เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 7 ตอนที่ 206 กรีดแทงใจ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 7 ตอนที่ 206 กรีดแทงใจ
เล่มที่ 7 ตอนที่ 206 กรีดแทงใจ
“เซ่าเฉิน ท่านอย่าโทษนางเลย มู่เอ๋อร์เพียงแค่โกรธ อีกทั้งเมื่อครู่นางก็ไม่ได้ตั้งใจผลักถูกข้าก็เท่านั้น”
หลิงไฉ่เว่ยคว้าแขนของซั่งกวนเซ่าเฉินเอาไว้ น้ำตาของนางไหลพราก ท่าทางดั่งดอกสาลี่ต้องสายฝนที่พาให้ผู้ที่พบเห็นอดไม่ได้ที่จะสงสาร
“ไม่ได้ตั้งใจหรือ? เช่นนั้นมีดในมือของนางหมายความว่าอย่างไร?”
สายตาของซั่งกวนเซ่าเฉินกวาดมองลงไป สายตาของเขาจ้องเขม็งไปที่สิ่งที่เหมือนกับมีดแล้วก็เหมือนกับกริชในมือของหลิงมู่เอ๋อร์ เขาเป็นดั่งราชาแห่งอันธการ ร่างกายแผ่กลิ่นอายที่แข็งแกร่ง ก่อนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลิงมู่เอ๋อร์ สายตามองจากที่สูงเปี่ยมไปด้วยโทสะ “ที่นี่คือค่ายทหาร เจ้าถึงกับจะลงมือฆ่าคนหรือ?”
ตั้งแต่วินาทีที่หลิงไฉ่เว่ยล้มลงอย่างกะทันหัน หลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้ตัวว่านางติดกับแล้ว
ไม่อาจไม่ยอมรับได้ว่าหลิงไฉ่เว่ยชอบแสร้งทำตัวอ่อนแอบอบบางและน่าสงสารไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทว่ากลอุบายนี้ถูกใช้สำเร็จซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางไม่เคยคิดเลยว่าพี่ใหญ่ผู้เป็นเทพสงครามแสนปรีชาของนางจะถูกหลอกเอาได้
แม้ว่านางจะรู้ว่าซั่งกวนเซ่าเฉินจำตนเองไม่ได้เพราะอาการบาดเจ็บ แต่สายตาราวกับคนแปลกหน้าของเขาก็ยังคงทำให้หัวใจของนางแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ
“ตาข้างไหนของท่านที่เห็นว่าข้าต้องการจะฆ่านาง?”
น้ำเสียงเย็นชาหยิ่งผยอง ทว่าก็ไม่เหมือนกับเสียงที่สตรีผู้หนึ่งจะเปล่งออกมาได้
สิ่งที่มาพร้อมกับท่าทางหยักยิ้มมุมปากอย่างเย็นชาของนาง คือภาพภาพหนึ่งที่จู่ๆ ก็แวบเข้ามาในหัวของเขา ซั่งกวนเซ่าเฉินพยายามจะคว้าจับมันเอาไว้อย่างสุดชีวิต ทว่าไม่ว่าจะทำเช่นไร เขาก็นึกไม่ออก
ยามที่เขาหันกายไปมองหลิงไฉ่เว่ยอีกครั้ง น้ำเสียงที่ใช้อ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง “เจ้าไม่เป็นกระไรกระมัง?”
“ข้าไม่เป็นกระไร แค่บังเอิญข่วนแขนตัวเองเข้า แต่ท่านวางใจได้ แค่ทายาก็ไม่เป็นไรแล้ว” หลิงไฉ่เว่ยยิ้ม นางมองหลิงมู่เอ๋อร์จากมุมหางตา ก่อนจะเปลี่ยนท่าทางเป็นประหม่าอย่างยิ่ง “เซ่าเฉิน ท่านอย่าได้คิดเล็กคิดน้อยกับมู่เอ๋อร์เลย นางเป็นคนหุนหันพลันแล่นตั้งแต่ยังเยาว์ นางเข้าใจข้าผิดจึงทำร้ายข้าโดยมิได้ตั้งใจ อีกทั้งหลายปีมานี้ ข้าเองก็ชินแล้วเสียด้วย”
“อะไรที่เรียกว่าหลายปีมานี้?” ซั่งกวนเซ่าเฉินขมวดคิ้ว “แต่ก่อนเจ้าโดนนางรังแกประจำหรือ?”
