เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 7 ตอนที่ 205 อารมณ์ร้าย
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 7 ตอนที่ 205 อารมณ์ร้าย
เล่มที่ 7 ตอนที่ 205 อารมณ์ร้าย
“เจ้ามีทักษะทางการแพทย์ตั้งแต่เมื่อไหร่?” หลิงไฉ่เว่ยถามเสียงเย็น นางมองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ด้วยสายตาประเมินลึกล้ำ
นางลอบมองหลิงมู่เอ๋อร์มาระยะหนึ่งแล้ว เห็นหญิงสาวให้ยากับทหารที่บาดเจ็บ ท่าทางเชี่ยวชาญเป็นอย่างยิ่งจนไม่น่าจะทำได้ภายในสามหรือห้าปี
“เป็นธุระกงการอะไรของเจ้าหรือ?” หลังจากล้างคราบเลือดบนมือของตนออกหมดแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ก็กำลังจะเดินอ้อมร่างของนางเพื่อจากไป ทว่าหลิงไฉ่เว่ยกลับหยุดนางเอาไว้ หญิงสาวจึงตะคอกด้วยโทสะ “หมาที่ดีย่อมไม่ขวางทาง [1] ออกไปให้พ้น!”
“เจ้า…” หลิงไฉ่เว่ยโมโหจนเต้นเร่าๆ ไม่เพียงแต่ไม่ปล่อยเท่านั้น แต่ยังจับมือของนางแน่นไม่ปล่อย “หลิงมู่เอ๋อร์เราไม่ได้เจอกันนาน ได้เจอท่านป้าน้อยเช่นข้าก็ไม่รู้จักทักทายบ้างเลยหรือ?”
น่าจะมากกว่าสองปีแล้วกระมัง
ดูเหมือนว่าหลิงไฉ่เว่ยจะต้องทนทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่งในช่วงสองปีที่ผ่านมา ผิวของนางไม่เรียบเนียนบอบบางดังเช่นเมื่อก่อน หุ่นของนางไม่อวบอิ่มดังเช่นเมื่อก่อน ยามนี้มาอยู่ในค่ายทหารยิ่งจะมีผู้ใดมาดูแลปรนนิบัติเหมือนเมื่อก่อนอีก หากเอ่ยว่านางคือหญิงสาวชาวบ้านที่แท้จริงก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่นิด
แต่นางเองก็ฉลาดไม่น้อย ดวงตาสีเข้มคู่นั้นก็เต็มไปด้วยการวางแผนคำนวณ
“ป้าน้อยที่ขโมยคู่หมั้นของหลานสาว ข้าไม่มีป้าเช่นนั้น” น้ำเสียงของหลิงมู่เอ๋อร์เย็นชา คำพูดของนางไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ใด
สีหน้าของหลิงไฉ่เว่ยพลันแปรเปลี่ยน ในไม่ช้านางก็เหยียดยิ้มเย้ยหยัน “อันใดคือคู่หมั้นไม่ใช่คู่หมั้น ข้าฟังไม่เข้าใจ”
ในช่วงเวลานี้ นางได้ยินข่าวมากมายเกี่ยวกับคู่หมั้นของซั่งกวนเซ่าเฉิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนานกงอี้จือผู้นั้น เขามักจะยุแยงความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางเหมือนไม่ตั้งใจทว่าตั้งใจ ชายหนุ่มมักจะบอกให้เขาไล่นางออกไปให้เร็วที่สุด
นางเดาว่าคู่หมั้นของเขาอาจจะเป็นหลิงมู่เอ๋อร์ เพราะตอนที่อยู่ในหมู่บ้าน นางพบว่ามีบางอย่างผิดปกติระหว่างทั้งสองคน หากไร้ซึ่งความสัมพันธ์ที่ไม่บริสุทธิ์ บุรุษผู้แข็งแกร่งจะช่วยนางซ้ำๆ ได้อย่างไร?
แต่คู่หมั้นแล้วอย่างไรเล่า?
