เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 7 ตอนที่ 208 ปกป้อง
เล่มที่ 7 ตอนที่ 208 ปกป้อง
“อ๊าก!” ทันทีที่สิ้นเสียงคำสั่งของซั่งกวนเซ่าเฉิน ทหารที่สลบอยู่บนเตียง จู่ๆ ก็ฟื้นขึ้นมา ก่อนจะกรีดร้องอย่างน่าสังเวช “ขาของข้า ขาของข้า เจ็บเหลือเกิน”
บุรุษสูงศักดิ์ตัวโตถึงเจ็ดชุ่น ทหารที่ต่อสู้จนตัวตายในสนามรบ ศีรษะอาจถูกตัดออก เลือดอาจรินไหล ยามที่ถูกมีดแทงดาบฟันก็ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วสักนิด ทว่ายามนี้กลับเจ็บจนแทบทนไม่ไหว ดิ้นไปมาบนเตียง
หลิงมู่เอ๋อร์ทั้งโกรธทั้งร้อนรน “ขาของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส พวกท่านมีตาก็คงจะมองออก มันเป็นอาการที่ถูกพิษเล่นงาน อีกทั้งบาดแผลยังเลวร้ายลงเนื่องจากการรักษาที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม หากขาของเขาไม่ได้รับการรักษาที่ทันการณ์ย่อมพิการแน่”
“เจ้ามีสิทธิ์อันใดถึงตัดสินใจเช่นนี้?” ซั่งกวนเซ่าเฉินตั้งคำถาม
“ก็สิทธิ์ที่ข้าเป็นหมออย่างไรเล่า!”
สถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เวลาจะมาสวมบทแง่งอนระหว่างชายหญิงอีกแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ตบหน้าอกของตน “เพราะข้าเป็นแพทย์ที่มีความรับผิดชอบ ในสายตาของแพทย์มีเพียงสิ่งเดียว นั่นก็คืออาการบาดเจ็บของผู้ป่วยนั้นหนักหนาสาหัสหรือไม่ อีกทั้งข้ายังสามารถรับรองได้ด้วยว่า หากการรักษาขาของเขาล่าช้ากว่านี้อีกเพียงนิดเดียว ขาข้างนี้จะไม่เพียงแต่ไร้ประโยชน์ แต่พิษยังจะลามไปทั่วทั้งตัวด้วย หรือว่าพวกท่านปรารถนาจะให้เขาตายบนเตียงนี้หรือ?”
ช่างเป็นคำอธิบายที่รุนแรงยิ่งนัก
ทุกคนมองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แม่ทัพโจวที่นอนอยู่บนเตียง เขาเอาแต่ส่ายหัวไปมา “ข้าไม่อยาก ข้าไม่อยากตาย แม่นาง ช่วยข้าด้วย แม่นางได้โปรดช่วยข้าด้วย”
“ยามนี้ไม่ใช่ว่าข้าจะช่วยหรือไม่ช่วยท่าน แต่เป็นท่านผู้บัญชาการของท่านเองที่ไม่ยอมให้ข้าช่วย” หลิงมู่เอ๋อร์จ้องตรงไปยังซั่งกวนเซ่าเฉินด้วยสายตาที่คมปลาบ
โยนความยุ่งยากทั้งหมดใส่หัวของเขา
ซั่งกวนเซ่าเฉินหลับตาลง เขาคิดว่าตนไม่เคยรู้จักสตรีที่มีบรรยากาศหนักแน่นแข็งแกร่งขนาดนี้มาก่อนในชีวิต นางเป็นอดีตคู่หมั้นของเขาจริงๆ หรือ?
