เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 8 ตอนที่ 213 หนอนกู่
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 8 ตอนที่ 213 หนอนกู่
เล่มที่ 8 ตอนที่ 213 หนอนกู่
เมื่อเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ปรากฏตัวขึ้น ดวงตาของซั่งกวนเซ่าเฉินพลันทอประกายสว่างวาบ เขารู้สึกตื่นเต้นดีใจเล็กน้อยอย่างไม่มีเหตุผล
แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่นางพูดเมื่อครู่นี้ เขาก็ตะแคงหนีอย่างดื้อรั้น พลางพ่นเสียงลมหายใจอย่างเย็นชา “มิใช่เอ่ยว่าข้าไม่คู่ควรหรือ แล้วเหตุใดแม่นางเซียนแพทย์ถึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า?”
“เป็นถึงท่านผู้บัญชาการ แต่กลับทำนิสัยเสียเหมือนเด็ก หากข้ารู้แต่แรกว่าท่านมีนิสัยเช่นนี้ เมื่อก่อนข้าคงไม่มีทางสนใจท่าน” หลิงมู่เอ๋อร์รีบร้อนจะดูบาดแผลของเขา นางคร้านเกินกว่าจะเอ่ยให้มากความ หญิงสาวไม่สนใจคนที่อยู่โดยรอบ ฉีกเสื้อผ้าบนหน้าอกของเขาให้เปิดออกทันที
“เจ้าจะทำอะไร?” ซั่งกวนเซ่าเฉินคว้าจับมือของนาง ก่อนเอ่ยอย่างกังวล “เจ้าเป็นสตรี เหตุใดการกระทำถึงได้หยาบคายเช่นนี้?”
มองท่าทางของซั่งกวนเซ่าเฉินที่ใช้แขนทำท่าปิดหน้าอกของตน เขาทำราวกับว่านางกำลังคิดจะแต๊ะอั๋งเอาเปรียบตนอย่างไรอย่างนั้น
หลิงมู่เอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะเปล่งเสียงหัวเราะออกมา “ข้าเป็นหมอ มีตำแหน่งใดบ้างของคนไข้ที่ข้าไม่เคยเห็น? นอกจากนี้ หากท่านไม่ถอดเสื้อผ้าข้าจะรักษาและล้างพิษให้ได้อย่างไร?”
ไม่ว่าแพทย์ทหารกี่คนที่ช่วยรักษาเขาล้วนรักษาบาดแผลบริเวณผิวหนังให้ ทว่าเรื่องพิษบริเวณอกนั้น เขามิได้บอกใครเกี่ยวเรื่องนี้ ซั่งกวนเซ่าเฉินชำเลืองมองหนานกงอี้จือซึ่งกำลังผิวปากและมองเพดานเหมือนคนปกติ
“นอกจากนี้ เมื่อก่อนยามที่ท่านทำงานในไร่นาของหมู่บ้าน ท่านล้วนเปิดเปลือยร่างกาย สิ่งที่ควรเห็นหรือไม่ควรเห็น ข้าล้วนเห็นมาหมดทั้งสิ้นตั้งนานแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์พึมพำกับตัวเอง
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาได้ยิน ทว่ายามที่สตรีคนนี้พูดเรื่องที่น่าอาย ใบหน้าของนางกลับไม่แดง หัวใจก็มิได้เต้นแรงเช่นกัน
เฮอะ สตรีผู้นี้เป็นคนเช่นไรกันแน่ เหตุใดในอดีตเขาถึงได้ชอบสตรีบุ่มบ่ามมุทะลุเช่นนี้ลง?
“ข้าเป็นหมอ” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงแหลมสูง “หากท่านผู้บัญชาการไม่ต้องการให้พิษลามเข้าไปถึงอวัยวะภายในทั้งห้า อวัยวะกลวงทั้งหก พวกเราจะยังถ่วงรั้งต่อเพื่ออันใด?”
