เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 7 ตอนที่ 203 สูญเสียความทรงจำ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 7 ตอนที่ 203 สูญเสียความทรงจำ
เล่มที่ 7 ตอนที่ 203 สูญเสียความทรงจำ
นางรู้สึกเพียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ หลิงมู่เอ๋อร์ยื่นแขนยาวออกไปคว้าแขนของเขาและพาชายหนุ่มไปยังที่ที่สว่างกว่านี้
แม้ว่าเขาจะสวมชุดคลุมเสื้อเรียบๆ ผมเปียกลู่อยู่ด้านหลัง แต่องคาพยพทั้งห้า ทั้งคิ้วตา ไม่ใช่ซั่งกวนเซ่าเฉินของนางแล้วจะเป็นผู้ใด
“พี่ใหญ่ ข้ามู่เอ๋อร์อย่างไรเล่า ดวงตาของท่านแย่ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด ในคืนที่มืดมิดเช่นนี้ก็มองข้าไม่ออกแล้ว”
ซั่งกวนเซ่าเฉินปล่อยมือของนางออกอย่างไร้ร่องรอย เขาถอยหลังออกห่างจากนางไปสองสามก้าวอย่างรู้สติ ก่อนประสานกำปั้นเข้าด้วยกันเพื่อโค้งกายคำนับ “ขออภัยแม่นาง ข้าจำเจ้าไม่ได้จริงๆ ทว่าเจ้ารู้จักนามของข้าได้อย่างไร?”
ยามที่เขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ดวงตาสีเข้มนั้นแฝงด้วยความรู้สึกเหินห่างแปลกหน้า
ไม่ผิด เป็นสายตาที่เอาไว้ใช้ยามที่ได้พบกับคนแปลกหน้า
พี่ใหญ่จำนางไม่ได้หรือ?
ในค่ายทหาร
ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและเหล่าแม่ทัพออกมาต้อนรับพลทหารกำลังเสริมด้วยตนเอง ยามที่หลิงมู่เอ๋อร์เดินเข้าไปในค่ายทหารขนาดใหญ่ นางรู้ว่ามีทหารบาดเจ็บจำนวนมาก ทั้งๆ ที่ตอนพวกเขาออกเดินทางมีทหารหลายหมื่นนาย ทว่ายามนี้กลับเหลือทหารน้อยกว่าห้าพันนาย คนที่บาดเจ็บก็บาดเจ็บ คนที่เสียชีวิตก็เสียชีวิต เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ แพทย์จากสำนักหมอหลวงก็รีบเข้าร่วมกลุ่มรักษาทันที หลิงมู่เอ๋อร์กำลังจะตามไปช่วยคนอื่นๆ แต่กลับถูกซูเช่อลากไปตรงหน้าซั่งกวนเซ่าเฉิน
“ตามพระราชโองการขององค์ฮ่องเต้ เปิ่นจวิ้นอ๋องนำทหารชั้นยอดหนึ่งแสนนายมาสนับสนุนแนวหน้า และนำแพทย์ทหารสิบนายมาบรรเทาความกังวลเรื่องการขาดแคลนแพทย์ ขอให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดตรวจสอบด้วย”
ซั่งกวนเซ่าเฉินยังคงมีดวงตาของคนแปลกหน้าดั่งเช่นราตรีที่ผันผ่าน เขาพยักหน้าให้กับซูเช่อและรับรายชื่อทหารชั้นยอดไป จากนั้นก็มอบหมายให้โฉวอวี่จินประสานงานกับซูเช่อ ส่วนตัวเองก็กลับไปที่กระโจม
การกระทำต่อเนื่องหลายอย่างเกิดขึ้นเพียงพริบตา แต่เขาราวกับจะเปลี่ยนเป็นคนละคน
“เดี๋ยวก่อน” ซูเช่อเรียกเขาให้หยุด “ซั่งกวนเซ่าเฉิน แม้ว่าท่านจะเป็นผู้บัญชาการและข้าเป็นเพียงท่านแม่ทัพ แต่ท่านก็ไม่ควรเมินข้าเช่นนี้กระมัง ท่าทางหยิ่งผยองจองหองเช่นนี้ ดูท่าคงไม่ต้องการกองทัพของข้ามาสนับสนุนแล้วกระมัง?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินมึนงงไปครู่หนึ่ง เดิมทีเขาไม่เคยคาดคิดว่าท่านแม่ทัพที่เขาไม่ค่อยจะติดต่ออันใดด้วยจะเอ่ยพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ เขาขมวดคิ้ว “จวิ้นอ๋องน้อยซู? บุตรชายขององค์หญิงใหญ่? ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านยามที่อยู่เมืองหลวง ได้ยินมาว่าท่านมีทั้งทักษะด้านบู๊และบุ๋น เฉลียวฉลาดเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีกลยุทธ์ในการรบเป็นของตัวเอง ทว่าพวกเราไม่ควรมีเรื่องบาดหมางอันใดมาก่อนกระมัง?”
