใด กอดร่างของนางจากด้านหลังไว้แน่น
“มู่เอ๋อร์ ข้า…ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน อยู่ข้างข้า อยู่กับข้าเถอะ!”
เขาออกแรงที่มือทั้งสอง หวังจะถูไถหลิงมู่เอ๋อร์กับร่างกาย ยามที่ได้กลิ่นกายของสตรี ก็ราวกับไปเปิดความยับยั้งชั่งใจของเขา เห็นเพียงมือของเขาที่โอบกอดร่างของนาง ก็เริ่มร้อนรุ่นไม่เป็นส่ำ
“จวิ้นอ๋องน้อยท่านดื่มมากไปแล้ว!” หลิงมู่เอ๋อร์ที่ตื่นกลัวรีบต่อสู้ดิ้นรน แต่พละกำลังของผู้ชายมีมากนัก นางจึงดิ้นไม่หลุด
“ซูเช่อ ท่าน…” ในขณะที่ดิ้นรนสุดกำลังก็เพิ่งรู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาร้อนเป็นอย่างยิ่ง น้ำเสียงของหลิงมู่เอ๋อร์ไม่สู้ดี “ท่านถูกคนวางยา ซูเช่อ ท่านตั้งสติหน่อย!”
คิดจะดึงมือทั้งสองข้างออกไปหายาถอนพิษที่ตัว แต่หลิงมู่เอ๋อร์ก็พบว่าก่อนหน้านี้นางเพิ่งผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ทำให้บนตัวล้วนไม่มียาอยู่เลย
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าใส่ใจเจ้าแค่ไหน เจ้ารู้หรือไม่ว่ายามที่เห็นเจ้ากับซั่งกวนเซ่าเฉินอยู่ด้วยกัน ในใจข้าเดือดดาลเพียงใด แต่ไม่เป็นไรแล้ว คืนนี้ข้าจะรักเจ้าให้ดี”
ซูเช่อที่ถูกครอบงำด้วยฤทธิ์ยาสูญเสียสติโดยสิ้นเชิง เขารู้เพียงว่าร่างของผู้หญิงในอ้อมแขนของเขามีกลิ่นที่คุ้นเคย
ทันใดนั้นหลิงมู่เอ๋อร์ถูกกดอยู่บนพื้น ซูเช่อไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป เสียง ‘แควก’ ดังขึ้นหนึ่งเสียง ไหล่ขาวเนียนของนางก็เผยออกมา
“ซูเช่อ!”
หลิงมู่เอ๋อร์ดิ้นรนอย่างรุนแรง มองไปรอบตัว พยายามหาสิ่งที่จะสามารถทำให้เขาหมดสติได้ ในยามนั้นเอง ทันใดนั้นม่านก็ถูกคนเปิดออก หลังจากนั้นร่างสองร่างก็ปรากฏตัวขึ้น
“อุ๊ย มู่เอ๋อร์เจ้ามาทำอะไรที่นี่ เจ้าไม่ใช่บอกว่าในสายตาเจ้ามีเพียงท่านแม่ทัพของพวกเราหรือ แต่ดูยามนี้สิ” เสียงของหลิงไฉ่เว่ยดังขึ้นจากด้านหลัง หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ทันเงยหน้าขึ้น ก็รับรู้ได้ถึงจิตสังหารที่รุนแรง
“ซั่งกวนเซ่าเฉิน ท่าน…”
“มู่เอ๋อร์!” ทันใดนั้นซูเช่อก็ก้มหัวลงมาปิดปากนาง
ในสายตาของซั่งกวนเซ่าเฉินที่เห็นฉากนี้ รู้สึกเพียงว่าทั้งร่างราวกับจะระเบิด สะบัดแขนเสื้อด้วยความโกรธเกรี้ยว เขาหันหลังก้าวเท้ายาวๆ จากไป
“จุ๊ๆๆ หลิงมู่เอ๋อร์ ที่แท้เจ้าก็มีช่วงเวลาที่เปล่าเปลี่ยวเช่นนี้ ข้ารู้มานานแล้วว่าเจ้ากับจวิ้นอ๋องน้อยมีความสัมพันธ์ที่พิเศษต่อกัน แต่ในเมื่อเจ้ามีคนที่ชอบแล้ว เหตุใดจึงยังมารบกวนท่านแม่ทัพของพวกเราไม่เลิกราเล่า หากท่านแม่ทัพรู้ว่าพวกเจ้าใจตรงกันต้องช่วยให้พวกเจ้าสมหวังอยู่แล้ว แต่กระทำการอุกอาจเช่นนี้ ก็นับว่าทำให้พวกเราเปิดหูเปิดตาจริงๆ ” นางมองหลิงมู่เอ๋อร์ด้วยความลำพองใจคราหนึ่ง ในที่สุดนางก็สื่อทางสายตาว่า ‘ขอให้โชคดี’ และหลิงไฉ่เว่ยก็จากไปอย่างผู้ชนะ
หากยามนี้หลิงมู่เอ๋อร์ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ นางคงโง่เต็มที
เมื่อเห็นว่ามือของซูเช่อสอดเข้าไปในเสื้อผ้าของนางแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ก็ดึงปิ่นปักผมไข่มุกออกจากศีรษะ แทงไปที่แขนของซูเช่อ
ซูเช่อเจ็บปวดจนได้สติในทันใด
เห็นหลิงมู่เอ๋อร์ตกอยู่ในสภาพจนตรอกเช่นนี้ อุณหภูมิในร่างก็คล้ายจะลดลง เขากัดฟัน “ข้าทำเรื่องต่ำช้าอันใดต่อเจ้ากัน?”