หากกองทัพทั้งสามรู้ว่าท่านผู้บัญชาการถูกวางยา อีกทั้งยังอยู่บริเวณใกล้เคียงกับเส้นเลือดของหัวใจ ย่อมทำให้เกิดความวุ่นวายแน่นอน ดังนั้นในคราแรกเขาจึงเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แต่ในเมื่อหลิงมู่เอ๋อร์เปิดเผยต่อสาธารณชนแล้ว เขาก็จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาทันที มิฉะนั้นขวัญกำลังใจของกองทัพจะหย่อนยาน และขวัญกำลังใจที่ได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาอาจจะตกฮวบลงไปอีกครา
ดวงตาทั้งสองข้างของซั่งกวนเซ่าเฉินจ้องเขม็งไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ ทว่าสองมือกลับค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าของตนเองด้วยความลำบากใจ พร้อมกับมองด้วยท่าทางที่ว่า ‘ข้าถูกเจ้าบังคับ’ และนั่นทำให้หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราะออกมา
“เจ้ายังหัวเราะอยู่อีกหรือ? แม้ว่าเจ้าจะเป็นหมอ แต่เจ้าก็ยังเป็นสตรี” ซั่งกวนเซ่าเฉินกัดฟัน เขาไม่เข้าใจยิ่งนัก “แม่นางจากครอบครัวปกติ มีนางใดบ้างที่เรียนรู้วิชาชีพเช่นนี้?”
หลิงมู่เอ๋อร์ซึ่งกำลังตรวจสอบบาดแผลหยุดชะงัก ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มทันที “อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าวิชาชีพเช่นนี้? ผู้ใดเป็นคนบอกว่าสตรีไม่สามารถเรียนวิชาแพทย์ได้ ผู้ใดเป็นคนบอกว่านี่เป็นงานที่สวรรค์ประทานให้บุรุษเท่านั้น? ซั่งกวนเซ่าเฉิน ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะมีความคิดเช่นนี้ได้”
หลิงมู่เอ๋อร์โกรธจัด “เป็นหมอก็ต้องดำรงตนอย่างหมอ จุดประสงค์ของพวกเราคือรักษาคนดีและช่วยชีวิตคนที่ยังหายใจ ในสายตาของพวกเรา คนป่วยไม่มีชนชั้นฐานะ ขอเพียงแค่มีผู้ป่วย เราอาจต้องเสี่ยงชีวิต ความเป็นความตาย และบางครั้งก็อาจเป็นไปได้ว่าต้องอดนอนหลายวันเพียงเพื่อรักษาผู้ป่วยที่ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บ แล้วข้าได้ไปปล้นฆ่าแย่งชิงผู้ใด หรือว่าบีบบังคับให้ผู้ใดให้เป็นนางโลมหรือ?”
ยิ่งพูด หัวใจของนางก็ยิ่งสั่นสะเทือน “ท่านผู้บัญชาการทหารคงดูถูกอาชีพนี้กระมัง เช่นนั้นก็ช่วยไปเรียกคนอื่นเถอะ”
หลิงมู่เอ๋อร์โกรธเข้าแล้วจริงๆ นางไม่คิดว่าการที่สตรีเป็นหมอนั้นจะย่ำแย่ในสายตาของซั่งกวนเซ่าเฉิน หากเป็นผู้อื่นเอ่ยก็ช่างมันปะไร ทว่าเขาคนนี้กลับเป็นบุรุษที่นางเคารพชื่นชมมากที่สุด
ในการรับรู้ของนาง พี่ใหญ่ของนางมีอำนาจทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดที่ทำไม่ได้ เขาอ่อนโยนและมีน้ำใจ แม้จะไม่ได้พูดจาไพเราะ แต่เขาก็ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกและซื่อสัตย์ต่อหน้าที่การงาน แต่วันนี้ถือว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาของนางแล้วจริงๆ หากเมื่อสามปีก่อนนางมีโอกาสให้ได้รู้จักเขาที่เป็นเช่นนี้ นางคงหันหลังหนีกลับและเดินจากไปอย่างแน่นอน
เพราะคนแบบนี้ไม่สมควรจะเป็นบุรุษของนาง
“เฮ้ๆๆ แม่นางหลิง ท่านอย่าเพิ่งไปสิ แม่นางหลิง”