“หลิงมู่เอ๋อร์ บอกความจริงกับป้าน้อยมา เจ้าปะปนเข้ามาในกลุ่มแพทย์ทหารจากสำนักหมอหลวงได้อย่างไร?” หลิงไฉ่เว่ยเดินเข้ามาใกล้นาง เอ่ยถามลองเชิง น้ำเสียงแฝงไปด้วยการข่มขู่
ทำราวกับว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางทั้งสองเคยใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น
“คำถามนี้ควรจะเป็นข้าที่ถามเจ้าถึงจะถูก เจ้าเข้ามาในค่ายทหารได้อย่างไร?” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยถามด้วยท่าทางบีบบังคับ
“เฮอะ ข้าไม่เหมือนกับเจ้าที่ปลอมตัวเป็นบุรุษเพื่อปะปนเข้ามา แต่เป็นท่านผู้บัญชาการที่พาข้ามาเป็นการส่วนตัว” หลิงไฉ่เว่ยรู้ว่านางจะถามคำถามนี้ หญิงส่ายหัวอย่างได้ใจ ราวกับว่านี่เป็นเรื่องแห่งเกียรติยศที่น่าภาคภูมิใจ
หลิงมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ฉวยโอกาสยามที่หลิงไฉ่เว่ยไม่ทันตั้งตัว คว้าบีบคอของนางแล้วกดไว้กับผนังกระโจม “เรื่องที่เจ้าช่วยชีวิตซั่งกวนเซ่าเฉินเอาไว้ ข้าได้ยินมาแล้ว บอกข้าสิ ว่าตกลงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาสูญเสียความทรงจำได้อย่างไร?”
จังหวะการพูดของนางรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาแดงก่ำกระหายเลือด ราวกับวิญญาณชั่วร้ายที่คลานขึ้นมาจากนรก
หลิงไฉ่เว่ยตกใจเป็นอย่างยิ่ง ดวงตากลมโตของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ยามที่ถูกคนอื่นควบคุมลมหายใจ นางรู้สึกเพียงว่าตนเองอาจจะขาดอากาศหายใจตายได้ทุกเมื่อ
สองมือของนางตบหลังมือของหญิงสาวตรงหน้า ส่งสัญญาณให้นางปล่อยตนเอง แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเรี่ยวแรงของนางจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
“เจ้า… หากเจ้าเก่งจริงก็… ก็บีบคอข้าให้ตายไปเลยสิ”
‘โครม’ หลิงมู่เอ๋อร์ปล่อยมือ ร่างผอมบางของหลิงไฉ่เว่ยพลันล้มลงกับพื้นอย่างรุนแรง นางร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
ทว่าน่าเสียดายที่นี่คือบริเวณที่พักของผู้บาดเจ็บ สำหรับคนอื่นๆ เสียงร้องนี้เหมือนเสียงร้องที่ทนความเจ็บปวดไม่ได้มากกว่า ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดหันเหความสนใจและสายตามาทางนี้
“นางแพศยา เจ้า…” หลิงไฉ่เว่ยอ้าปากจะด่า แต่ก่อนที่นางจะเอ่ยจบ หลิงมู่เอ๋อร์ก็หยิบมีดสั้นออกมาจากที่ไหนสักแห่ง ก่อนจะจ่อไว้ที่คอของนาง
“ด่า… ด่าข้าต่อไปสิ แล้วข้ารับประกันว่าหากเจ้าเอ่ยออกมาอีกคำ ข้าจะตัดลิ้นของเจ้าเสีย”
หลิงไฉ่เว่ยปิดปากแน่นสนิททันที นางมองตาที่แทบจะกินคนเข้าไปของหลิงมู่เอ๋อร์แล้วกลืนน้ำลายด้วยความตกใจ ลมหายใจของนางหอบถี่ขึ้นทันที
นางมองไปรอบๆ เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยแม้แต่น้อย ทว่าเมื่อนึกถึงซั่งกวนเซ่าเฉิน เมื่อนึกถึงความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งในอนาคต นางจึงบีบบังคับตนเองให้สงบลง
นางมีวิธีแล้ว
“หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้าและซั่งกวนเซ่าเฉิน ได้ ข้าจะบอกเจ้าเอง เจ้าเข้ามาใกล้ๆ ข้านี่”
เมื่อประเมินแล้วว่านางจะไม่กล้าที่จะเล่นเล่ห์เหลี่ยม หลิงมู่เอ๋อร์กระชับมีดในมือ ก่อนโน้มตัวเข้าไปหานาง
