เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 7 ตอนที่ 209 หึงหวง
เล่มที่ 7 ตอนที่ 209 หึงหวง
“ฟื้นแล้ว ท่านแม่ทัพโจว เขาฟื้นแล้ว!”
หลังจากทำการรักษามาหนึ่งวันหนึ่งคืน แม่ทัพโจวซึ่งมีอาการไข้ บางคราก็ได้สติ บางครั้งก็หมดสติ ในที่สุดก็ฟื้นตื่นขึ้นเสียที หลิงมู่เอ๋อร์รีบตรวจสอบร่างกายของเขา ก่อนที่นางจะหันไปเอ่ยกับคนที่ตั้งตารอคอยด้วยความตื่นเต้นดีใจ “ไม่เป็นกระไรแล้ว สารพิษทั้งหมดในร่างกายถูกกำจัดออกไปแล้ว ต้นขาเองก็รักษาเอาไว้ได้แล้วเช่นกัน ขอเพียงแค่พักผ่อนให้มากๆ เขาจะหายดีภายในสิบวัน”
ยามที่นางหันศีรษะกลับมาอย่างตื่นเต้นดีใจ สายตาของนางสบประสานเข้ากับดวงตาที่พร่ามัวคู่หนึ่งพอดี เมื่อเห็นหลิงไฉ่เว่ยที่อยู่ด้านหลังเขา หลิงมู่เอ๋อร์ก็ผินศีรษะหนีอย่างดื้อรั้น
ซูเช่อกำลังคิดจะแสดงความยินดีกับนาง แต่เมื่อเขาเห็นนางมีท่าทางเหม่อลอย ไม่จำเป็นต้องเดารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ท่านผู้บัญชาการของเรายามนี้คงเห็นความเก่งกาจของแม่นางน้อยแล้วกระมัง?” ซูเช่อเอ่ยเย้าแหย่โดยไม่หันศีรษะไปมองเช่นกัน “ยังคิดจะขับไล่นางออกไปอีกหรือไม่?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินเดินเลี่ยงคนทั้งสอง ก่อนจะนั่งลงตรงหน้าแม่ทัพโจว จากนั้นเขาก็เรียกหมอหลวงหลิวมาตรวจสอบร่างกายของแม่ทัพโจว รายงานที่เขาได้รับนั้นเหมือนกับคำพูดที่เขาได้ยินยามที่เข้ามาเมื่อครู่ทุกประการ เขาลอบรู้สึกโล่งใจ ยามที่มองไปทางหลิงมู่เอ๋อร์อีกครั้ง ความซาบซึ้งจึงฉายชัดในดวงตาของเขา “ได้ ข้า ผู้บัญชาการอนุญาตเจ้า เจ้าสามารถอยู่ที่นี่ต่อได้”
ท่าทางโอหังและถือดีนั่นราวกับว่านางต้องซาบซึ้งในบุญคุณที่อนุญาตให้นางได้อยู่
นางสัญญาว่าหลังจากที่เขาฟื้นคืนความทรงจำแล้ว เขาจะต้องชดใช้ต่อท่าทีหยิ่งผยองอวดดีของเขาในวันนี้
เมื่อมองไปทางหลิงไฉ่เว่ยที่กำลังไม่พอใจ จิตใจไม่สงบ นางยืดคอตั้งตรงอีกครั้ง “ป้าน้อยและท่านผู้บัญชาการของเรานี่ช่างเป็นแสงกับเงาที่แยกกันไม่ออกจริงๆ ยามนี้ป้าน้อยคงเห็นความเก่งกาจของข้าแล้วกระมัง? หากกล่าวไปแล้ว พวกเราก็ถือเป็นครอบครัวเดียวกัน ข้ามิอาจเห็นคนตายแล้วไม่ช่วยได้ มิสู้ป้าน้อยมานอนให้ข้าตรวจดูร่างกายสักหน่อย หากในอนาคตไม่สามารถตั้งท้องได้เพราะลูกคนก่อน เช่นนั้นก็คงจะไม่ดีแน่”
เมื่อเรื่องราวอันน่าเศร้าของนางถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับแผลเป็นที่เพิ่งรักษาหายถูกนางทำร้ายจนปริแตก หลิงไฉ่เว่ยโกรธจนหายใจฟึดฟัด เบิกตาจ้องเขม็ง “หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระ”