“นางเป็นหลานสาวของข้า แม้ว่าข้าจะแก่กว่านางไม่กี่ปี แต่ข้าก็เป็นผู้อาวุโสของนาง ไม่ว่าเรื่องอันใดล้วนต้องยอมให้นางบ้างมิใช่หรือ” หลิงไฉ่เว่ยก้มหน้าลง แสดงท่าทางได้รับความอัปยศอย่างยิ่งยวดทว่ามิกล้าเอ่ย
หลิงมู่เอ๋อร์มองภาพตรงหน้า นางรู้สึกอยากจะอาเจียน
คนที่นางคิดถึงคำนึงหาในยามนี้กลับมีสตรีอีกคนในอ้อมแขน เขาปฏิบัติต่อนางอย่างอ่อนโยน หัวใจของหลิงมู่เอ๋อร์กำลังหลั่งเลือดหยาดริน
นางหมุนกาย ยกเท้าเตรียมจะก้าวออกไป ทว่ากลับได้ยินเสียงคำรามด้วยความโกรธของเขา
“หยุด!”
แน่นอนว่านางไม่มีทางหยุด เพราะนางจะไม่ปล่อยให้คนที่นางเกลียดชังเห็นน้ำตาบนใบหน้าของตน
ทว่าร่างของซั่งกวนเซ่าเฉินกลับพุ่งเข้ามาหานางราวกับลมแรงที่พัดกรรโชก “ข้ากำลังพูดกับเจ้า เจ้าไม่ได้ยินหรือ?”
ใช่แล้ว ที่นี่คือค่ายทหาร ฐานะของนางคือแพทย์ทหาร นางควรเชื่อฟังคำสั่งของท่านผู้บัญชาการทหารเช่นเขา
หลิงมู่เอ๋อร์หันศีรษะของนางหนีอย่างดื้อรั้น “ไม่ทราบว่าผู้บัญชาการต้องการจะสั่งอันใด?”
“ข้าถามเจ้า เมื่อครู่เจ้าต้องการฆ่านางใช่หรือไม่?” ซั่งกวนเซ่าเฉินจับจ้องไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ เขาพยายามเค้นคำตอบที่เขาต้องการจากดวงตาของนาง ทว่าสตรีผู้นี้ช่างดื้อรั้นเหลือเกิน นางไม่ยอมมองตนเองแม้แต่สายตาเดียว อีกทั้งยังโมโหจนแก้มพองลม ราวกับแม่นางน้อยที่ถูกตามใจจนนิสัยเสีย
“ซั่งกวนเซ่าเฉิน มู่เอ๋อร์ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ พวกเราทั้งสองไม่เคยเข้ากันได้ตั้งแต่ยังเด็ก ข้าเคยชินกับมันแล้วจริงๆ ท่านอย่าทำให้นางลำบากใจเลย” หลิงไฉ่เว่ยเดินเข้ามาคว้าจับแขนของเขาพร้อมทำท่าทางออดอ้อน
ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่ชอบให้สตรีเข้ามาใกล้แบบนี้ เขาดึงแขนของตนออกอย่างไร้ร่องรอย “ข้ามีเรื่องจะพูดกับนางสองคน เจ้ากลับไปก่อนดีหรือไม่?”
หลิงไฉ่เว่ยไม่อยากไป แต่นางรู้ว่าการก่อความวุ่นวายอย่างไร้เหตุผลย่อมไม่มีทางได้ใจจากบุรุษ นางเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “ช่วงนี้ข้าไม่มีอะไรทำจึงทำรองเท้าไว้ให้ท่าน เหตุใดหลังจากนี้ ท่านไม่ลองมาที่กระโจมเพื่อดูว่าพอดีหรือไม่?”