“เข้ามาใกล้อีกนิด” หลิงไฉ่เว่ยยิ้ม
“ถ้าเจ้าคิดจะกัดหูข้า ข้าจะตัดจมูกเจ้าทิ้ง” หลิงมู่เอ๋อร์ขู่ หูของนางอยู่ใกล้ริมฝีปากของตนอยู่แล้ว
“เหตุใดเขาถึงพาข้ากลับมาที่ค่ายทหารนะหรือ? เพราะซั่งกวนเซ่าเฉินกับข้ามีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยากันแล้วนะสิ!” หลิงไฉ่เว่ยพูดเน้นทุกคำ เสียงของนางไม่ดัง แต่ทุกคำนั้นกลับแฝงไปด้วยพลังทิ่มแทง
ราวกับถูกสายฟ้าฟาดด้วยความรุนแรง หลิงมู่เอ๋อร์ผลักร่างของหลิงไฉ่เว่ยออกไปอย่างไม่มีทางเชื่อ “เจ้าโกหก”
“เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและได้รับการช่วยเหลือจากข้า ชายหญิงอยู่ด้วยกันตามลำพังในห้องเป็นเวลาครึ่งเดือน เจ้าคิดว่ายังมีอะไรที่เป็นไปไม่ได้อีกหรือ?” หลิงไฉ่เว่ยยิ้มอย่างลำพองใจ
เมื่อเห็นท่าทางเจ็บปวดรวดร้าวของหลิงมู่เอ๋อร์ ในใจของนางมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่มีทางเชื่อ แต่เจ้าคงรู้จักซั่งกวนเซ่าเฉินดีกว่าข้ากระมัง? เพราะเหตุใดเขาถึงตอบรับให้ข้าอยู่ข้างกาย อีกทั้งยังจัดให้ข้าอยู่ในกระโจมถัดจากเขาเพื่อปรนนิบัติเขาส่วนตัว? หากไม่ใช่เพราะระดับความสัมพันธ์เป็นเช่นนี้ เจ้าคิดว่ามันจะเป็นไปได้หรือ?”
เสียงแห่งชัยชนะของหลิงไฉ่เว่ยราวกับคำสาปแช่ง กระตุ้นสมองให้นางเจ็บปวดแทบทนไม่ไหว
นางรู้จักพี่ใหญ่เป็นอย่างดี ถ้าไม่ใช่ทางเลือกสุดท้าย เขาจะไม่มีวันปล่อยให้สตรีคนไหนเข้ามาใกล้ชิดเป็นอันขาด
ในเมืองหลวง ไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นองค์หญิง แม้แต่สตรีผู้สูงศักดิ์คนอื่นที่จงใจเข้าหาเขา ล้วนถูกเขาปฏิเสธอย่างเย็นชา หลิงไฉ่เว่ยผู้นี้เคยแต่งงานมาก่อน หากว่าไม่มีเรื่องปิดบังซ่อนเร้นอันใด นางย่อมไม่มีวันได้ยืนอยู่เคียงข้างเขาแน่
ซั่งกวนเซ่าเฉิน!
ไม่ นางไม่สามารถถูกสตรีคนนี้ครอบงำได้
“เฮอะ คำพูดที่เจ้าพูดเป็นความจริงหรือไม่ ข้าย่อมตรวจสอบแน่ แต่ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ หากข้าพบว่าเจ้าโกหก ข้าจะทำให้ชีวิตเจ้าอยู่ไม่สู้ตาย”
กล้าใช้ประโยชน์จากซั่งกวนเซ่าเฉินของนาง กล้าที่จะทำลายความสัมพันธ์ของพวกเขา หากนางพบว่าทั้งหมดเป็นของปลอม นางจะคิดบัญชีทั้งเรื่องเก่าเรื่องใหม่ให้เรียบร้อยแน่
“อย่าเพิ่งไปสิ ข้ายังพูดไม่จบเลย” หลิงไฉ่เว่ยดึงแขนเสื้อของนาง ขณะที่มองประเมินนางขึ้นลง
แม้ว่าวันนี้หลิงมู่เอ๋อร์จะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าบุรุษ เหมือนแพทย์ทหารเต็มตัว ทว่าบรรยากาศรอบกายของนางล้วนแปรเปลี่ยน นางไม่ใช่หญิงสาวในหมู่บ้านอีกต่อไปแล้ว อีกทั้งไม่ได้ดูขี้ขลาดและไร้ความสามารถอีกต่อไปเช่นกัน
หลิงไฉ่เว่ยกลอกตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ข้าได้ยินมาว่าทั้งครอบครัวของเจ้าพากันย้ายไปที่เมืองหลวงแล้ว ดูเหมือนว่าชีวิตกำลังไปได้ด้วยดี”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะพูดจาอ้อมค้อมกับนางแล้ว “เป็นชีวิตที่ไม่เลวยิ่ง ดีกว่าที่เจ้าคิดไว้มาก และเจ้าก็เห็นว่าตอนนี้ข้าเป็นหมอแล้ว ในมือของข้ามีพิษมากมาย หรือว่าป้าน้อยอยากจะลองชิมดูสักหน่อยไหมเล่า?”