แววตาตำหนิจ้องเขม็งไปทางซั่งกวนเซ่าเฉิน หนานกงอี้จือรีบพุ่งเข้าไปขวางทางของหลิงมู่เอ๋อร์ทันที “ญาติผู้พี่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แม่นางหลิงเข้าใจผิดแล้ว”
“ใช่แล้ว แม่นางหลิง ยามนี้ท่านผู้บัญชาการป่วยหนัก อาจเป็นเพราะยาที่ทำให้จิตใจของเขาไม่แจ่มใส ทักษะทางการแพทย์ของเจ้า แม้แต่พวกเราที่เป็นแพทย์ในสำนักหมอหลวงยังต้องละอาย จะยังมีผู้ใดดูถูกท่านได้อย่างไร?” หมอหลวงโจวเองก็เอ่ยคล้อยตามอยู่ด้านข้างเช่นกัน
“เข้าใจผิดงั้นหรือ? คำพูดที่เขากล่าวเมื่อครู่นี้ล้วนมาจากใจจริง ดวงตาของเขาเฉียบแหลม จิตใจไม่วอกแวกหย่อนยาน ดูไม่เหมือนว่าเขากำลังป่วยหนักเลยแม้แต่นิด” หลิงมู่เอ๋อร์เหลือบมองเขาจากมุมหางตาของนาง “ยังมีทหารบาดเจ็บอีกมากที่รออยู่ข้างนอก ในเมื่อท่านผู้บัญชาการไม่ต้องการแล้ว เช่นนั้นก็ขอตัวลาก่อน”
นางเดินตรงไม่หันหลังกลับ เพียงก้าวสามก้าวก็เดินถึงทางออกของกระโจมแล้ว
“หยุด”
ซั่งกวนเซ่าเฉินขมวดคิ้ว ยามที่นางกำลังจะหายไปจากสายตาจากเขา ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาอดไม่ได้ที่จะหยุดรั้งนางไว้ “ข้ายังไม่อนุญาตให้เจ้าไป จงอยู่ต่อเดี๋ยวนี้”
“เช่นนั้นท่านผู้บัญชาการก็ต้องยอมรับว่านี่ไม่ใช่วิชาชีพของสตรีที่น่าละอาย อีกทั้งยามนี้ต้องการข้าแล้วหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์หันกลับมา สายตาของนางแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์
ซั่งกวนเซ่าเฉินมิได้เอ่ยอันใด แต่ดวงตาที่เฉียบคมของเขากลับเปี่ยมไปด้วยความหยิ่งผยองจองหองยิ่งนัก
“ดูเหมือนว่าท่านผู้บัญชาการจะยังคงไม่ต้องการข้า” หลิงมู่เอ๋อร์ตบมือ นางหันกลับไปอีกครั้ง ทว่าในยามที่นางกำลังจะหันกลับไปนั้น ด้านหลังของนางพลันแว่วเสียงขัดเขินดังขึ้น
“ข้า ข้าต้องการเจ้า”
หลิงมู่เอ๋อร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางเดินยิ้มกลับมาหาเขา ก่อนจะลูบผมของเขาต่อหน้าทุกคน “นี่สิถึงจะเป็นเด็กดี”
การกระทำเรียบง่ายที่ทำให้ทุกคนตกตะลึง แต่หลิงมู่เอ๋อร์กลับออกคำสั่งเหมือนยามปกติ “นอนลงไป ถอดเสื้อผ้าออกและเปิดหน้าอกของท่านเสีย”
นางพูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่เขินอายม้วนไปม้วนมา หญิงสาวหันหน้าเข้าหาท่านผู้บัญชาการราวกับว่านางกำลังเผชิญหน้ากับบุตรของตนเอง
ซั่งกวนเซ่าเฉินคิดจะระเบิดโทสะ แต่เมื่อเห็นท่าทางที่จริงจังของนาง เขาก็โกรธไม่ลง สุดท้ายก็ทำได้เพียงระบายความโกรธทั้งหมดที่มีไปกับคนอื่นแทน “มันน่ามองหรือ? ไสหัวออกไปให้หมด!”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองสักนิด นางชี้ไปที่หนานกงอี้จือที่ต้องการจะหนีจากที่เกิดเหตุ “ท่านอยู่ต่อ”
“เหตุใดต้องเป็นข้า?” หนานกงอี้จือไม่ยินดี “ข้าไม่รู้ทักษะทางการแพทย์”
“เขาคือญาติผู้พี่ของท่าน และเป็นผู้บัญชาการของท่านด้วย หากท่านไม่รั้งอยู่เพื่อคอยดูเอาไว้ ไม่กลัวว่าข้าจะวางยาเขาจนตายหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์แย้มยิ้มอย่างสดใส “นอกจากนี้ ข้ายังขาดผู้ช่วยด้วย”
เขา หนานกงอี้จือ ดีร้ายอย่างไรก็เป็นซื่อจื่อผู้สูงส่ง เหตุใดถึงได้ถูกลดระดับให้เป็นแค่ผู้ช่วยของสตรีเล่า?