“ข้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระหรือไม่ ในใจของเจ้าย่อมรู้ดี น่าเสียดายที่บางคนถึงกับใช้ประโยชน์ อดทนไม่นำบุตรที่ตายในท้องออกมา ก็ยังมิอาจบีบบังคับชายคนนั้นได้สำเร็จ ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน”
ยามที่มองไปทางซูเช่อ สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน “ท่านเพิ่งบอกว่ากระโจมด้านนั้นมีอาหารอยู่มิใช่หรือ? ไม่ได้ทานข้าวมาหนึ่งวันหนึ่งคืน ข้าหิวแล้วจริงๆ พวกเราไปกันเถิด”
“เซ่าเฉิน นางรังแกข้า” น้ำตาแห่งความอัปยศอดสูของหลิงไฉ่เว่ยรินไหลลงมาทันทีที่นางอ้าปากเอ่ย นางมองไปทางซั่งกวนเซ่าเฉินที่กำลังใช้สายตาสืบเสาะจ้องมองไปทางหลิงมู่เอ๋อร์ นางลอบกรีดร้อง รีบร้อนปาดหยาดน้ำตาทันที “ทว่าไม่เป็นไร ผู้ใดใช้ให้ข้าเป็นป้าน้อยของนางกัน ข้าคุ้นชินกับที่ถูกนางปฏิบัติเช่นนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ถึงอย่างไรข้าก็เป็นผู้อาวุโส แค่ปล่อยไปก็เพียงพอ”
เมื่อเห็นหลิงไฉ่เว่ยได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้ คิ้วของซั่งกวนเซ่าเฉินพลันขมวดแน่นยิ่งขึ้น “เจ้าแน่ใจหรือว่าแต่ก่อนนางเคยรังแกเจ้าอยู่บ่อยครั้ง?”
“ใช่สิเจ้าคะ เพียงเพราะทั้งๆ ที่เราอายุไล่เลี่ยกัน แต่นางกลับต้องเรียกข้าว่าป้าน้อย ในใจนางไม่ยินยอมจึงมักจะทะเลาะกับข้าทุกเรื่องตั้งแต่ยังเด็ก ทว่าเซ่าเฉิน ท่านอย่าได้เข้าใจข้าผิด ข้าไม่ได้ตั้งใจจะใส่ร้ายนาง ข้าแค่ปฏิบัติต่อนางเหมือนนางเป็นเด็กน้อย ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเพียงแค่นี้” รู้ว่าซั่งกวนเซ่าเฉินย่อมไม่เชื่อ นางจึงไม่ลืมที่จะเพิ่มประโยคในตอนท้าย “แต่ดูท่าทางที่หยิ่งผยองเผด็จการของนางสิเจ้าคะ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่นางจะแก้นิสัยนี้ได้”
“เป็นนิสัยที่เผด็จการจริงๆ”
เขามิได้เอ่ยอันใดมากมาย ซั่งกวนเซ่าเฉินเดินไปข้างหน้า ออกไปจากกระโจม
เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี อาหารถูกยกขึ้นมาตรงเวลาบริเวณกระโจมฝั่งนั้น หลิงมู่เอ๋อร์และซูเช่อหาที่ที่ค่อนข้างโล่งเพื่อนั่งลง
เมื่อมองไปทางอาหารที่หยาบกระด้าง ซูเช่อพลันหมดความสนใจในทันที “ไปเถิด ข้าจะพาเจ้าไปกินของดีๆ”
แต่หลิงมู่เอ๋อร์กลับหยุดเขาเอาไว้ “ที่นี่คือค่ายทหาร ท่านจะพาข้าไปที่ใดได้? นอกจากนี้ ท่านเป็นแม่ทัพ ท่านต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่เหล่าทหาร แต่การที่ท่านออกไปก่อนเช่นนี้จะยังสามารถบังคับบัญชากองทัพทั้งสามได้อย่างไร ท่านจะทำให้พวกทหารภักดีต่อท่านได้อย่างไร?”
