เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 7 ตอนที่ 195 การตายของมารดา
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 7 ตอนที่ 195 การตายของมารดา
เล่มที่ 7 ตอนที่ 195 การตายของมารดา
“นายท่าน ให้ข้าน้อยเป็นคนทำเถิดขอรับ”
จื่อถงต้องการแย่งพลั่วมาจากมือของซูเช่อ แต่กลับถูกนายท่านหยุดเอาไว้
“หากไม่ใช่เพราะข้า นางคงไม่มีชีวิตที่น่าสมเพชเช่นนี้ ข้าไม่ได้ทำหน้าที่ตอบแทนความกตัญญูดั่งที่บุตรควรทำ แต่กลับทำให้นางตายเพราะมีลูกอย่างข้า นี่คือสิ่งสุดท้ายที่ข้าทำให้นางได้”
ไม่เพียงแต่ไม่ยอมมอบเครื่องมือให้ผู้ใดเท่านั้น ซูเช่อยังขุดหลุมลึกด้วยมือของเขาเอง ยามที่เหลียวมองไปยังร่างที่แข็งทื่อซึ่งนอนอยู่ในโลงศพนั้น ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาด้วยร่างที่สั่นเทา ค่อยๆ คว้าจับมืออันหยาบกร้านของนางเอาไว้
“…ท่านแม่” ผ่านไปเนิ่นนาน กว่าจะพูดคำคำนี้ออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทาได้ ดวงตาที่แน่วแน่ของซูเช่อกะพริบถี่ ในที่สุดหยาดน้ำใสก็ร่วงหล่นลงมา
‘เปรี้ยง’ ท้องนภาซัดสาดอัสนีบาตรอีกครั้ง หลังจากนั้นฝนก็เทลงมาอย่างหนัก
จื่อถงรีบหาร่มมาบังศีรษะให้ซูเช่อ ทว่าเขายืนกรานที่จะฝังมารดาเพียงลำพัง ทั้งตัวของเขาเปียกโชก ชายหนุ่มคุกเข่าลงบนพื้นดินที่เต็มไปด้วยโคลน ราวกับใช้พละกำลังทั้งหมดในกายจนสูญสิ้น “ท่านแม่ ลูกอกตัญญูแล้ว!”
ไม่รู้ว่าเขาโขกศีรษะไปกี่ครั้ง โขกจนกระทั่งหยาดเลือดไหลซึมออกมาจากหน้าผาก จนกระทั่งซูเช่อผู้แข็งแกร่งมาตลอดเป็นลมล้มลงไป
จื่อถงต้องการพาซูเช่อไปโรงหมอของหลิงมู่เอ๋อร์ ทว่าซูเช่อที่ตื่นกลางทางกลับเอ่ยปฏิเสธ
เขายืนกรานที่จะอยู่คนเดียวสักพัก ทว่าจื่อถงมิอาจตัดใจได้ ทำได้เพียงเดินตามหลังไปเงียบๆ ทว่าท้ายที่สุดแล้ว จวิ้นอ๋องน้อยก็ยังคงเป็นจวิ้นอ๋องน้อยอยู่วันยังค่ำ แม้จะต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างกะทันหัน แต่ขาก็สามารถสลัดคนที่ไล่ตามที่อยู่เบื้องหลังได้
ฝนตกหนักราวกับว่าสวรรค์มิอาจหักใจกับการจากไปของมั่วเหนี่ยงได้ ซูเช่อเดินคนเดียวไปจนถึงถนนที่พลุกพล่านที่สุดในเมืองหลวง ท่าทางโดดเดี่ยวเดียวดาย ราวกับเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้งจริงๆ
เขาไม่เคยเป็นคนที่มีอารมณ์อ่อนไหว สำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เพียงใด ย่อมต้องมีสักวันที่เขาจะเอาชนะมันได้ แต่ไหนแต่ไรเขาใช้เสียงหัวเราะในการข้ามผ่านเรื่องราวต่างๆ มาเสมอ ราวกับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสองสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา
คนหนึ่งให้กำเนิดเขาแต่ไม่ได้เลี้ยงดูเขา อีกคนหนึ่งปฏิบัติต่อเขาราวกับเป็นพ่อแม่แท้ๆ วันนี้คนหนึ่งจากไปตลอดกาลและอีกคนกลายเป็นศัตรูที่ฆ่าแม่ของเขา
ซูเช่อจวิ้นอ๋องน้อยผู้สง่างาม ยามนี้กลายเป็นตัวตลกที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง เขาไม่สนใจเรื่องนี้ การสูญเสียเกียรติยศและความมั่งคั่งทั้งหมดในชีวิตและกลายเป็นเพียงคนธรรมดา สำหรับเขาแล้วไม่ได้รู้สึกยากจะหักใจเลยสักนิด เขาเพียงไม่ได้คาดหวังว่าแม่ผู้ให้กำเนิดที่เพิ่งพบกัน ยังไม่ได้ทำความรู้จัก นางกลับเสียชีวิตอย่างน่าอนาถต่อหน้าเขา โดยที่เขาไร้เรี่ยวแรงจะช่วยเหลือ!