“สิ่งที่นางพูดเป็นความจริงหรือไม่?” ซั่งกวนเซ่าเฉินหันไปมองไปที่แพทย์จากสำนักหมอหลวงที่อยู่ด้านข้าง
เดิมทีแพทย์จากสำนักหมอหลวงที่ติดตามมาได้รับมอบหมายให้ไปประจำในแต่ละกระโจม แต่สถานการณ์ที่นี่วิกฤตหนัก หมอหลวงอาวุโสสี่คนจากสำนักหมอหลวงจึงถูกจัดให้อยู่ที่นี่ชั่วคราว
อายุเฉลี่ยของพวกเขาทั้งสี่คนรวมกันมากกว่าหกสิบปี พวกเขามองหน้ากันและกัน ก่อนจะพยักหน้าในที่สุด
“เรียนท่านผู้บัญชาการ พวกเราเชิญแม่นางหลิงมาที่นี่เพราะพวกเราไร้ความสามารถแล้วจริงๆ แม่นางหลิงคนนี้มีทักษะการแพทย์ที่เก่งกาจ สิ่งที่ข้าได้เห็นและได้ยินล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เคยได้ฟังที่ไหนมาก่อน ถือว่าเป็นตำนานเลยก็ว่าได้ ในเมื่อนางแน่ใจถึงขนาดนี้ ก็ขอให้นางได้ลองเถิดขอรับ”
“นี่คือชีวิตมนุษย์ ไม่ใช่หนูตะเภาสำหรับการทดลองของเจ้า อะไรที่เรียกว่าให้นางได้ลองกัน?” ซั่งกวนเซ่าเฉินโกรธเข้าแล้ว
เมื่อมองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์อีกครา เขาก้าวยาวๆ เข้าไปหานาง ซูเช่อคิดว่าเขากำลังจะทำอะไรบางอย่างอีกจึงรีบดึงนางไปปกป้องไว้ข้างหลังเขา
“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะกรอกยาเสน่ห์อะไรให้พวกเขา แต่เจ้าเองก็ได้ยินแล้ว พวกเขาแค่ให้เจ้าได้ลองดูเท่านั้น ทหารของข้า แม้ว่าพวกเขาจะตายในสนามรบ ก็ไม่สมควรที่จะถูกลดทอนคุณค่าให้เป็นเพียงเครื่องมือสำหรับการทดลองของเจ้าได้”
ซั่งกวนเซ่าเฉินหันสายตากวาดมองไปทางซูเช่อ ก่อนจะตะโกนใส่หลิงมู่เอ๋อร์ที่อยู่ข้างหลังเขาอย่างโมโหว่า “เช่นนั้นก็ขอเชิญพวกเจ้า ออกไปเดี๋ยวนี้!”
นี่เป็นครั้งที่สามในวันเดียวที่เขาดุนาง!
หน้าอกของหลิงมู่เอ๋อร์กระเพื่อมขึ้นลง นางไม่เคยรู้สึกได้รับความอัปยศขนาดนี้มาก่อน ทว่าแม่ทัพโจวบนเตียงกลับร้องคำรามขึ้นมาอีกครั้ง
“จะไม่ทันการณ์แล้ว”
นางส่งสัญญาณทางสายตาให้แก่ซูเช่อ ก่อนจะรีบพุ่งไปที่เตียงพร้อมกล่องยาในมือ ซั่งกวนเซ่าเฉินต้องการหยุดนาง แต่ซูเช่อกลับไม่พูดพรำทำเพลงยืนขวางอยู่ตรงหน้าเขาทันที “นางบอกว่านางสามารถทำได้ ท่านควรเชื่อใจนาง”
“พวกเจ้ากำลังก่อเรื่อง!” ซั่งกวนเซ่าเฉินโกรธมากจนแทบจะพ่นไฟออกมา
“จะใช่การก่อเรื่องหรือไม่ เพียงแค่ดูก็รู้แล้ว แต่ตอนนี้ ข้าไม่อนุญาตให้ท่านรบกวนนาง!” ซูเช่อชักดาบอ่อนข้างเอวออกมา ทำราวกับว่าเขาสามารถพุ่งเข้าไปข้างหน้าเพื่อต่อสู้กับเขาจนตัวตายได้ทันที
“พวกท่านมิใช่หมอหลวงที่หยิ่งยโสลำพองใจมาก่อนหรือ แต่ก่อนมิใช่ว่ากำเริบเสิบสานในวังอย่างมากหรือ? พวกท่านมิได้มั่นใจในตนเองว่าไม่มีโรคใดที่รักษาไม่ได้ไม่ใช่หรือ เหตุใดแม้แต่สตรีคนเดียวก็สู้มิได้เล่า?”