มองไปที่โจ๊กซึ่งจางจนเกือบจะเป็นน้ำแกง อีกทั้งผักดองจานเล็ก นางหยักยกริมฝีปากขึ้น “สภาวะที่เลวร้ายกว่านี้ ข้ายังรอดมาแล้ว ของแค่นี้ไม่นับเป็นอะไรได้”
เขาไม่เคยเห็นแววตาที่อ่อนโยนขนาดนี้ของหลิงมู่เอ๋อร์มาก่อน หัวใจของเขาก็ปวดร้าวเมื่อเห็นนางทานอาหารที่แม้แต่ขอทานยังไม่แม้แต่จะกินลงไป
จากการสืบก่อนหน้านี้ แม่นางน้อยผู้นี้ใช้ชีวิตอย่างลำบากในหมู่บ้านตระกูลหลิง อย่าบอกนะว่าชีวิตของนางที่นั่นยังเลวร้ายกว่านี้อีกหรือ?
“มู่เอ๋อร์…”
“เหตุใดท่านถึงไม่กินเล่า?” เมื่อนางเงยหน้าขึ้นก็เห็นซูเช่อที่กำลังขมวดคิ้ว นางยังคิดว่าเขาไม่ชินกับอาหารของที่นี่ “เข้าใจแล้ว จวิ้นอ๋องน้อยผู้สูงส่งเช่นท่านคงไม่เคยได้รับความทุกข์ทรมานเช่นนี้มาก่อนกระมัง? หรือไม่ ท่านรอข้าสักครู่ หลังจากข้ากินอิ่มมีกำลังแล้ว ข้าจะขึ้นไปบนภูเขาเพื่อไปขุดหาอาหารป่ามาทำอาหารแยกต่างหากอีกชุดให้ท่าน”
แม้ว่าเขาจะมีความสุขมากยามที่ได้ยินสิ่งนี้ แต่เขาก็มิอาจยอมให้นางดูถูกตนเองได้
“ตลกแล้ว ยามที่ข้าอายุได้สิบห้าปี ข้าได้นำกองทัพทั้งสามเข้าสู่สงครามต่อต้านการรุกราน ไม่ต้องเอ่ยถึงโจ๊ก ข้าถึงกับต้องกินหญ้าเพื่อให้มีชีวิตรอดสามวัน นี่จะนับเป็นอะไรได้?”
ไร้ซึ่งท่าทีวางมาดดังเช่นอดีต ซูเช่อดูราวกับคนละคน เขาหยิบชามขึ้นมาแล้วกินคำใหญ่เข้าไปทันที
จวิ้นอ๋องผู้สง่างาม เขาซึ่งควรจะใช้ชีวิตด้วยเสื้อผ้าหรูหราและอาหารรสเลิศ กลับต้องทนทุกข์อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนนาง หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกเสียใจเล็กน้อย “ข้าได้ยินมาว่าในกระโจมแม่ทัพมีครัวเล็กๆ ของตัวเองอยู่ ท่านไม่จำเป็นต้องกินข้าวที่นี่เป็นเพื่อนข้าก็ได้”
“เจ้าทนความลำบากได้ แล้วเหตุใดข้าจะทนไม่ได้? นอกจากนี้ สิ่งที่เจ้าพูดเมื่อครู่ก็ถูกต้อง มีฐานะเป็นแม่ทัพแต่ไม่อาจทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีได้ เช่นนั้นข้าจะทำให้เหล่าทหารภักดีได้อย่างไร?”
แม้ว่าจะเป็นกฎที่สืบทอดมายาวนานในการให้แม่ทัพได้กินดีอยู่ดี แต่เขาก็ยังมองหาโอกาสที่จะทำลายกฎประเพณีนี้
คำทักทายท่านผู้บัญชาการดังขึ้นจากด้านหลัง หลิงมู่เอ๋อร์หันกลับไป ก่อนจะเห็นซั่งกวนเซ่าเฉินที่พาหลิงไฉ่เว่ยเข้ามาเช่นกัน
แม้ว่านางจะรู้อยู่เสมอว่าพี่ชายบุญธรรมของนางเป็นคนที่สามารถอดทนต่อความยากลำบากได้ แต่นางไม่เคยคาดหวังว่าเขาจะสามารถทำถึงขนาดนี้ ทั้งๆ ที่อยู่ในฐานะท่านผู้บัญชาการ “ไม่ใช่ได้ยินมาว่าร่างกายของเขายังไม่หายจากบาดแผลเก่าหรือ เหตุใดถึงได้ตามมากินของเหล่านี้ด้วยกันเล่า?”