นางรีบปล่อยแขนเสื้อด้วยความตกใจกลัว แต่เป้าหมายของหลิงไฉ่เว่ยยังไม่สำเร็จดี นางใช้ความกล้ารั้งหลิงมู่เอ๋อร์เอาไว้ “บุรุษที่มากับเจ้าในวันนี้ดูเป็นคนที่โดดเด่นในหมู่มังกรหงสา หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้าช่างโชคดีอะไรเช่นนี้ เหตุใดบุรุษที่เจ้าพบทุกคนล้วนยอดเยี่ยมกันทั้งสิ้น แต่อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเจ้ามีคนที่คอยอยู่เคียงข้างแล้ว ไม่สู้เจ้าปล่อยซั่งกวนเซ่าเฉินให้ข้าเล่า”
น้ำเสียงของนางหนักแน่นเด็ดขาด นี่ไม่ใช่การปรึกษา แต่เป็นการแจ้งให้ทราบ
เดิมทีหลิงมู่เอ๋อร์ไม่ต้องการเสียเวลาเอ่ยคำพูดกับนางอีก แต่เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ
“ดูท่าแล้วจ้วงต้าหลินเพียงคนเดียวคงไม่ทำให้เจ้าพอใจ ในเมื่อเจ้าขาดแคลนบุรุษนัก เหตุใดเจ้าถึงไม่แขวนป้ายไว้ที่หน้าอกเพื่อรับแขกในค่ายทหารเล่า?” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยด้วยโทสะ
“เจ้า… ปากพล่อย ข้าหย่าจากจ้วงต้าหลินตั้งนานแล้ว ข้าไม่ยอมให้เจ้าทำให้ข้าอับอายเช่นนี้” เมื่อเอ่ยถึงจ้วงต้าหลิน ดวงตาของหลิงไฉ่เว่ยพลันสาดประกายด้วยความโกรธ นับเป็นเพลิงโทสะที่มิอาจมีอารมณ์อื่นใดมาแทนที่ได้
“ข้าไม่สนว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเจ้ากับจ้วงต้าหลิน และไม่ว่าเจ้าจะใช้วิธีใดทำให้ได้อยู่เคียงข้างซั่งกวนเชาเฉินก็ตาม ทว่าเจ้าจงจำคำของข้าเอาไว้ เขาคือคู่หมั้นของข้า แม้ว่าเขาจะสูญเสียความทรงจำ ข้าก็จะคิดหาวิธีที่จะช่วยให้เขาฟื้นความทรงจำกลับมา ข้าแนะนำให้เจ้าเลิกใช้เล่ห์สกปรกของเจ้า มิฉะนั้นข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าราคาที่เจ้าต้องจ่ายมากมายมหาศาลเพียงใด!” หลิงมู่เอ๋อร์ข่มขู่
โดยไม่คาดคิด ไม่ว่ารู้นางเอ่ยอันใดไม่เข้าหู ในที่สุดเพลิงโทสะในท้องของหลิงไฉ่เว่ยก็ถูกจุดติดแล้ว
“หลิงมู่เอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงไม่ปล่อยข้าไปเล่า ข้าเป็นป้าน้อยของเจ้านะ เจ้าจะยอมให้ข้าบ้างมิได้หรือ?” นางหอบหายใจหนัก “ดูเจ้าตอนนี้สิ ทั่วทั้งร่างล้วนแผ่กลิ่นอายหรูหรา แสดงว่าชีวิตของเจ้าต้องไม่เลวเป็นแน่ แล้วเจ้าลองมองมาที่ข้า เจ้าคงไม่รู้ว่าข้าอยู่ที่นี่มานานกว่าสองปีได้อย่างไร ข้าไม่ใช่หลิงไฉ่เว่ยอันเป็นที่รักอีกต่อไป ชีวิตของข้าลำบากเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นข้าต้องการซั่งกวนเซ่าเฉิน อีกทั้งข้างกายเจ้าก็มีบุรุษดีๆ อีกคนอยู่ข้างๆ แล้วมิใช่หรือ? เหตุใดเจ้าถึงกินในจานอยู่แต่ตามองในหม้อ [2] เจ้าช่างเห็นแก่ตัวยิ่งนัก!”
