เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 7 ตอนที่ 196 ฟื้น
เล่มที่ 7 ตอนที่ 196 ฟื้น
“ไอ๊หยา ดูเหมือนว่าจะสูญเสียความทรงจำไปแล้วจริงๆ ในเมื่อจำข้าไม่ได้ แล้วก็คงไม่รู้ว่าตนเองเป็นใครด้วย”
หลิงมู่เอ๋อร์กอดอก นางพยักหน้าขณะหันหลังกลับ นางพลันคว้าจับเก้าอี้ตัวเล็กข้างเตียงจากมุมหางตา หยิบมันขึ้นมาและทำท่าจะทุบมันลงบนหัวของซูเช่อโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
“เช่นนั้นคุณหนูเช่นข้าก็ไม่รังเกียจที่จะให้ท่านคิดเรื่องนี้ให้ดีๆ”
“หลิงมู่เอ๋อร์!”
ในจังหวะที่เก้าอี้ตัวนั้นกำลังจะฟาดลงมา ซูเช่อก็รีบหลบ ก่อนจะตะโกนเรียกชื่อนางออกมา
หลิงมู่เอ๋อร์รีบขว้างเก้าอี้ไม้ตัวเล็กออกไปทันที นางเอื้อมมือไปจับคอเสื้อของเขา จ้องมองเขาอย่างโหดเหี้ยมดุดัน “เหตุใดถึงไม่แกล้งทำเป็นความจำเสื่อมแล้วเล่า?”
ดวงตาที่เมื่อครู่ยังใสแจ๋ว ยามนี้หวนคืนกลับไปสู่ดวงตาที่ลึกล้ำและชั่วร้ายดั่งเช่นในอดีต ซูเช่อมองไปยังคอเสื้อที่นางจับไว้อยู่ ก่อนจะมองไปยังหลิงมู่เอ๋อร์ที่อยู่ไม่ห่าง เขาวาดแขนยาวของตน พลิกร่างของนางให้อยู่ใต้ร่างของเขา “ดูท่าทางผอมแห้งแรงน้อยของเจ้าสิ เกรงว่าไม่กี่วันนี้คงจะไม่ได้พักผ่อนเลยสิท่า กังวลกับข้ามากถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
ลมหายใจอุ่นๆ ของเขารินรดอยู่ที่ข้างหูของนาง เมื่อหลิงมู่เอ๋อร์เงยหน้าขึ้นก็สามารถเห็นดวงตาที่ชั่วร้ายและความรู้สึกเร่าร้อนของซูเช่อได้เลย เสียงที่แหบแห้งและมีเสน่ห์นั้น ราวกับจะสามารถดึงดูดจิตวิญญาณของนางได้
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ผลักเขาออกทันที ก่อนจะถอยไปตั้งสติให้ห่างจากเขาหนึ่งหมี่ “คราที่แล้วมิใช่ท่านที่ถามข้าว่าหากท่านป่วย ข้าจะดูแลท่านทั้งคืนเช่นกันหรือไม่ ยามนี้ท่านก็คงเห็นคำตอบแล้ว พอใจหรือไม่?”
ซูเช่อมองประเมินสภาพแวดล้อมโดยรอบอีกครั้ง หลังจากยืนยันว่านี่คือบ้านของนาง ในใจเปี่ยมล้นไปด้วยความยินดี “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ามิได้ความจำเสื่อม?”
“ท่านคิดว่าฉายาเซียนแพทย์นั้นข้าเก็บขึ้นมาหรือไร?”
เดิมทีนางคิดจะเอาเก้าอี้ฟาดหัวของเขา ทว่าหลังจากคิดไปคิดมาแล้วก็ทนไม่ได้ “ข้าจับชีพจรให้ท่านแล้ว ทุกอย่างปกติดี แม้ว่าดวงตาของท่านจะบริสุทธิ์ต่างจากเมื่อก่อน ท่านสามารถซ่อนมันจากคนอื่นได้ แต่ไม่สามารถซ่อนมันจากข้าได้”
นางเจอคนไข้มามากมายในชีวิต เจอมากกว่าข้าวที่เขากินเข้าไปเสียอีก แล้วยังคิดจะสู้กับนางอีกหรือ?