“พี่ใหญ่…”
ในสายตาของซั่งกวนเซ่าเฉินมีเพียงหลิงมู่เอ๋อร์เท่านั้น เขาไม่ได้หันกลับมามองแม้แต่นิด “อืม นางพูดถูก ถ้านางต้องการวางยาข้า ก็ยังมีเจ้าที่เป็นพยานได้”
“แผลลึกมาก ข้าต้องเจาะเลือดเพื่อนำไปตรวจสอบ หยิบเข็มเงินตรงนั้นมาที” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยสั่ง
หนานกงอี้จือไม่อยากไป แต่ซั่งกวนเซ่าเฉินกลับมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงทำตัวเชื่อฟัง
“มีห่อเล็กๆ อยู่ฝั่งด้านซ้ายของกล่องยา ช่วยข้าแกะออกให้หน่อย”
“ข้ายังต้องการยาสมุนไพรเพิ่มเติม ต้องรบกวนซื่อจื่อจดคำพูดของข้าและไปขอยาสมุนไพรจากหมอโจวแล้ว”
“รบกวนซื่อจื่อช่วยตักน้ำมาอีกอ่าง ขอบคุณท่านมาก” หลิงมู่เอ๋อร์ออกคำสั่งครั้งแล้วครั้งเล่า ทันทีที่นางทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งเสร็จ นางก็กลับมาพร้อมกับคำสั่งใหม่
“เจ้ายังจำได้อยู่หรือว่าข้าเป็นซื่อจื่อ?” หนานกงอี้จือหอบหายใจ “เฮ้อ ข้าว่านะ…”
“หุบปาก!” ซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยออกมาพร้อมกัน พวกเขาเกียจคร้านเกินไปที่จะฟังเขาเอ่ยให้มากความ
ทั้งสองคนไม่คาดคิดว่าจะมีความเห็นที่เหมือนกันเช่นนี้ หลิงมู่เอ๋อร์เงยหน้าขึ้น “ยามที่ข้าตรวจรักษาโรค ข้าไม่ชอบให้ผู้ใดเข้ามารบกวน ดังนั้นขอให้ใต้เท้าซื่อจื่ออดทนอีกสักนิด”
ซั่งกวนเซ่าเฉินยังคงจ้องเขม็งไปที่หลิงมู่เอ๋อร์โดยยังรักษาท่าทีห่างเหินเอาไว้อยู่ “ไม่ได้ยินที่นางพูดหรือ นางไม่ชอบถูกรบกวน”
“พวกท่านสองคนนี่…” หนานกงอี้จือโมโหจัด แต่หลังจากที่หลิงมู่เอ๋อร์ทดสอบอุณหภูมิของน้ำเสร็จ นางก็ขมวดคิ้วและเอ่ยพูดว่า “อุณหภูมิของน้ำร้อนเกินไป ไปยกมาอีกครั้ง”
“เจ้า—” หนานกงอี้จือกำลังจะเสียสติแล้ว “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ข้าส่งคนไปจัดการไม่ได้หรือ? ขาของข้าถูกเจ้าใช้งานจนลีบเล็กแล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์กะพริบตาที่กลมโตเป็นประกาย “หรือว่าใต้เท้าซื่อจื่อจะคิดว่าเรื่องของท่านผู้บัญชาการเป็นเรื่องเล็กน้อย สามารถยืมมือของคนอื่นได้ตามใจชอบ?”
เขายังคงคิดที่จะเปิดปากเพื่อเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่กลับพบว่าเขาไม่สามารถสรรหาคำพูดเพื่อโต้กลับได้ ดังนั้นหนานกงอี้จือจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องออกไปพร้อมกับอ่างอย่างเชื่อฟัง
“ไม่ได้ เย็นเกินไป ไปเอามาใหม่”
“น้ำอ่างเดียวไม่พอ ไปเอามาอีก”
“ข้ายังต้องการผ้าเช็ดตัว รบกวนซื่อจื่อไปเอามาอีกครั้ง”
หลังจากกลับไปกลับมาสิบกว่ารอบ หนานกงอี้จือก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป “ข้าว่านะ หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้ายังไม่เข้าใจสถานการณ์ใช่หรือไม่ คนที่สูญเสียความทรงจำและรังแกเจ้าคือเขา ไม่ใช่ข้า”
“ข้ารู้ แต่คนที่เชิญข้ามาที่นี่ มิใช่ท่านหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์ผายมือที่เปื้อนเลือดของนางกางออก และก่อนที่หนานกงอี้จือจะระเบิด นางก็ชี้ไปที่หน้าอกที่บาดเจ็บของซั่งกวนเซ่าเฉิน “ร่างกายของเขาไม่เพียงแต่ติดพิษร้ายแรงเท่านั้น แต่ข้ายังพบบางสิ่งที่แปลกประหลาด ในร่างกายของเขาอาจมีใครบางคนวางหนอนลงไปก็เป็นได้”
“หนอน?” ลางสังหรณ์ไม่ดีแวบผ่านเข้ามา แม้ว่าหนานกงอี้จือจะโมโห แต่ตอนนี้เขาก็ต้องจริงจัง “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“ข้าไม่มีเครื่องมือเพียงพอจึงยังไม่แน่ใจเต็มร้อย แต่ท่านลองดู บาดแผลจากดาบปกติเป็นเพียงรอยบางๆ แต่บาดแผลนี้กลับหนาเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งมีขนของสัตว์อยู่บนบาดแผลด้วย”
นางหยิบเส้นขนปุยเส้นเล็กออกมาและแสดงให้ทั้งสองคนดู
เมื่อยืนยันคำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์แล้ว หนานกงอี้จือก็ตกใจจนแทบทรุดลงกับพื้น “เหตุใดถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้? เยี่ยมนัก อามู่เต๋อ ก็รู้อยู่แล้วว่าเจ้านั่นชั่วร้ายเลวทราม แต่คิดไม่ถึงว่าจะใช้วิธีการที่น่ารังเกียจเช่นนี้”
ใบหน้าของเขาซีดเซียว “จะเป็นหนอนกู่หรือไม่?”