“เพี๊ยะ” ฝ่ามือตบลงไปบนหน้าของเขาอย่างไม่เกรงใจ หลิงมู่เอ๋อร์ไม่แม้แต่จะมองเขารีบพุ่งตัวออกมาจากกระโจม
นางแทบจะวิ่งไปนอกกระโจมของแม่ทัพในอึดใจเดียว แต่ยามที่นางเปิดม่านกระโจมออก ฉากที่ปรากฏเบื้องหน้านางก็ราวกับเข็มเงินทิ่มแทงดวงตาทั้งสองข้างของนางจนเจ็บปวด
นางเห็นเพียงหลิงไฉ่เว่ยอยู่ในอ้อมกอดของซั่งกวนเซ่าเฉินด้วยร่างเปลือยเปล่า และบุรุษที่หันหลังให้นางก็ก้มหัวลงไปคล้ายกำลังจูบคอของนาง
คำอธิบายทั้งหมดราวกับไร้ความหมาย ปิ่นปักผมไข่มุกในฝ่ามือร่วงลง พร้อมกับหัวใจของนางที่แตกสลายเป็นชิ้นๆ หลิงมู่เอ๋อร์จากไปโดยไม่หันกลับไปมอง
ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าฉุนกึก หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้ข่มตานอนทั้งคืนยามที่กลับมาถึงค่าย ก็เห็นพวกทหารที่เมามายนอนอยู่บนพื้น
ไม่รู้หลิงไฉ่เว่ยปรากฏตัวขึ้นด้านหลังนางตั้งแต่เมื่อใด ติดกระดุมไปก็ยิ้มมองนางอย่างลำพองใจไปด้วย “อ้าว นี่ไม่ใช่มู่เอ๋อร์ของพวกเราหรือ เป็นอย่างไรบ้าง ได้รับการดูแลจากจวิ้นอ๋องน้อยทั้งคืนมีความสุขมากหรือไม่?”
“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ในสิ่งที่เจ้าทำ ข้าไม่ลงมือกับเจ้า เพราะกลัวว่ามือข้าจะสกปรก!” ยามที่เดินเลี่ยงร่างของนาง รอบตัวหลิงมู่เอ๋อร์แผ่บรรยากาศเย็นยะเยือกรุนแรง
หลิงไฉ่เว่ยสั่นสะท้าน มองแผ่นหลังที่อ้างว้างของนาง มือทั้งสองข้างของนางวางที่ริมฝีปากคล้ายรูปร่างของแตร “แต่เมื่อคืนซั่งกวนเซ่าเฉินอ่อนโยนกับข้ามาก เขายังบอกอีกว่าจะแต่งข้าเป็นภรรยา หลิงมู่เอ๋อร์เจ้าก็ตัดใจเสียเถอะ!”
“เพล้ง” เสียงหัวใจที่แตกไปแล้วเป็นเสี่ยงๆ สั่นไหว หลิงมู่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าตัวเองกลับมาที่กระโจมได้อย่างไร นางไม่กล้านอน ไม่กล้าหลับตา เพราะเพียงแค่เข้าสู่ความมืดก็จะนึกถึงสายตาที่โหดเหี้ยมของซั่งกวนเซ่าเฉินเมื่อวานขึ้นมา
เขาเข้าใจนางผิด แต่เขาไม่ฟังคำอธิบายแม้เพียงครึ่งประโยค กลับหันไปซบอ้อมกอดของผู้หญิงอื่น
“แย่แล้วๆ ทุกคนรีบไปดูเร็ว ท่านแม่ทัพกับจวิ้นอ๋องน้อยมีเรื่องกันแล้ว”
เชิงอรรถ
[1] กินคนไม่คายกระดูก หมายถึง คนโลภมากจิตใจร้ายกาจ
[2] มอบรางวัลสามทัพ หมายถึง ให้รางวัลเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่กองทัพ
[3] แมวตาบอดเจอหนูตายวางไว้ หมายถึง โชคเข้าข้าง
[4] เนื้อมากพระสงฆ์น้อย หมายถึง เรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเปรียบกับพระสงฆ์ที่ไม่กินเนื้อ