“ข้าได้ยินเรื่องของท่านป้าโม่แล้ว ท่าน… ข้าเสียใจกับท่านด้วย”
ทันใดนั้นบรรยากาศที่รื่นเริงพลันตึงเครียดขึ้นมาทันที อารมณ์ที่เคยผ่อนคลายแตกสลายหายไปอีกครั้ง หัวใจชองซูเช่อหนักอึ้ง เขาเอนกายพิงหัวเตียง เหยียดยิ้มบางเบา
“มิน่าเล่า คราแรกที่ข้าเห็นนาง ข้าถึงได้รู้สึกพิเศษนัก คิดไม่ถึงว่านางจะกลายเป็นคนที่ใกล้ชิดข้าถึงเพียงนี้” เขามองนิ้วที่ผอมจนเห็นกระดูก “เป็นมือข้างนี้ที่คว้านางเอาไว้ได้ในครั้งสุดท้าย รับรู้ได้ถึงอุณหภูมิร่างกายของนางที่เย็นลงทีละน้อย”
“ข้าเพิ่งได้รู้ตัวตนของนาง ยังไม่ทันที่ข้าจะแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ กลับต้องมองนางไร้ลมหายใจไปต่อหน้า”
ยามที่เอ่ยเช่นนี้ ใบหน้าของซูเช่อปรากฏความเศร้าที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน
หลิงมู่เอ๋อร์ต้องการปลอบเขา แต่นางไม่รู้ว่าควรจะพูดว่าอย่างไร เพราะนางไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนและไม่อาจเข้าใจความรู้สึกนั้น
คุณชายผู้สง่างามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงคือตัวตนปลอม เพียงแค่นั้นก็ช่างมันเถิด แต่แม่ที่เขาเพิ่งพบกลับเสียชีวิตต่อหน้าเขา ยามนี้ในใจของเขาต้องเจ็บปวดยากจะรับไหวมากเพียงใดกัน
“ท่านเพิ่งหายจากอาการป่วยหนัก อย่าได้มีอารมณ์กระทบกระเทือนจิตใจ ข้ารู้ว่าเหตุการณ์นี้รุนแรงกับท่านยิ่งนัก แต่ท่านต้องมองไปยังอนาคตข้างหน้า ข้าจะขอให้คนในครัวหาอะไรให้ท่านทาน”
ซูเช่อรีบคว้าข้อมือของนางไว้ ใช้แรงกระตุกเพียงครั้งเดียวเพื่อจะดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน
หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกได้ถึงหน้าอกที่เร่าร้อนและหัวใจที่เต้นแรงของเขา หญิงสาวพลันมึนงงสับสน ทว่าก็กลับมาพยายามดิ้นรนได้อย่างรวดเร็ว “เจ้าคนชั่วไร้ยางอาย ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!”
“อย่าขยับ ให้ข้ากอดเจ้าสักครู่ เพียงครู่เดียวก็พอ”
น้ำเสียงของเขาเจือไปด้วยความอ้อนวอน
ชายหนุ่มวางหน้าผากบนไหล่ของนาง สูดดมกลิ่นที่คุ้นเคยอย่างตะกละตะกลาม โอบมือรอบเอวบางนั้นไว้แนบแน่น เขาอยากกอดนางแบบนี้ไปตลอดชีวิต
“ข้าไม่ใช่จวิ้นอ๋องน้อยอีกต่อไปแล้ว มีหลายคนที่หลีกเลี่ยงข้า ทว่าเจ้ากลับช่วยข้าไว้ หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้าเองก็สนใจข้าเช่นกันกระมัง?”
มีอาการใจเต้นแรงอยู่ครู่หนึ่ง แต่เขารู้ว่ามันเกิดจากความห่วงใยและความสงสารในฐานะสหายเท่านั้น
ซูเช่อเป็นคนที่โอหังและถือดี หากเขารู้ว่านางกำลังรู้สึกสงสารเขา เขาคงรู้สึกแย่กว่านี้
นางถอนหายใจ “ข้านึกว่าท่านคิดเหมือนข้า เห็นว่าพวกเราเป็นสหายที่ดีต่อกัน ยามที่เพื่อนเดือดร้อน ข้าย่อมไม่มีวันยืนดูอยู่ข้างๆ เฉยๆ แน่ นอกจากนี้ ท่านยังสลบในวันที่ฝนตกหนัก หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ผลที่ตามมาย่อมเป็นหายนะ”
“สตรีปากไม่ตรงกับใจ ยอมรับไม่ได้สักครั้งเลยหรือว่าสนใจในตัวข้า?”
สองแขนคลายออก กางอยู่ในท่าที่ราวกับกำลังโผบิน ซูเช่อเป่าลมใส่หูของนาง “ไปเถิด แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้ากอดเจ้า แต่เป็นครั้งสุดท้าย ตั้งแต่ที่ข้าเป็นจวิ้นอ๋องน้อย เจ้าก็ไม่เคยยอมรับ ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้ข้า…”
“ช่างดูไม่ได้ยิ่งนัก!”