เรื่องบาดหมางนั้นไม่มี ทว่าเรื่องที่มีสตรีในดวงใจคนเดียวกันนับว่ามี
ซูเช่อผลักหลิงมู่เอ๋อร์ไปข้างหน้า “ท่านไม่รู้จักนางจริงๆ หรือ?”
นี่เป็นครั้งที่สองภายในหนึ่งวันที่เขาเห็นสตรีคนนี้ เมื่อคืนนี้นางจับแขนเสื้อเขาไว้ไม่ปล่อย วันนี้ถึงกับไล่ตามมาถึงที่นี่
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองประเมินนางจากบนลงล่างอีกครั้ง เมื่อเห็นว่านางแต่งกายด้วยชุดของสำนักหมอหลวง จึงรู้ว่านางเป็นแพทย์ทหารที่ฮ่องเต้ส่งมาเพื่อสนับสนุนเขา เพียงแต่เขาคาดไม่ถึงว่าจะเป็นสตรี
แต่นี่คือสนามรบ ในเมื่อฮ่องเต้ทรงส่งนางมาที่นี่ เช่นนั้นก็พิสูจน์ได้แล้วว่าสตรีคนนี้มีความสามารถ ทว่าในขณะที่คนอื่นๆ กำลังยุ่งอยู่กับการช่วยชีวิตคน แต่เหตุใดนางกลับมายืนมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเล่า?
“ในเมื่อเป็นหมอที่รับราชโองการจากฮ่องเต้ เช่นนั้นก็ควรปฏิบัติตามหน้าที่ในฐานะแพทย์ทหาร มีทหารมากมายรอให้เจ้ารักษาพวกเขา เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปเล่า?”
ดวงตาไม่เพียงแต่ฉายแววแปลกหน้า ทว่าคำพูดยังแฝงไปด้วยคำตำหนิอย่างรุนแรง ความคาดหวังตั้งตารอมาตลอดทาง วินาทีนี้กลายเป็นเพียงความว่างเปล่า นางเอาแต่ส่ายหัว ดวงตาที่สดใสของนางเป็นประกาย “ท่านจำข้าไม่ได้แล้วจริงๆ หรือ? ข้าคือมู่เอ๋อร์…”
“ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร ในเมื่อเจ้ามาถึงค่ายทหารของข้าแล้ว เจ้าควรปฏิบัติตามกฎของค่ายทหารของข้า กระโจมทางทิศตะวันตกเฉียงใต้มีทหารบาดเจ็บเต็มไปหมด ผู้บัญชาการเช่นข้าขอสั่งให้เจ้าไปทำการรักษาเดี๋ยวนี้ ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งจะถูกลงโทษทางทหาร!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินตะคอกด้วยโทสะ ใบหน้าของเขาซีดเซียว คิ้วของเขาขมวดแน่น ราวกับว่าเขาไม่เคยโกรธขนาดนี้มาก่อน
หลิงมู่เอ๋อร์ยืนเหม่อลอยอยู่ที่เดิม มองเขาด้วยสายตาไม่เชื่อ
พี่ใหญ่ดุนาง?
พี่ใหญ่ไม่เคยตะคอกใส่นางแบบนี้มาก่อน
หลิงมู่เอ๋อร์กำลังจะอ้าปากพูด ทว่าหนานกงอี้จือที่พุ่งเข้ามาหลังจากจัดการเรื่องอื่นๆ เสร็จสิ้น รีบดึงนางและซูเช่อไปด้านข้างทันที “จวิ้นอ๋องน้อย แม่นางหลิงมาคุยกันก่อนเถิด”
“แต่ว่าพี่ใหญ่…” หลิงมู่เอ๋อร์มองปริบๆ ไปทางซั่งกวนเซ่าเฉินผู้เกรี้ยวโกรธ ยามดวงตาที่ใกล้จะร่ำไห้ของนางทอดมองไป เขายังใช้สายตาจ้องเขม็งกลับมา
ไม่ นี่ไม่ใช่พี่ใหญ่ของนาง แต่เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่มีหน้าตาเหมือนกันทุกประการ
“แม่นางหลิง อย่าตื่นตระหนกไป ฟังข้าอธิบายช้าๆ ก่อน”
หนานกงอี้จือดึงหลิงมู่เอ๋อร์และซูเช่อเข้าไปในกระโจมที่อยู่ห่างออกไปสิบหมี่
เมื่อเห็นว่าหลิงมู่เอ๋อร์ใกล้จะร้องไห้แล้ว ใบหน้าของซูเช่อพลันดำทะมึนชั่วร้าย เขาตะโกนด้วยความโกรธ “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ก่อนที่พวกเราจะมาถึงเกิดอะไรขึ้นกับซั่งกวนเซ่าเฉิน เหตุใดถึงไม่ทูลรายงานฮ่องเต้ให้ทรงทราบ?”
เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่ากำลังเสริมที่ส่งมาจากฮ่องเต้นั้นคือกองทัพจากซูเช่อ หนานกงอี้จือคิดว่าจะอธิบายเรื่องนี้ให้เขาฟังอย่างไรดี แต่เขาไม่คาดคิดว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะมาด้วยนี่นา
เขาถอนหายใจด้วยความลำบากใจ “อย่าว่าแต่พวกท่านสองคนเลยที่คิดว่ามันแปลก ข้ายิ่งรู้สึกแปลกประหลาดกว่า หากพวกท่านไม่รังเกียจก็นั่งลงก่อนเถิด แล้วข้าจะเล่าให้พวกท่านฟังช้าๆ”
หนานกงอี้จือรินชาให้ทั้งสองคน จากนั้นก็ทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัว ก่อนจะอธิบายอย่างละเอียด
“ไม่ใช่ว่าพวกเราปิดบังองค์ฮ่องเต้ เพียงแต่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปาฏิหาริย์ที่เกินความคาดหมายไปมาก สาสน์ที่พวกท่านได้รับระบุว่าสงครามชายแดนล้มเหลว และข่าวที่บอกว่าท่านผู้บัญชาการได้รับบาดเจ็บสาหัส ใช่หรือไม่?”
ซูเช่อและหลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้พูดอันใด แต่มองเพื่อให้เขาเอ่ยต่อ “กองทัพชายแดนจู่ๆ ก็มีอามู่เต๋ออะไรสักอย่างปรากฏตัวขึ้น มือเท้าของเขาแกร่งกล้า โดดเด่นทั้งบุ๋นและบู๊ ท่านผู้บัญชาการประมือกับเขาไม่ว่ากี่ครั้งล้วนไม่อาจเอาชนะได้ อีกทั้งยังทำให้กองทัพของเราพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า เพียงหนึ่งวันก่อนที่เราจะส่งสาสน์ขอความช่วยเหลือ ท่านผู้บัญชาการได้รับบาดเจ็บสาหัส เดิมทีเราวางแผนที่จะโจมตียุ้งฉางของศัตรู ในยามที่เขากำลังฟื้นตัวจากบาดแผล ทว่าจู่ๆ ศัตรูก็โจมตีไม่ทันให้ตั้งตัวในคืนนั้น”
เมื่อนึกถึงโศกนาฏกรรมในคืนนั้น หนานกงอี้จือชายร่างใหญ่ก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเทา
“เวลานั้นเป็นอามู่เต๋อที่นำกองทหารด้วยตนเองบุกเข้าโจมตีกองทัพของเราในเวลากลางคืน หลังจากต่อสู้พัวพันสามวันสามคืน เหล่าทหารที่ไม่ได้พักผ่อน อีกทั้งยังต้องเผชิญกับการลอบโจมตีของศัตรูจึงพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว พี่ใหญ่แบกร่างที่บาดเจ็บของเขาต่อสู้กับอามู่เต๋อ ล้วนเป็นความผิดของข้าที่ไม่ดี ไม่เก่งกาจเหมือนคนอื่นๆ ข้าเกือบตายด้วยคมดาบของอามู่เต๋อ แต่เป็นพี่ใหญ่ที่พุ่งเข้ามาขวางข้าไว้ได้ทัน”
เขายังจำตอนที่เปลี่ยนยาให้พี่ใหญ่ในตอนเช้าตรู่ของวันนี้ได้ บาดแผลนั้นน่าตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว
“สถานการณ์บาดเจ็บที่ทบทวีทำให้ท่านผู้บัญชาการคลั่งจนตาแดงก่ำ เมื่อบวกรวมกับการที่ทหารของเราประสบความสำเร็จในการลอบโจมตี ยุ้งฉางของศัตรูถูกไฟเผาไหม้ อามู่เต๋อล่าถอยเมื่อเขาเห็นว่าไม่อาจได้รับประโยชน์ใดๆ อีก แต่ท่านผู้บัญชาการยืนกรานที่จะไล่ตามหลังจากที่ได้รับชัยชนะ เขาจึงควบตะบึงม้าไล่ตามไปเพียงลำพัง”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง “เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเหตุใดถึงได้ไล่ตามไปคนเดียวเล่า”