โทสะของซั่งกวนเซ่าเฉินไม่มีที่ระบาย ดังนั้นเขาจึงหันไปเผชิญหน้ากับกลุ่มชายชราที่เอาแต่ก้มหน้าทำอะไรไม่ถูก
ซูเช่อโกรธจัด เมื่อเห็นว่าเขาจะฉวยโอกาสเข้าไปรบกวนหลิงมู่เอ๋อร์ ชายหนุ่มพลันคว้าคอเสื้อของซั่งกวนเซ่าเฉินก่อนเอ่ยว่า “งั้นบอกข้าสิว่าท่านมิได้เกิดมาจากสตรี? ผู้ใดเป็นคนตัดสินว่าสตรีไม่สามารถประกอบวิชาแพทย์ได้?”
“ซูเช่อ ท่านเป็นแค่กำลังเสริมที่ฮ่องเต้ทรงส่งมาเสริมทัพเท่านั้น เป็นเพียงแค่แม่ทัพคนหนึ่ง ข้าของสั่งให้ท่าน หลีกทาง!”
“ไม่!” ซูเช่อเชิดหน้าขึ้นสูง
ซูเช่อถามหลิงมู่เอ๋อร์ข้างหลังเขาโดยไม่หันศีรษะไปมอง “มีหนทางรักษาหรือไม่?”
“มี” น้ำเสียงแผ่วเบายิ่งนัก ทว่ากลับมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง
“ดี เช่นนั้นก็รักษาต่อไปเถิด!” ทันทีที่เอ่ยจบ ซูเช่อก็ดึงดาบอ่อนของตนออกมา ก่อนจะชี้ไปที่ซั่งกวนเซ่าเฉิน “ตราบใดที่ข้ายังอยู่ที่นี่ในวันนี้ ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้ท่านได้หยุดความตั้งใจของนางแน่”
ซั่งกวนเซ่าเฉินโมโหจนแทบจะระเบิดแล้ว ไม่ใช่เพราะเขาไม่ต้องการให้หลิงมู่เอ๋อร์รักษาผู้บาดเจ็บ แต่เป็นเพราะว่าซูเช่อกำเริบเสิบสานเกินไป
เพื่อมารดาของตนแล้ว เขาถึงได้ทำการตัดสินใจที่ยากลำบากนี้ อดทนรอมาเป็นเวลานาน เขาไม่ใส่ใจที่พ่นถ้อยคำไร้ไมตรีเช่นนี้ออกไป
อีกทั้งสตรีที่หยิ่งยโสบ้าระห่ำคนนั้น ไม่ใช่บอกว่าตนเป็นคู่หมั้นของเขาหรือ แล้วเหตใดซูเช่อถึงได้ปกป้องนางถึงเพียงนี้?
ไฟในใจของเขาที่กำลังจะลุกโชนจนแทบจะระเบิด เมื่อหนานกงอี้จือได้ข่าวก็รีบตรงเข้ามาหา พอดีกับตอนที่ซั่งกวนเซ่าเฉินกำลังจะระเบิด ชายหนุ่มจึงรีบร้อนแทรกเข้าไปตรงกลางและแยกทั้งสองออกจากกัน
เมื่อเห็นว่าหลิงมู่เอ๋อร์กำลังรักษาแม่ทัพโจวอย่างระมัดระวัง เขาก็เข้าใจได้ทันทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“ท่านผู้บัญชาการ ท่านเชื่อใจแม่นางหลิง หากแม้แต่นางก็ไร้หนทาง เช่นนั้นแม่ทัพโจวก็ทำได้แค่รอความตายแล้ว”
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองไปที่หนานกงอี้จืออย่างไม่อยากเชื่อ “แม้แต่เจ้าก็ปกป้องนางด้วยหรือ?”