น้ำเสียงของหลิงมู่เอ๋อร์เย็นชาเป็นอย่างยิ่ง
ซูเช่อที่ยังเอ่ยไม่ทันจบ พลันเงยหน้าขึ้น เอ่ยด้วยความไม่เชื่อ “เจ้าพูดเรื่องอะไร?”
“ข้าบอกว่าช่างดูไม่ได้เลยจริงๆ! ทั้งหมดก็เป็นเพียงความผิดพลาดของพ่อแม่ท่านเท่านั้น ทว่าท่านกลับทำตัวสูงส่งมีคุณธรรม! เป็นจวิ้นอ๋องแล้วอย่างไรหรือ ไม่เห็นสำคัญอันใดเลย ข้า หลิงมู่เอ๋อร์ หากจะผูกมิตรก็ผูกกันด้วยใจ ไม่ใช่ฐานะของอีกฝ่าย หรือว่าการที่ท่าน ซูเช่อคอยวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวข้า ก็เป็นเพราะว่าฐานะของข้าหรือ?”
“ไม่ใช่อย่างแน่นอน!” เขาเกือบจะแย่งเปิดปากอธิบายด้วยซ้ำ
หลังจากที่เอ่ยจบ ซูเช่อก็ตระหนักได้ว่านางกำลังพยายามทำให้เขาเข้าใจ
หมัดทั้งสองข้างกำแน่น เขาพยักหน้าให้นาง “ขอบใจเจ้า ท่านเซียนแพทย์ที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ แต่ว่าข้าไม่มีอะไรจะตอบแทนนอกจากผิวหนังนี้”
“ได้สิ เช่นนั้นก็ตัดผิวสวยๆ ของท่านออก แล้วในภายหลังข้าจะทำหน้ากากหนังส่วนตัว ท่านหักใจมอบมันให้ข้าได้หรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์พูดติดตลก ขณะยื่นแก้วน้ำให้เขา “ข้าพูดคำปลอบโยนไม่เป็น และข้าเชื่อว่าท่านเองก็ไม่อยากได้ยินมันเช่นกัน การที่ท่านสามารถเดินมาจนถึงจุดนี้ได้ ข้าเชื่อว่าไม่ใช่เพียงเพราะฐานะจวิ้นอ๋องน้อยของท่าน ท่านโดดเด่นถึงเพียงนี้ เก่งกาจถึงเพียงนี้ คงจะไม่อยากได้ยินคนบอกว่าเกิดมาพร้อมโชคชะตาที่เหนือกว่าหรอกกระมัง พอดีเลยนี่นา ยามนี้ท่านไม่ได้มีฐานะจวิ้นอ๋องน้อยแล้ว ท่านสามารถแสดงความแข็งแกร่งของตนออกมาได้จริงๆ และให้คนอื่นจดจำท่านในฐานะของซูเช่อ ไม่ใช่ตำแหน่งจวิ้นอ๋องน้อยของท่าน”
มิอาจไม่ยอมรับได้ว่าคำพูดเหล่านี้ทำให้หัวใจของคนกระพือปีกโผบิน ซูเช่อดื่มน้ำเข้าไปจนหมดแก้ว “เจ้าใช้ปากที่ฉลาดหลักแหลมนี้ในการดึงดูดซั่งกวนเซ่าเฉินใช่หรือไม่?” เมื่อมองไปยังถ้วยชา น้ำใสแจ๋วราวกับน้ำแร่ ไม่พบสิ่งเจือปนใดๆ ชายหนุ่มเอ่ยพึมพำว่า “น้ำอะไรกัน เหตุใดจึงมีรสหวานนัก?”