หนานกงอี้จือคิดจะเปิดปาก แต่กลับกลืนคำพูดเหล่านั้นกลับเข้าไปในท้องของตนเอง “ล้วนเป็นความผิดของข้าทั้งสิ้น ที่ผ่านมาข้าไม่ฟังญาติผู้พี่ของข้าและข้าไม่ได้ฝึกฝนอย่างหนัก นั่นทำให้ทักษะของข้าด้อยกว่าคนอื่น แต่โชคดีที่การหลบหนีของอามู่เต๋อไม่ได้มีการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้า ข้าได้ยินมาว่าหลังจากที่พี่ใหญ่ไล่ตามเขาไป เขาต่อสู้กับอามู่เต๋อถึงสามร้อยกระบวนท่า ไม่เพียงแต่ฆ่าทหารชั้นยอดทั้งยี่สิบนายของฝ่ายศัตรูด้วยตัวเอง แต่ยังโจมตีจุดเกล็ดย้อนของอามู่เต๋อได้อีกด้วย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก อย่างที่คาดไว้ ไม่เสียแรงที่เป็นบุรุษของหลิงมู่เอ๋อร์ เขาเก่งกาจเป็นอย่างยิ่ง
“หลังจากนั้นเล่า เกี่ยวอะไรกับการที่เขาจำมู่เอ๋อร์ไม่ได้?” ซูเช่อถาม
คิ้วของหนานกงอี้จือขมวดลึกยิ่งขึ้น “ประเด็นอยู่ตรงนี้ ข้าได้ยินมาว่าทั้งคู่ตกจากหน้าผาในตอนท้ายซึ่งเป็นภูเขาที่อยู่ตรงกลางหมู่บ้านตระกูลหลิง อันที่จริงก่อนหน้านั้นหนึ่งวันทั้งสองคนก็ได้ประมือจนบาดเจ็บสาหัสมาก่อนแล้ว แท้จริงแล้วการที่พี่ใหญ่ดวงแข็งจนเก็บชีวิตกลับมาได้นั้นก็ยากยิ่งอยู่แล้ว ครานี้ได้รับบาดเจ็บซ้ำย่อมอันตรายยิ่งกว่า ประเด็นก็คือหลังจากพี่ใหญ่หายไปก็ไม่มีใครกลับมาอีกเลยจนรุ่งสางในวันรุ่งขึ้น ข้ากับท่านแม่ทัพได้ส่งกองทหารไปตามหา แต่เราค้นหาทุกซอกทุกมุมของภูเขาก็ไม่พบผู้ใดเลยสักคน”
เมื่อคิดถึงตรงนี้หนานกงอี้จือเขาก็เสียใจในภายหลังแล้ว หากซั่งกวนเซ่าเฉินตายไปแบบนั้นจริงๆ เขาก็ไม่รู้จะอธิบายกับเสด็จแม่อย่างไรยามที่กลับไปแล้ว
“แล้วอย่างไรต่อ?”
“เมื่อครึ่งเดือนก่อน จู่ๆ ท่านผู้บัญชาการก็กลับมาอย่างกะทันหัน ยามนั้นพวกเราถึงได้รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในคืนนั้น หลังจากท่านผู้บัญชาการตกเขา เขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเป็นลมหมดสติไป ร่างของเขาถูกกระแสน้ำในแม่น้ำพัดไป ดังนั้นพวกเราจึงหาเขาไม่พบ โชคดีที่สวรรค์ประทานพรให้มีแม่นางคนหนึ่งช่วยเอาไว้ และเพราะอาการบาดเจ็บมันสาหัสจนเกินไป เขาจึงพักฟื้นที่บ้านของแม่นางคนนั้น และเพิ่งกลับมายังค่ายทหารเมื่อไม่นานมานี้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หัวใจของหลิงมู่เอ๋อร์แทบจะหลุดออกมาจากคอ สามารถเก็บชีวิตกลับมาได้ก็นับว่าเป็นพรจากสวรรค์แล้ว “ดังนั้น เพราะเขาตกเขาถึงสองครั้ง ศีรษะได้รับความเสียหายจึงสูญเสียความทรงจำไป?”