หลิงมู่เอ๋อร์อยากจะตัดลิ้นของนางด้วยมีดผ่าตัดในมือของตนจริงๆ
หลิงไฉ่เว่ยผู้นี้เคยพูดจาเหลวไหล เอาแต่ใจ และหยาบคาย และยามนี้นางก็ยิ่งไม่มีเหตุผลมากขึ้นไปอีก
“บุรุษของข้า เหตุใดถึงต้องยกให้แก่เจ้าด้วย?” นางพ่นเสียงหัวเราะเยาะเย้ย “ถ้าเจ้าช่วยเขาไว้จริงๆ ข้าก็ต้องขอบใจเจ้ามาก และเพราะการช่วยชีวิตของเจ้า ข้าจึงสามารถให้อภัยทุกสิ่งที่เจ้าทำกับข้าในตอนนั้น แต่เขาเป็นของคู่หมั้นข้า แม้แต่ขยะที่ข้าไม่ต้องการ ข้าก็ไม่มีทางยกให้เจ้า นับประสาอะไรกับบุรุษที่ข้าถือว่าเป็นสมบัติของข้ากัน”
หลิงไฉ่เว่ยโกรธแทบตายแล้ว “เจ้ามีบุรุษเป็นของตนอยู่แล้ว อีกทั้งบุรุษคนนั้นยังดูสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง ดูแล้วไม่เหมือนคนธรรมดา หากข้าเดาไม่ผิด เขาชอบเจ้าเหลือเกิน เมื่อกลับกันแล้วซั่งกวนเซ่าเฉินลืมเจ้าไปแล้ว เหตุใดเจ้าต้องทำให้ตนเองเจ็บปวดด้วย? ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับบุรุษที่ชอบเจ้าไม่ดีหรือ? เหตุใดถึงต้องทะเลาะกับข้า แย่งชิงกับข้าด้วย?”
เฮอะ อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าพูดกลับดำเป็นขาว วันนี้ นาง หลิงมู่เอ๋อร์ได้เรียนรู้อย่างถ่องแท้แล้ว
“ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่มีวันลืมข้า ไม่มีทางลืมชั่วชีวิต!”
ขี้คร้านเกินกว่าจะคุยกับนางอีกต่อไป หลิงมู่เอ๋อร์ยืนตรงเตรียมที่จะจากไป
ทว่า จู่ๆ หลิงไฉ่เว่ยก็เรียกชื่อนาง “มู่เอ๋อร์?”
นางหยุดและหันกลับไปโดยสัญชาตญาณ นางแค่อยากรู้ว่าจะมีงาช้างชนิดใดที่สามารถคายออกจากปากสุนัขของนางได้ [3] แต่นางคาดไม่ถึงว่าจู่ๆ หลิงไฉ่เว่ยจะล้มลงไปด้านหลังหลัง หลังจากนั้นก็จับแขนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอันใดไว้ “โอ๊ย เจ็บเหลือเกิน”
ดวงตาของนางเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา น้ำใสร่วงหล่นลงมาราวกับเล่นละคร “อย่าฆ่าข้า มู่เอ๋อร์ สิ่งต่างๆ ไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด ข้ารู้ว่าข้าต้องขอโทษเจ้าที่ซั่งกวนเซ่าเฉินจำได้แต่ข้า แต่เจ้าต้องให้เวลาเราบ้าง เขาต้องจดจำเจ้าได้แน่ๆ เจ้าจะฆ่าข้าเพราะเหตุนี้ได้อย่างไร?”
ทันทีที่นางพูดจบ ร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามาราวกับลมกระโชก เขาโอบกอดหลิงไฉ่เว่ยเอาไว้ ปกป้องนางไว้อยู่ข้างหลัง ซั่งกวนเซ่าเฉินตะคอกใส่หลิงมู่เอ๋อร์ด้วยความโกรธ “เจ้าทำอะไรกับนาง?”
ก่อนจะคำรามใส่นางอีกครั้ง
ดวงตาราวกับคนแปลกหน้า น้ำเสียงเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง
เฮอะ ช่างอารมณ์ร้ายเหลือเกิน
เชิงอรรถ
[1] หมาที่ดีย่อมไม่ขวางทาง 好狗不挡道 หมายถึง คนดีย่อมไม่กีดกันหรือขัดขวางสิ่งที่ผู้อื่นจะทํา เปรียบกับสุนัขที่ถ้าหากมีคนจะเดิน หากเป็นสุนัขที่ดีก็ต้องหลีกทางให้
[2] กินในจานอยู่แต่ตามองในหม้อ หมายถึงโลภมาก
[3] งาช้างมิอาจคายออกมาจากปากสุนัข หมายถึง คนเลวมิอาจเอ่ยคำพูดดีๆ ของมาได้