แม้ว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะมาจากตระกูลแพทย์ แต่นางก็ไม่เคยสัมผัสกับหนอนกู่มาก่อน “หนอนกู่ถูกแบ่งออกเป็นสองประเภทคือตัวลูกและตัวแม่ ทันทีที่เข้าสู่ร่างกาย คนคนนั้นจะถูกควบคุมโดยคนอื่น หากเป็นเช่นนั้นจริงก็แย่แน่ๆ”
นางมองเข้าไปในดวงตาของซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างระมัดระวัง “ท่านผู้บัญชาการของเราช่างโชคดีเหลือเกิน”
เดิมทีซั่งกวนเซ่าเฉินซึ่งที่รู้สึกเป็นกังวลในตอนแรก เมื่อได้ยินสิ่งนี้เข้า เขาก็รู้สึกเป็นกังวลน้อยลงทันที “เจ้ามีวิธีรักษาใช่หรือไม่”
“เหตุใดท่านถึงคิดอย่างนั้น?”
“ลางสังหรณ์”
ไม่คิดว่าท่านผู้บัญชาการผู้เกรียงไกรของสามเหล่าทัพจะเชื่อในสิ่งที่เรียกว่าลางสังหรณ์
แม้ว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะไม่ได้พูด แต่แววตาที่แน่วแน่ของนางก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุด
ถูกต้อง แม้ว่าซั่งกวนเซ่าเฉินจะความจำเสื่อม แต่นางจะไม่ปล่อยให้เขาต้องเกิดเรื่องไม่คาดฝันใดๆ ขึ้น แม้ว่าจะต้องทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมด นางก็จะไม่ปล่อยให้เขาต้องเกิดเรื่องใดๆ แน่
นอกจากนี้ หากเป็นหนอนกู่จริงๆ ความท้าทายก็จะยิ่งใหญ่มากกว่านี้แล้ว พูดตามตรง นางรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
“แม่นางหลิง ญาติผู้พี่ตกลงเป็นอะไรกันแน่? เจ้าเอ่ยออกมาสิ ตกลงแล้วเจ้ามีวิธีรักษาหรือไม่?” หนานกงอี้จือที่สูญเสียความอดทนยามนี้เหลือเพียงแค่ความประหม่าเท่านั้น
“นอกจากข้าแล้ว ตอนนี้ท่านยังมีตัวเลือกที่ดีกว่านี้หรือ?” นางยักไหล่ “เพื่อที่จะศึกษาให้ดียิ่งขึ้นว่ามีหนอนกู่ในร่างกายของเขาหรือไม่ ข้าต้องใช้เวลากับเขาตามลำพังในช่วงนี้ รบกวนซื่อจื่อช่วยหากระโจมที่ค่อนข้างกว้างขวาง และเงียบสงบให้ข้าด้วย”
“แม้กระโจมของญาติผู้พี่ข้าไม่ค่อยสงบเท่าใดนัก แต่มันใหญ่ที่สุดในค่ายทหารแล้ว” หนานกงอี้จือหรี่ตาลง “ทว่าเหตุใดเจ้าถึงอยากหาที่ที่ทั้งเงียบทั้งอยากอยู่ตามลำพังด้วย มิใช่ว่าเจ้าฉวยโอกาสจากอาการบาดเจ็บของญาติผู้พี่ ลงมือทำอะไรกับเขาใช่หรือไม่?”