ความรักที่ลึกซึ้งก็คือการที่ไม่ว่าคนรักจะไปที่ไหนหรือทำอะไรกับเจ้า เจ้าก็อดไม่ได้ที่จะห่วงใย
แม้ว่าเมื่อครู่บุรุษผู้นี้จะทำร้ายหัวใจของนางจนแหลกสลาย แต่นางก็ยังรู้สึกสงสารร่างกายของเขา เมื่อเห็นว่าเขาทานอาหารหยาบกระด้างกับทุกคน
“เจ้าคงไม่รู้กระมัง ท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเราไม่เห็นด้วยที่จะแยกอาหารสำหรับแม่ทัพและเหล่าทหาร เขาบอกว่าแม่ทัพกินอะไรก็ได้ที่ทหารกิน ดังนั้นเขาจึงมากินที่นี่กับพวกเราทุกครั้ง” เหล่าทหารที่อยู่ด้านข้างได้ไขข้อข้องใจให้กับนาง
ทว่าหลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกทุกข์ใจยิ่งกว่า “แต่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ ร่างกายจะรับไหวหรือ?”
“ช่วยไม่ได้ ท่านผู้บัญชาการเป็นคนอารมณ์ร้อน พูดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น หรือไม่เช่นนั้น ทางห้องครัวก็ทำได้เพียงแอบเพิ่มเนื้ออีกสองสามชิ้นลงไปในมื้ออาหารของเขาแล้ว?”
หลิงมู่เอ๋อร์มองตามสายตาของทหาร และแน่นอนว่านางเห็นว่าอาหารที่แม่ครัวส่งให้ซั่งกวนเซ่าเฉินนั้นแตกต่างออกไป
ริมฝีปากของนางโค้งงอโดยไม่รู้ตัว บางทีนางเองก็อาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ทว่าดวงตาของซูเช่อกลับเต็มไปด้วยความหึงหวง
“ตัวเองก็กินไม่ได้ ยังจะเป็นห่วงคนอื่นอีก หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้าเป็นห่วงเขามากขนาดนั้นเลยหรือ?” ซูเช่ออิจฉาแล้ว “เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า หากเขาจำเจ้าไม่ได้ตลอดชีวิตจะเป็นเช่นไร?”
เมื่อถูกคำพูดนี้ทิ่มแทงใจ หลิงมู่เอ๋อร์พลันไอออกมาอย่างรุนแรง
ในค่ายทหารปรากฏสตรีคนที่สอง แม้แต่เสียงไอก็สามารถดึงดูดความสนใจของผู้อื่นได้ ยามที่ซั่งกวนเซ่าเฉินมองตามเสียง เขาบังเอิญเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ที่กำลังผลักชามข้าวต้มไปไว้ด้านข้าง ด้วยสายตาที่รังเกียจ
“เซ่าเฉิน ท่านจะไปทำไม?” หลิงไฉ่เว่ยตะโกน แต่ซั่งกวนเซ่าเฉินได้ถืออาหารของตัวเองไปโยนลงตรงหน้าหลิงมู่เอ๋อร์อย่างหยาบคายยิ่ง
“ที่นี่เป็นค่ายทหารจึงไม่สามารถรับรองเจ้าด้วยอาหารที่เคยทานก่อนหน้าได้ ทว่าถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นเพียงแม่นางน้อย ดังนั้นก็กินส่วนของข้าเข้าไปเถอะ”
ไม่อาจไม่ยอมรับได้ว่าคนที่ทำอาหารให้ซั่งกวนเซ่าเฉินนั้นตั้งอกตั้งใจทำเป็นอย่างยิ่ง อาหารของเขาดีกว่าของเหล่าทหารนัก