หลังจากได้รับการพยักหน้าตกลงจากซั่งกวนเซ่าเฉิน หลิงไฉ่เว่ยก็หันหลังจากไปอย่างมีความสุข และก่อนที่นางจากไป นางเหลือบมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างได้ใจราวกับพูดว่า เจ้าแพ้แล้ว
บนพื้นที่สนามรบยากที่พบเจอพื้นที่โล่ง หลิงมู่เอ๋อร์มองไปยังชายที่คุ้นเคยข้างๆ นาง เขาสวมชุดเกราะที่ดูแข็งแกร่ง ท่าทางองอาจหล่อเหลา ใบหน้าที่แน่วแน่เด็ดขาด องคาพยพทั้งห้าคมกริบ เขายังคงเป็นพี่ใหญ่ที่นางรักที่สุด สนิทที่สุดคนนั้น แต่กลิ่นอายรอบกายของเขาราวกับคนแปลกหน้า พาให้นางอยากยืนมือออกไปกอด ทว่าก็ฝืนมันเอาไว้เก็บมือกลับมา
“พี่ใหญ่?”
“แม่นาง?”
ทั้งสองพูดพร้อมกัน ทว่าน่าเสียดายที่คนหนึ่งเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ในขณะที่อีกคนเย็นชาและห่างเหิน
หลิงมู่เอ๋อร์เม้มริมฝีปากล่างของนางอย่างเหยียดหยัน หมุนกาย สายตาของนางไม่ได้หมุนรอบตัวเขาอีกต่อไป ทว่าหัวใจของนางกำลังหลั่งเลือดหยดริน
เมื่อเห็นท่าทางเจ็บปวดรวดร้าวของหลิงมู่เอ๋อร์เพราะนามที่เขาเรียก ซั่งกวนเซ่าเฉินรู้สึกถึงอารมณ์บางอย่างที่อธิบายไม่ได้ในหัวใจของเขา เขาไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นความรู้สึกเช่นไร ทว่าหากกล่าวโดยสรุป เขารู้สึกเจ็บปวดยากจะรับไหว
ความสับสนฉายชัดในดวงตาของเขา “ไม่รู้ว่าแม่นางควรอธิบายให้ข้าฟังสักนิดหรือไม่ เหตุใดเจ้าถึงเข้าไปปะปนกับกองแพทย์ทหารได้?”
ถ้อยคำที่เรียกขานว่าแม่นาง พาให้ระยะห่างระหว่างพวกเขายาวไกลราวหมื่นลี้
อาจบอกได้ว่า พี่ใหญ่ของนางจำนางไม่ได้แล้วจริงๆ
“ย้อนกลับไปยามที่เราแยกกันอยู่สองปี เพียงแค่ลมหายใจเดียว น้ำเสียงเดียวก็สามารถจดจำกันได้ ยามนี้เพิ่งผ่านไปไม่ถึงสามเดือน ท่านจำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ หรือ?” ดวงตาของหลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้มองไปที่เขา แต่ทุกๆ คำล้วนทิ่มแทงเข้าใส่เขา
ซั่งกวนเซ่าเฉินพยายามควานหาชิ้นส่วนความทรงจำจากคำพูดของนาง ทว่านึกจนสมองแทบระเบิด เขาก็ยังจำอะไรไม่ได้
“ขออภัย ขอให้เจ้าตอบคำถามของข้าที”
น้ำเสียงเย็นชาห่างเหิน
หลิงมู่เอ๋อร์แย้มยิ้ม มือทั้งสองข้างที่ปล่อยไว้ข้างกายกำเข้าหากันแน่น “ข้าช่างน่าขันยิ่งนัก เมื่อรู้ว่าท่านได้รับบาดเจ็บ ข้าขอร้องให้ซูเช่อพาข้ามายังค่ายทหาร ข้าพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เจอท่าน หัวใจเต็มไปด้วยความคาดหวังตั้งตารอที่จะได้เห็นท่าทางมีความสุขของท่านหลังจากที่เราได้พบกัน ทว่าผลสุดท้ายนะหรือ ท่านกลับลืมข้าไปสิ้นแล้ว?”