แน่นอนว่ามันคือน้ำจากมิติเทพ
ไม่อย่างนั้น หากอาศัยความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะตาย เขาจะตื่นขึ้นอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยพลังเช่นนี้ได้อย่างไร
ช่างประจวบเหมาะที่ซางจือถือโจ๊กเดินเข้ามา
“ไม่ได้กินอะไรมาห้าวันแล้ว ท้องของท่านคงโล่งโจ้งแล้วกระมัง? กินอะไรก่อนสิ ข้าจะไปบอกพ่อแม่ว่าท่านตื่นแล้ว พวกท่านเห็นท่านถูกข้าอุ้มเข้ามา สลบไปหลายวันก็พากันกังวลใจยิ่งนัก หลังจากท่านจัดการตัวเองเสร็จก็มาหาข้าที่โถงหน้าบ้านก็แล้วกัน”
ซูเช่อยังต้องการจะพูดอันใดอีก แต่หลิงมู่เอ๋อร์เดินออกจากห้องไปแล้ว
เดิมทีเป็นเพราะจวิ้นอ๋องน้อยที่สูญเสียความทรงจำ เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของซูเช่อ ซางจือก็ยื่นโจ๊กให้เขาอย่างระมัดระวัง “จวิ้น… จวิ้นอ๋องน้อยมิได้สูญเสียความทรงจำใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
“แค่หยอกพวกเจ้าเล่นเท่านั้น ตรงนี้ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าปรนนิบัติแล้ว ออกไปเถิด”
ซางจือกำลังจะออกไป แต่สายตาของซูเช่อกลับถูกกล่องยาบนโต๊ะดึงดูดเข้า เขาเปล่งเสียงออกมา “ประเดี๋ยวก่อน ในกล่องยานั้นคืออะไร?”
ซางจือทราบเพียงว่าช่วงนี้แม่นางมีงานยุ่งที่มากจนไม่ได้จัดเก็บกล่องยาให้ดี ดังนั้นนางจึงรีบหันไปทำความสะอาด “ที่จวิ้นอ๋องน้อยเอ่ยคือสิ่งนี้หรือเจ้าคะ?” นางสะบัดกระดาษที่หล่นลงมาจากท้องฟ้าในวันนั้น กระดาษที่พวกนางทั้งเก็บทั้งซื้อ “ในวันที่ท่านเกิดเหตุ แม่นางพบว่ามีคนจงใจโปรยกระดาษข่าวลือนี้ลงมาจากท้องฟ้า แม่นางจึงขอให้พวกเราเก็บมันขึ้นมา แต่อีกฝ่ายเจ้าเล่ห์เกินไป เขาโปรยเงินเพื่อดึงดูดคนมาดูก่อน แม่นางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้เงินเพื่อซื้อมันมา ทว่าก็ใช้เงินไปเกือบสองตำลึงเงินเลยทีเดียว”
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ กระแสอุ่นๆ พลันไหลผ่านหัวใจ หลิงมู่เอ๋อร์ยอมอยู่เบื้องหลังทุกคนที่ชี้หน้าด่าเขา และปกป้องเขาเช่นนี้ นั่นพาให้เขาซาบซึ้งยิ่งนัก
“หลายวันนี้ที่ข้าสลบ แม่นางของพวกเจ้ามาเฝ้าข้าทั้งคืนเลยหรือ?”
ซางจือพยักหน้า “เจ้าค่ะ ท่านไม่เพียงแต่สลบล้มไปบนถนนในเมืองที่วุ่นวายเท่านั้น แต่ท่านยังต้องลมหนาวอีกด้วย ในคืนนั้นท่านมีไข้ขึ้นสูงไม่ลดเลยสักนิด แม่นางเป็นคนที่เคยเช็ดร่างกายของท่านให้เย็นลงเพื่อที่ท่านจะได้ไม่ต้องทรมานมากนัก แต่ท่านก็ยังไม่ฟื้น แม่นางบอกว่าอาการนี้เรียกว่าการสะกดจิตตัวเอง ดังนั้น แม่นางจึงเล่าเรื่องอดีตกับท่านทุกวัน และในที่สุดจวิ้นอ๋องน้อยก็ฟื้นเจ้าค่ะ”
แม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยตาของตนเอง แต่ซูเช่อก็เหมือนจะจินตนาการได้ว่าหลิงมู่เอ๋อร์มีท่าทางดื้อรั้นเพียงใดในยามนั้น
นางเป็นห่วงตนเองมากถึงเพียงนั้น ยังบอกว่าในใจนางไม่มีเขา?
ช่างน่าเสียดายนัก ที่เขาตามหลังซั่งกวนเซ่าเฉินหนึ่งก้าว
หลังจากล้างตัวเสร็จแล้ว ซูเช่อที่เดินออกมาจากห้อง เดิมทีตั้งใจจะกล่าวคำขอบคุณทุกคนและจากไป ทว่าจู่ๆ กลับมีเงาร่างหนึ่งที่พุ่งทะยานมาจากที่ไกลๆ เอาร่างของตนเองกระแทกเข้ามาในอ้อมแขนของเขา
“เจาหยาง ปล่อย!”