“ไม่ใช่การปกป้อง แต่เป็นเพราะว่าทักษะทางการแพทย์ของแม่นางหลิงนั้นเก่งกาจยิ่ง แน่นอนว่าท่านที่สูญเสียความทรงจำไปย่อมจำไม่ได้ นางถูกกล่าวขานว่าเป็นเซียนแพทย์ในเมืองหลวง และสมญานามนั่นก็คู่ควรเหมาะสมจริงๆ”
นางไม่เพียงแต่หยิ่งผยองหลงตัวเองเท่านั้น ทว่านางสามารถเอาชนะใจผู้คนได้ และยังมีเล่ห์เหลี่ยมบางอย่างอีกด้วย
ยามที่เขามองไปทางหลิงมู่เอ๋อร์ ดวงตาของซั่งกวนเซ่าเฉินซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีก
“ได้ ถ้าเจ้ารักษาแม่ทัพโจวได้สำเร็จ ข้าจะอนุญาตให้เจ้าอยู่ที่ค่ายทหารต่อ ทว่าหากทำไม่ได้ ข้าจะส่งคนให้ไปส่งเจ้ากลับเมืองหลวงทันที” เมื่อมองไปทางซูเช่ออีกครั้ง สายตาของเขาก็เหมือนเห็นศัตรูก็ไม่ปาน “และแจ้งเป็นสาสน์ทูลฮ่องเต้ให้ชัดเจนด้วย”
ด้านนอกค่าย หลิงไฉ่เว่ยอดไม่ได้ที่จะปิดปากลอบหัวเราะเยาะ “ข้าจะปล่อยให้เจ้าได้อวดอ้างความสามารถ หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้ารอให้ถูกขับไล่ไปได้เลย”
ประมาณสองเค่อต่อมา หลิงมู่เอ๋อร์ฉีดยาเสร็จ เมื่อมองไปยังบาดแผลที่ไม่มีเลือดไหลออกมาแล้ว และแม่ทัพโจวที่สลบไปแล้วเช่นกัน นางก็เช็ดเหงื่อบนหน้าผากของตน
เมื่อเห็นเช่นนี้ เหล่าแพทย์ในสำนักหมอหลวงก็รีบร้อนเข้ามาถามว่า “ขาของแม่ทัพโจวรักษาหายเป็นปกติแล้วหรือ?”
“หามิได้ ข้าเพิ่งทำความสะอาดบาดแผลที่แย่ลงของเขาเสร็จ ทว่าเพราะเขาได้รับพิษมาเป็นเวลานาน พิษแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นแล้ว ข้ายังต้องวิเคราะห์ใหม่อีกครั้ง” น้ำเสียงของหลิงมู่เอ๋อร์ดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย
หลิงไฉ่เว่ยที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดกระโดดเข้ามาทันที “มู่เอ๋อร์ เจ้าควรเลิกอวดอ้างความสามารถได้แล้ว วิชาแพทย์ของเจ้าเอาไว้ช่วยหมาแมวยังพอเป็นไปได้ แต่นี่คือท่านแม่ทัพ หากเจ้าไม่ระวังเพียงนิดจนเขามีอันเป็นไป เจ้าจะรับผิดชอบไหวหรือ?”
หลิงไฉ่เว่ยแสร้งทำเป็นกังวล นางมองซั่งกวนเซ่าเฉินด้วยใบหน้าที่อ่อนโยนสง่างาม “เซ่าเฉินอาจไม่รู้ว่ามู่เอ๋อร์เคยช่วยรักษาหมาแมวยามที่นางยังอยู่ในหมู่บ้าน หากรักษาจนพวกมันหายดี ทุกคนก็มีความสุข ทว่าหากรักษาไม่ได้ นางก็จะหาข้อแก้ตัวปัดทิ้ง แม้ว่าทุกคนจะซาบซึ้งในน้ำใจของนาง แต่สุดท้าย ทั้งหมดก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญโชคดีเท่านั้น”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ คิ้วของซั่งกวนเซ่าเฉินก็ยิ่งขมวดแน่นขึ้น ไม่ใช่เพราะเขาเชื่อคำพูดของหลิงไฉ่เว่ย แต่เป็นเพราะคำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์เมื่อครู่ที่ว่านางยังต้องวิเคราะห์เรื่องนี้อีกที
เมื่อเห็นซั่งกวนเซ่าเฉินมองนางด้วยความสับสน ราวกับลังเลว่าจะประหารชีวิตของตนอย่างไร หัวใจของหลิงมู่เอ๋อร์พลันเต้นด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทันที
เมื่อมองไปที่หลิงไฉ่เว่ยอีกครั้ง นางอยากได้เข็มเงินมาเย็บปากนางจริงๆ “ตัวข้าเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองไปรักษาหมาแมวตอนไหน ท่านป้าน้อยกลับรู้ดีขนาดนี้เชียว? ดูเหมือนว่าเจ้าคงจะแปลกใจในทักษะทางการแพทย์ของข้า ไม่อย่างนั้นข้าแสดงให้เจ้าเห็นดีหรือไม่?”