น้ำเสียงนี้ฟังดูแล้วช่างเจ็บปวดยิ่งนัก
ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่รู้จะทำเช่นไร เขารู้สึกราวกับว่ามีมีดปักแทงเข้าที่หน้าอกของตน
แม้ว่าสตรีผู้นี้จะไม่ทำตัวเหมือนสตรีคนอื่นอย่างที่เขาจินตนาการเอาไว้ ที่เพื่อให้ได้ใกล้ชิดก็จะก่อเรื่องวุ่นวายไร้เหตุผล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความพิเศษนี้จะสามารถดึงดูดความสนใจจากเขาได้
“เจ้าหมายความว่า เพื่อให้ได้ปะปนเข้ามาไปในค่ายทหาร เจ้าจึงไปขอร้องซูเช่อหรือ?” ใบหน้าหล่อเหลาของซั่งกวนเซ่าเฉินเย็นชาขึ้นทันที “และเขาก็ตกลงโดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสมใดๆ?”
ไม่รู้ว่าเพราะอันใด เมื่อได้ยินคำอธิบายของนาง ในใจของเขาถึงรู้สึกอิจฉาอย่างมิอาจอธิบายได้
“แม้ว่าเขาจะเป็นจวิ้นอ๋องน้อย แต่เขารู้หรือไม่ว่านี่คือสนามรบ สนามรบเป็นสถานที่ที่ผู้หญิงจะมาได้หรือ ไร้สาระ!” ซั่งกวนเซ่าเฉินตำหนิอย่างโกรธเคือง “ข้าไม่สนว่าเขาจะเป็นแม่ทัพที่ฮ่องเต้ส่งมาเพื่อสนับสนุนกองทัพหรือไม่ และข้าก็ไม่สนว่าในเมืองหลวง เขาจะมีอำนาจมากเพียงใด กล่าวโดยสรุป นี่คือค่ายทหารไม่ใช่สถานที่ของสตรี ข้าจะส่งเจ้ากลับทันที!”
“เช่นนั้นแล้วเหตุใดหลิงไฉ่เว่ยถึงอยู่ที่นี่ได้?”
นางรู้ว่าซั่งกวนเซ่าเฉินทำกับตนเองเช่นนี้เพราะเขาจำนางไม่ได้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็คิดเล็กคิดน้อยกับเขา แต่แม้ว่านางจะจากไป นางก็ยังต้องทำเรื่องราวทั้งหมดให้ชัดเจน
“นาง…” ซั่งกวนเซ่าเฉินลังเลอยู่พักหนึ่ง ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ เขาก็ต้องการเล่าเรื่องของตนให้นางฟัง
สมควรตายยิ่งนัก เขาสนใจสตรีผู้นี้มากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
“ซั่งกวนเซ่าเฉิน ไม่เป็นไรหากท่านจะจำข้าไม่ได้ หนานกงอี้จือบอกข้าแล้วว่าท่านได้รับบาดเจ็บที่สมอง ยามที่ต้องต่อสู้กับศัตรู และมันก็ทำให้ท่านสูญเสียความทรงจำในช่วงสามปีที่ผ่านมา ท่านให้ข้าตรวจร่างกายให้เถิด”
หลิงมู่เอ๋อร์พูดไปพลาง เดิมทีนางซึ่งอยู่ห่างออกไปเดินเข้ามาข้างกายเขาตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ จับมือของเขาเพื่อตรวจชีพจรทันที
คนที่ปฏิบัติกับผู้หญิงไม่เก่งเช่นเขา ยามที่ถูกกระทำเช่นนี้เหตุใดถึงไม่ขยับ?