หนานกงอี้จือมองนางด้วยสายตาชื่นชม “แม่นางหลิงฉลาดจริงๆ ยามที่ท่านผู้บัญชาการกลับมา เขามีบาดแผลขนาดใหญ่ที่ด้านหลังศีรษะ แม้ว่าเกือบจะหายดีแล้ว แต่หลังผ่านการรักษาจากแพทย์ทหาร ศีรษะของท่านผู้บัญชาการที่ได้รับบาดเจ็บจึงสูญเสียความทรงจำไปสามปี กล่าวคือ ความทรงจำปัจจุบันของเขายังคงอยู่ในช่วงเวลาที่แม่ของเขาเสียชีวิตเมื่อสามปีก่อนเท่านั้น”
เพล้ง
ถ้วยชาในมือของหลิงมู่เอ๋อร์ร่วงหล่นลงไปที่พื้น
ไม่น่าแปลกใจเลยที่พี่ใหญ่มองนางด้วยสายตาแปลกประหลาด ไม่แปลกใจเลยที่เขาดุนางต่อหน้าผู้คนมากมาย ที่แท้แล้วก็มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นกับพี่ใหญ่ในช่วงเดือนที่นางมีความสุขเหล่านั้น
“ไม่เป็นไร ตราบใดที่คนคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะดูเขาอีกที หากเป็นแค่อาการบาดเจ็บที่ศีรษะ เขาน่าจะฟื้นความทรงจำได้ในเร็วๆ นี้”
ยามที่หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ย นางก็ลุกขึ้นเดินไปหาซั่งกวนเซ่าเฉินทันที
สามปีเป็นช่วงเวลาก่อนที่พวกเขาจะได้พบกัน นางไม่รังเกียจที่พี่ใหญ่จะลืมนาง ทว่านางจะไม่ยอมให้ต่อจากนี้พี่ใหญ่ลืม
“แม่นางหลิง…” หนานกงอี้จือรีบดึงแขนเสื้อของนาง ลังเลที่จะเอ่ย “เจ้า… เจ้าต้องเตรียมใจให้พร้อมก่อน”
“คำพูดนี้ของท่านหมายความว่าอย่างไร?” หลิงมู่เอ๋อร์มีลางสังหรณ์ไม่ดี
หนานกงอี้จือกัดฟัน ก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง ขณะที่เขากำลังตัดสินใจจะพูด จู่ๆ ก็มีเสียงผู้หญิงดังมาจากนอกกระโจม
“เซ่าเฉิน เมื่อครู่ข้าเพิ่งทำกับข้าวมื้อพิเศษให้ท่าน ท่านลองชิมดูดีหรือไม่?
นางยังคงเรียกชื่อคู่หมั้นของตนด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและแฝงไปด้วยความสนิทสนม
หลิงมู่เอ๋อร์พลันเปิดม่านและรีบพุ่งออกไปทันที ร่างงามร่างหนึ่งเดินผ่านไปต่อหน้าต่อตานาง ก่อนจะเข้าไปในกระโจมที่อยู่ตรงข้าม
“เหตุใดถึงมีผู้หญิงในค่ายทหารได้?” เมื่อเห็นหน้าซีดขาวของหลิงมู่เอ๋อร์ ซูเช่อพลันโกรธจัด
“ก็… นางนั่นแหละที่เป็นผู้มีพระคุณช่วยของญาติผู้พี่ วันนั้นนางเป็นคนที่ช่วยชีวิตเขาที่ริมน้ำ ข้าได้ยินมาว่านางเป็นเด็กกำพร้า ดังนั้นด้วยสัจจะ ญาติผู้พี่จึงพานางมาที่ค่ายทหารด้วย”
ไม่เพียงแต่ลืมนางเท่านั้น แต่ยังมีผู้หญิงคนอื่นอยู่ข้างกายอีกด้วย ยามนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรักกันดีด้วยซ้ำ
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่รู้ว่านางเข้ามาในกระโจมของซั่งกวนเซ่าเฉินได้อย่างไร แต่เมื่อนางเดินเข้าไปและเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้น นางตกใจจนแทบไม่เชื่อสายตา
“หลิง ไฉ่ เว่ย?”