นางมองประเมินหญิงสาวจากบนลงล่าง ก่อนที่สายตาจะกวาดมองไปยังแพทย์ของสำนักหมอหลวงที่อยู่ด้านข้าง “ท่านหมอหลิว ท่านเป็นหมออาวุโสแห่งสำนักหมอหลวง ท่านย่อมได้เห็นผู้คนมากมายนับไม่ถ้วน ข้าได้ยินมาว่าเพียงแค่มองครั้งเดียว ท่านก็สามารถบอกได้ทันทีว่ามีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับร่างกายของคนไข้หรือไม่ ป้าน้อยของข้าคนนี้ตั้งท้องเมื่อสองปีก่อน ผลปรากฏว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงไม่ยอมหักใจเอาเด็กที่ตายในครรภ์ออก ไม่เช่นนั้นเหตุใดยามนี้พวกเราไม่มาลองดูด้วยกันว่าทารกตายในครรภ์นั้นถูกขจัดออกหมดแล้วหรือยัง?”
ไม่มีใครในค่ายทหารที่ไม่รู้ว่านางคือสตรีที่ซั่งกวนเซ่าเฉินพากลับมา ตอนนี้หลิงมู่เอ๋อร์กำลังเปิดเผยเรื่องอื้อฉาวในอดีตของนางต่อหน้าคนมากมายอย่างไร้ไมตรี สตรีคนหนึ่งเคยแต่งงานก็นับว่าช่างมันเถิด ทว่าถึงกับเคยตั้งครรภ์มาแล้ว เรื่องเช่นนี้จะยังให้นางเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
“หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระ!”
กลัวว่าซั่งกวนเซ่าเฉินจะไม่เชื่อคำพูดของนาง หลิงไฉ่เว่ยรีบคว้าแขนของเขาเอาไว้ “ข้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น เซ่าเฉิน นางจงใจทำร้ายข้า นางเห็นว่าฆ่าข้าไม่ได้จึงหาโอกาสใส่ร้ายข้า ท่านอย่าได้หลงเชื่อนางเป็นอันขาด”
สิ่งที่ทนไม่ได้ที่สุดคือสตรีที่ก่อกวนสถานการณ์โดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสม หมอหลิวขมวดคิ้ว มองประเมินนางขึ้นลง จากนั้นใช้แรงบังคับจับข้อมือของนาง แม้จะเป็นเวลาเพียงชั่วครู่ แต่เนื่องจากประสบการณ์ทางการแพทย์อันยาวนาน เขาก็สรุปได้ทันที “สตรีผู้นี้ แม้ว่าในปีนั้นลูกของเจ้าจะถูกนำออกจากครรภ์ ทว่าเจ้าใช้เวลานานเกินไปจนทำให้ร่างกายเสียหาย หากไม่รักษาให้ทันเวลา ก็อาจจะตั้งครรภ์ได้ยากในอนาคต”
เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงได้เอ่ยเรื่องที่นางจะท้องได้หรือไม่ได้กันแล้วเล่า?