ซั่งกวนเซ่าเฉินรู้สึกอึ้งทึ่งสับสนในตัวเอง ทว่าเหตุใดสตรีผู้นี้ถึงปฏิบัติต่อชายแปลกหน้าด้วยใกล้ชิดเช่นนี้ได้?
จู่ๆ เขาก็ดึงมือของตนออก ก่อนเอ่ยอย่างเย็นชา “สตรีคนหนึ่งจะปฏิบัติต่อบุรุษแปลกหน้าด้วยความใกล้ชิดสนิทสนมเช่นนี้ได้อย่างไร พวกเขายังบอกว่าเจ้าเป็นคู่หมั้นของข้า ข้า ซั่งกวนเซ่าเฉินจะมีสตรีที่ไม่รู้จักแยกแยะ ไร้ขอบเขตเช่นนี้เป็นคู่หมั้นได้อย่างไร!”
มือที่จับแขนของเขายังคงค้างอยู่กลางอากาศ คำพูดที่อาจทำร้ายหัวใจนางเป็นชิ้นๆ ลอยเข้าหูของนาง วนเวียนอยู่ในความคิดของนางซ้ำไปซ้ำมา
หลิงมู่เอ๋อร์อยากจะตบหน้าตัวเองจริงๆ เขาจำนางไม่ได้แล้ว นางก็ยังจะปีนเสาเพื่อเกาะก้นอันเย็นชาของเขาอีก
เฮอะ นางหมุนกายปรารถนาจะจากไป ทว่าหัวใจของนางไม่ยินยอม
นางยอมรับว่าคราแรกที่รู้จักเขาในฐานะพี่ชายบุญธรรม นางแค่รู้สึกว่าเขาไว้ใจได้และรู้สึกปลอดภัยยามที่อยู่กับเขา
แต่หลังจากที่พวกนางได้กลับมาพบกันอีกครั้งในเมืองหลวง ความปีติยินดีและความโหยหาภายในใจของนางล้วนเกี่ยวข้องกับเขา
เป็นความรู้สึกเช่นไรกันนะ ที่คนที่เจ้าชอบชอบเจ้าเหมือนกัน? โชคดีที่พี่ใหญ่ในตอนนั้นใจดีกับนางมากๆ แม้ว่านางจะไม่รู้จักความอ่อนหวานหรือการพูดจาไพเราะด้วยความรักใดๆ ทว่าความเข้ากันได้นี้เองที่ทำให้นางมีความสุข
ทว่าตอนนี้เล่า?
แม้ว่าจะเป็นเพราะสูญเสียความทรงจำที่ทำให้เขาทำตัวตัวราวกับคนแปลกหน้ากับนาง แต่นางก็ยังไม่อาจยกโทษให้ได้!
“ซั่งกวนเซ่าเฉิน! ข้าคิดอยู่เสมอว่าแม้คนคนหนึ่งจะสูญเสียความทรงจำไป แต่เขาจะไม่มีทางลืมคนที่อยู่ในใจได้ ทว่ายามนี้ดูเหมือนว่าที่ผ่านมา ล้วนเป็นข้าที่รู้สึกไปเอง!”
หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้าด้วยความผิดหวังขณะถอยหลังออกห่าง “คิดเสียว่าความจริงใจของข้าก็แค่อาหารสุนัขก็แล้วกัน!”