หลิงมู่เอ๋อร์กำลังคิดจะปฏิเสธ แต่เขากลับหันหลังเดินออกไป เมื่อมองออกไปทางหางตา นางก็เห็นหลิงไฉ่เว่ยหยิบรองเท้าผ้าออกมาจากแขนเสื้อเพื่อมอบให้เขาด้วยท่าทางที่ราวกับกำลังมอบสมบัติล้ำค่า
“เซ่าเฉิน ข้าเย็บสิ่งนี้ให้ท่านทั้งคืน แต่ข้าหาโอกาสที่จะมอบให้ท่านไม่ได้ พวกเขาบอกว่าอีกครู่ท่านจะหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์ในการต่อสู้ ดังนั้นข้าจึงทำได้เพียงมอบให้ท่านที่นี่ ท่านลองดูว่าพอดีหรือไม่ หากไม่ได้ข้าจะได้แก้ให้ใหม่”
ซั่งกวนเซ่าเฉินขมวดคิ้ว เขาหยิบมันขึ้นมาด้วยท่าทางราวกับเครื่องกล ก่อนจะสวมมันอย่างสุภาพราวกับกำลังถูกสัมภาษณ์ต่อหน้าผู้คนที่มาร่วมงานมากมาย หลิงมู่เอ๋อร์มองมันอยู่ในสายตา เสียง ‘แกร๊ก’ ดังขึ้นหนึ่งเสียง เป็นตะเกียบที่ถูกกดลงบนโต๊ะอย่างเหี้ยมโหด นางหยัดกายลุกขึ้นและก้าวยาวๆ ออกไปทันที
สายตาของทุกคนถูกเสียงของหักเมื่อครู่นี้ดึงดูดเข้า ยามที่ซั่งกวนเซ่าเฉินเงยหน้าขึ้น เขาก็เห็นเพียงภาพของนางที่พองแก้ม ก้าวยาวๆ หนีไป
หลิงไฉ่เว่ยมีความสุขมากเมื่อเห็นสิ่งนี้ “เซ่าเฉินไม่ต้องกังวล มู่เอ๋อร์มีนิสัยแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ยามนี้ไม่รู้ว่าเป็นใครกวนใจนาง”
เมื่อเห็นหลิงมู่เอ๋อร์จากไปด้วยความโกรธ เพลิงโทสะในใจของซูเช่อก็ยิ่งลุกโชน เขาเดินเข้าไปหาซั่งกวนเซ่าเฉิน ก่อนจะแย่งรองเท้าไปจากมือของเขา
“เฮอะ ก็แค่รองเท้าเก่าขาดๆ คู่หนึ่งเท่านั้น ยังทำเหมือนเป็นสมบัติล้ำค่าไปได้ สายตาและความชอบของท่านผู้บัญชาการช่างไม่เหมือนผู้อื่นจริงๆ”
หลิงไฉ่เว่ยร้อนรนแล้ว “เจ้าเรียกใครว่ารองเท้าเก่าขาด?”
“ผู้ใดยอมรับก็เป็นผู้นั้นนะสิ”
ซูเช่อโยนรองเท้าใส่อ้อมแขนของนาง ก่อนจะเดินจากไปด้วยท่าทางเชิดคอเย่อหยิ่ง
“เซ่าเฉิน ท่านดูพวกเขาสิ…” หลิงไฉ่เว่ยหันหลังกลับด้วยคิดจะฟ้อง แต่กลับเห็นซั่งกวนเซ่าเฉินที่จู่ๆ ก็หยัดกายลุกขึ้นไล่ตามเขาออกไป นางจ้องไปที่ด้านหลังของเขาอย่างไม่ยินยอม พร้อมตะโกนว่า “เซ่าเฉิน…”
ไม่ได้ จะปล่อยให้พวกเขาอยู่ด้วยกันสองต่อสองไม่ได้ หลิงไฉ่เว่ยลุกขึ้นเพื่อไล่ตามไป แต่กลับมีจานอาหารหกใส่ตัวของนางเข้าด้วยความบังเอิญราวกับจับวาง
“ไอ๊หยา เหตุใดถึงไม่ระวังบ้างเลยเล่า อาหารดีๆ ต้องหกเลอะเทอะแบบนี้ แม่นาง ข้าว่าเจ้าไม่มีตาเวลาเดินหรืออย่างไร?” หนานกงอี้จือเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เขาเป็นคนที่มีท่าทางเหยียดหยามโดยธรรมชาติ ยามนี้ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เหมือนกับนักเลงหัวไม้
“ท่าน ท่านจงใจทำ!”