มองแม่นางน้อยในอ้อมแขนที่ยังคงอยู่ในชุดสีแดง นางโอบรอบกายเขาแน่นเหมือนกับตอนที่นางยังเป็นเด็ก ในใจของซูเช่อรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย
แม้ว่าเจาหยางจะบริสุทธิ์ แต่นางก็เป็นบุตรสาวของสตรีคนนั้น
“ข้าไม่ปล่อย พี่ชาย ท่านไม่ต้องการเจาหยางแล้วหรือ?” น้ำตาไม่อาจเก็บกลั้นเอาไว้ได้ เจาหยางแอบซ่อนตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา นางเงยหน้าขึ้นและมองเขาด้วยแววตาที่น่าสงสาร “ท่านแม่บอกว่า ท่านตัดสัมพันธ์กับนางและออกจากจวนจวิ้นอ๋องไป ท่านทิ้งพวกเขาไปก็ช่างมันเถิด แต่แม้กระทั่งเจาหยาง ท่านก็ไม่ต้องการด้วยหรือเจ้าคะ?”
น้องสาวที่เขารักมาตลอด ขอแค่เพียงเป็นคำขอของนาง เขาจะยอมทำตามทั้งหมด แม้ว่าที่ผ่านมานางจะน่าโมโหและบางครั้งก็ทำให้เขารำคาญ แต่ประโยคสองประโยคนี้ดูเหมือนจะแทรกซึมเข้าไปในหัวใจของเขา
เขาที่ไม่เคยรู้ว่าน้ำตามีรสชาติอย่างไร ทว่ายามนี้เขาอยากจะร้องไห้โดยไม่มีเหตุผล
“หากไม่ปล่อยก็จงระวังว่าข้าจะโยนเจ้าออกไป”
แม้ว่าเขาจะตั้งใจพูดให้กลัว แต่เขาก็หมายความตามนั้นอย่างจริงจัง
หลิงมู่เอ๋อร์ที่กำลังกินคำโต ไม่แม้แต่จะเหลือบมองเขาด้วยซ้ำ “น้องหญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้ามิใช่ตัวคนเดียวแล้ว จวิ้นอ๋องน้อยโปรดระวังก่อนที่จะโจมตี”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูเช่อพลันตื่นตะลึง เขารีบจับไหล่ของเจาหยางด้วยมือทั้งสองข้าง “เจ้า มีเรื่องมงคลหรือ?”
“เจ้าค่ะ เจาหยางมีเรื่องมงคลแล้ว ท่านพี่กำลังจะเป็นท่านลุงแล้ว แต่พี่ชายบอกว่าไม่ต้องการเจาหยาง แต่แม้แต่หลานในอนาคต ท่านก็ไม่ต้องการหรือเจ้าคะ?”
ก่อนที่จะฟื้นจากความตกใจ หยางซื่อได้คว้าแขนของซูเช่อไว้แล้ว “เจ้าต้องการอะไรไหม พี่ชายจะรู้สึกเสียใจกับน้องสาวของเขาได้อย่างไร เอาเถอะ เจ้าอดอาหารมาห้าวันแล้ว นั่งลง มา ลงมากินข้าวด้วยกัน”
ชายหนุ่มถูกข่าวของเจาหยางพาให้ตกใจไปทั้งร่าง ซูเช่อตั้งใจที่จะปฏิเสธ ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะลุกขึ้นก็ถูกหลิงต้าจื้อรั้งไว้อีกครั้ง “จวิ้นอ๋องน้อยเคยช่วยเหลือตระกูลหลิงของเรามามากมายในอดีต อีกทั้งวันนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ท่านมาทานข้าวที่นี่ ล้วนเป็นอาหารธรรมดา ข้าหวังว่าจวิ้นอ๋องน้อยจะไม่ต้องเกรงใจ!”
“ใช่แล้ว พี่ชาย อาหารที่ท่านแม่ทำอร่อยยิ่งนัก ท่านต้องลองนะเจ้าคะ!” เจาหยางตักกับข้าวจำนวนมากใส่ลงไปในชามของเขาจนกองเป็นเนินภูเขา
หยางซื่อและหลิงต้าจื้อยิ้มให้เขาอย่างซื่อๆ หลิงมู่เอ๋อร์ ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหารกำลังกลืนเนื้อชิ้นใหญ่อย่างตะกละตะกลาม ถังซื่อ หยางต้าหนิว รวมทั้งหลิงจือเซวียนที่อยู่ที่โต๊ะอาหารต่างก็มองมาที่เขาอย่างใจดีและกระตือรือร้น