การกระทำของชายชราไม่ได้เป็นหลักฐานว่าคำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์เป็นความจริงหรอกหรือ หลิงไฉ่เว่ยหายใจหอบ แทบจะหารูมุดหนี นางคว้าฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้าย “ซั่งกวนเซ่าเฉิน…”
“หลิงไฉ่เว่ยคือผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตของข้า ในเมื่อร่างกายของนางรู้สึกไม่ค่อยสบาย ข้าจึงอยากรบกวนหมอหลวงหลิวช่วยตรวจดูนางอย่างใกล้ชิดในภายหลัง” แม้ว่าซั่งกวนเซ่าเฉินจะไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ แต่การกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจของเขาในการปกป้องนางเอาไว้ข้างหลังก็กลายเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของเขา
เมื่อเห็นหลิงมู่เอ๋อร์หันหลังกลับไปด้วยความผิดหวัง เขาก็ขมวดคิ้ว “สิ่งที่เจ้าควรสนใจตอนนี้ไม่ใช่ท้องของนาง แต่เป็นสัญญาของเจ้าเมื่อครู่ ตอบข้ามา คำพูดเมื่อครู่ของเจ้าหมายความว่าอย่างไร ตกลงแล้วขาของแม่ทัพโจวรักษาให้หายได้หรือไม่?”
“ข้ารู้จักท่านมานานหลายปี แต่ไม่เคยรู้เลยว่าท่านจะมีปัญหาเกี่ยวกับหูด้วย” หลิงมู่เอ๋อร์มองเขาอย่างดูถูกเหยียดหยาม ก่อนจะชี้ไปยังต้นขาที่ได้รับบาดเจ็บของแม่ทัพโจว “ข้าพูดไปเมื่อครู่แล้ว พิษในร่างกายของเขาได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งตัวแล้ว หากต้องการจะรักษาขาข้างนี้ไว้ ก็เหลือเพียงทางเดียวคือต้องผ่าตัดเอาเนื้อที่ตายออก ทว่าเงื่อนไขทางการแพทย์นั้นมีข้อจำกัด หากว่าต่อไปเขามีไข้หรือรักษาไม่ถูกวิธี ก็อาจจะบาดเจ็บถึงรากแก่นของร่างกาย แต่ว่าถ้าหากไม่รักษาละก็…”
“จะเกิดอะไรขึ้น?” ซั่งกวนเซ่าเฉินถาม
“เพื่อรักษาชีวิตของเขาไว้ เช่นนั้นก็ยอมเสียขาข้างนี้”
ทุกคนอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำพูดนั้น โดยเฉพาะหนานกงอี้จือผู้ซึ่งไม่เคยอยู่ในสนามรบมาก่อน ใบหน้าของเขาซีดลงด้วยความตกใจ “นี่ ขาข้างนี้ใช้การมานานได้เป็นอย่างดี แล้วเหตุใดเราถึงต้องตัดมันด้วยเล่า?”
“ไม่ตัดก็ได้ เช่นนั้นก็รอให้พิษกำเริบจนตายก่อน”
หลิงมู่เอ๋อร์พูดอย่างสบายๆ แต่ความจริงแล้วนางมีความคิดอยู่ในใจเรียบร้อยแล้ว นั่นคือวิธีรักษา
แต่จากท่าทีของซั่งกวนเซ่าเฉินที่ขับไล่นาง นางย่อมมิอาจหวังไว้มากนัก ดังนั้นยามนี้นางจึงคิดว่าจะเกลี้ยกล่อมเขาอย่างไร
โดยคิดไม่ถึง หลังจากที่ได้ยินเรื่องความจำเป็นในการตัดขา เขาเป็นคนแรกที่รีบเอ่ยออกไป โดยไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร “ไม่ว่าจะมีเงื่อนไขหรือจะต้องใช้อุปกรณ์ใด ข้าขอสั่งให้เจ้าพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยชีวิตเขา!”
“ท่านไม่กลัวหรือว่าถ้ารักษาขานี้ไว้ ชีวิตของเขาจะสูญสิ้นแทน?”
“ยามที่ออกรบไปสิบ ตายเก้ากลับมาหนึ่ง ไม่แขนขาดก็ขาขาดจากเก้าในสิบส่วน แต่ถ้าเป็นไปได้ ข้าจะพยายามให้มากที่สุดเพื่อปกป้องร่างกายของพวกเขา” ซั่งกวนเซ่าเฉินพูดอย่างเคร่งขรึมจริงจัง “แน่นอน ถ้าเจ้าทำให้ความเชื่อใจของข้าสูญเปล่า ข้าจะส่งเจ้าไปตายพร้อมกับเขาแน่”