เมื่อเห็นว่าซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์เดินไปไกลแล้ว หลิงไฉ่เว่ยก็กระทืบเท้าของนางด้วยความโกรธ “ท่านจงใจทำร้ายข้า! หนานกงอี้จือ ข้าเป็นผู้ช่วยชีวิตญาติผู้พี่ของท่านนะ”
“ใช่ๆๆ ผู้มีพระคุณ แต่เจ้าคือผู้มีพระคุณของเขา ไม่ใช่ของข้า” หนานกงอี้จือยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “นอกจากนี้ คู่หมั้นของคนเขาก็มาหาถึงที่ค่ายแล้ว เจ้ายังคิดจะจับเขาไม่ปล่อยอีก เช่นนั้นก็ย่อมเป็นความผิดของเจ้าแล้ว”
“ข้า…อะไรคือจับเขาไม่ปล่อย เขากับข้าเป็นสามีภรรยากันแล้ว เป็นเขาเองที่บอกว่าจะรับผิดชอบข้า”
นางรู้ว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหนานกงอี้จือ หลิงไฉ่เว่ยเองก็ทุ่มสุดตัวหมดแล้วเหมือนกัน จึงนำหัวข้อนี้ขึ้นมาเอ่ยอีกครั้งต่อหน้าทหารจำนวนมาก เมื่อหนานกงอี้จือได้ยินเข้า เขาก็รีบปิดปากของนางก่อนลากนางไปที่บริเวณมุม “สตรีเช่นเจ้าเสียสติไปแล้วกระมัง ถึงไม่รู้ว่าคำว่าละอายใจเรียกอย่างไร”
“เดิมทีก็เป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว ยังจะห้ามไม่ให้คนอื่นพูดอีก” หลิงไฉ่เว่ยจ้องเขาอย่างโกรธเคือง “หนานกงอี้จือ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังวางแผนอะไร ท่านดูถูกข้ามาโดยตลอด ยามนี้หลิงมู่เอ๋อร์กลับมาแล้ว ท่านก็ยิ่งอยากจะสู้กับข้ามากกว่าเดิมใช่หรือไม่? แต่ท่านจงจำไว้ ไม่ช้าก็เร็วข้าจะเป็นผู้หญิงของเขา และท่านก็ต้องเรียกข้าว่าพี่สะใภ้ในไม่ช้าก็เร็ว!”
“ไอ๊หยา!” หนานกงอี้จือรู้สึกว่ามันช่างน่าหัวเราะเหลือเกิน “ข้าว่านะแม่นาง เจ้าไปเอาความกล้ามาจากไหนกัน? หลายวันมานี้ข้าเห็นแก่หน้าของญาติผู้พี่ ไม่ให้คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้า แต่อย่าได้คิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังวางแผนอะไรอยู่ ญาติผู้พี่บอกข้าแล้วว่าระหว่างพวกเจ้ามิได้เกิดเรื่องล้ำเส้นอะไรกันขึ้น หากข้าเป็นเจ้า ก่อนที่คู่หมั้นของเขาจะมา ข้าจะรีบรับของตอบแทนและไสหัวออกไป!”
โดยปกติแล้ว แม้หนานกงอี้จือจะเป็นคนซื่อบื้อ แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ ไม่ว่าหลิงไฉ่เว่ยจะมีแผนอะไรก็มิอาจปิดซ่อนจากสายตาของเขาได้
“ดีร้ายอย่างไร เจ้าก็ช่วยชีวิตญาติผู้พี่ของข้าเอาไว้ บอกข้ามาเถิด เจ้าต้องการเงินเท่าไหร่ถึงจะยอมจากไป?”