“อย่าคิดว่าถ้าเจ้าพูดแบบนี้แล้ว ข้าจะล้มเลิกความคิดที่จะให้เจ้าออกจากค่ายทหารหรือ”
เมื่อเห็นว่านางหมุนกายเตรียมจะหันหลังจากไป ซั่งกวนเซ่าเฉินก็อดไม่ได้ที่จะพ่นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจมากขึ้นออกไป
เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ยามที่เห็นแผ่นหลังที่อ้างว้างของนาง จู่ๆ ก็อยากจะรีบตรงเข้าไปกอดนางเอาไว้ เอ่ยปลอบนางเบาๆ แต่ที่นี่คือค่ายทหาร ไม่ใช่สถานที่ที่สตรีจะมาวุ่นวาย นอกจากนี้ นางยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับจวิ้นอ๋องน้อยคนนั้น ดังนั้นแล้วบุคคลเช่นนี้ยิ่งไม่มีคุณสมบัติที่จะอยู่ต่อ
“ผู้ใดเอ่ยว่าสตรีจะเป็นหมอไม่ได้ ทหารในกองทัพของเรากำลังบาดเจ็บสาหัส สิ่งที่เราต้องการยามนี้คือแพทย์จำนวนมากที่จะมารักษาพวกเขา นำพวกเขากลับสู่สภาพที่สามารถต่อสู้ได้ให้เร็วที่สุด ทว่าท่านกลับเอาแต่สนใจว่าหมอเป็นบุรุษหรือสตรี ข้าไม่คิดว่าท่านมิได้เป็นคนฉลาดเก่งกาจ แต่เป็นแค่เพียงคนที่อวดรู้เท่านั้น!”
เมื่อเห็นประกายไฟในดวงตาของซั่งกวนเซ่าเฉิน นางคว้าโอกาสก่อนที่เขาจะพูด หลิงมู่เอ๋อร์ขัดจังหวะอย่างโหดเหี้ยมทันที “นอกจากนี้ หลิงไฉ่เว่ยก็เป็นผู้หญิงเช่นกัน ถ้าท่านต้องการขับไล่ข้าให้ออกไป นางจากไปเมื่อไหร่ ข้าก็จะจากไปเมื่อนั้น”
ช่างเป็นแววตาที่ยั่วยุอะไรเช่นนี้
สตรีผู้หนึ่ง ช่างมีมาดที่แข็งแกร่งหยิ่งผยอง ทว่าอย่าได้คิดว่าจะทำให้เขาเปลี่ยนใจได้
“ทุกคนบอกว่าเจ้าเป็นคู่หมั้นของข้า แต่ข้าคิดว่าในยามนั้นข้าคงตาบอดไปแล้ว ข้า ซั่งกวนเซ่าเฉิน จะปล่อยให้สตรีที่หลงละเลิง หยิ่งผยอง เข้าข้างตนเองเช่นนี้มาอยู่เคียงข้างได้อย่างไร? หลิงไฉ่เว่ยสามารถอยู่ที่นี่ได้ก็เพราะนางเป็นคู่หมั้นของข้า แล้วเจ้าล่ะเป็นอะไรกับข้ากัน?”
ฉึก
ราวกับว่าลูกศรอันแหลมคมที่ถูกยิงจากระยะไกลหลายพันลี้แทงเข้าที่หน้าอกของนางอย่างรุนแรง ทำให้หัวใจอันอ่อนโยนซึ่งเต้นเพื่อเขาคนเดียวเท่านั้นแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หลิงมู่เอ๋อร์ตัวสั่นเทา นางบังคับให้ตัวเองสงบลง “ท่าน เอ่ย ว่า กระไรนะ?”
“ดูท่าแล้วเจ้าไม่เพียงแต่หลงละเลิง หยิ่งผยอง และเข้าข้างตนเองเท่านั้น แต่หูของเจ้ายังไม่ค่อยดีอีกด้วย” ดวงตาของซ่างกวนเซ่าเฉินเย็นชาเหลือเกิน “ข้าไม่คิดจะอธิบายให้ละเอียดกว่านี้ ทุกคนบอกว่าเจ้าเป็นคู่หมั้นของข้า ข้าเชื่อว่าพวกเขาไม่ได้โกหกข้า แต่ข้าเชื่อยิ่งกว่าว่าหากคนที่ข้ารักอย่างลึกซึ้งเป็นเจ้าจริง ถึงข้าจะสูญเสียความทรงจำ ข้าก็จะไม่ลืมเจ้า เช่นนั้นก็สามารถบอกได้เพียงว่าพวกเราไม่ได้รักกันอย่างลึกซึ้ง”