ใช่ แค้นนี้ เขาต้องชำระให้ได้
‘ฮี้’ ม้าตกใจและถูกบังคับให้หยุดกะทันหัน หญิงสาวบนเกี้ยวโผล่ศีรษะออกมา “นี่มันเรื่องอะไรกัน ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ เหตุใดจู่ๆ ถึงหยุดรถเล่า?”
คนขับรถม้าถอดหมวกไม้ไผ่ออก เขามองเห็นชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างชัดเจน เขาคนนั้นไม่ได้เคลื่อนไหวอยู่นาน คนขับรถม้าใช้เวลาสักครู่ถึงจะนึกตัวตนของเขาออก ก่อนจะเตือนเจ้านายที่อยู่บนเกี้ยวข้างหลังอย่างระมัดระวัง “คุณหนูใหญ่ขอรับ เป็นจวิ้นอ๋องน้อยขอรับ”
จู่ๆ ม่านรถพลันเปิดออก หลันเชี่ยนหยิ่งซึ่งสวมกระโปรงขนห่านสีเหลืองรีบยื่นศีรษะออกมา เพียงกวาดสายตามองแวบเดียวนางก็เห็นซูเช่อที่ยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนโหมกระหน่ำ ใบหน้าของเขาซีดเซียว โง่งม
เขาผู้เคยสูงส่งในอดีต คือตัวตนที่สตรีทุกคนในเมืองหลวงยื้อแย่งเพื่อให้ได้ชิดใกล้ ไม่ว่าเด็กสาวหรือสตรีมีอายุ มีผู้ใดบ้างที่ไม่อยากแต่งเข้าจวนจวิ้นอ๋องในฐานะพระชายาเอกแห่งจวิ้นอ๋องน้อย
ทว่าซูเช่อในยามนี้ เสื้อผ้ายุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิง จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หรือว่าเรื่องที่เขาเป็นลูกนอกสมรสจะเป็นเรื่องจริง ถึงได้ถูกองค์หญิงใหญ่ไล่ออกมาตามข่าวลือ?
“คุณหนู ข้าได้ยินมาว่าจวิ้นอ๋องน้อยไม่ใช่บุตรชายคนโตขององค์หญิงใหญ่ ไม่ช้าก็เร็วก็คงถูกไล่ออกจากจวนจวิ้นอ๋อง หรือว่า…”
หลันเชี่ยนหยิ่งทำสัญญาณให้เงียบ เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่ถูกสายฝนสาดซัดจนน่าสงสารของซูเช่อ หัวใจของนางก็อ่อนลง ทว่าเพียงไม่นาน นางก็กลับมาแน่ใจในความคิดของตนเองอีกครั้ง
“พลขับ พวกเราเปลี่ยนเส้นทาง ไปทางอ้อม!”
เพราะว่าซูเช่อยืนอยู่กลางถนน คนขับรถม้าจึงทำได้เพียงหันหลังกลับ ขับอ้อมเพื่อกลับจวน ทว่าซูเช่อที่กำลังจมจ่อมอยู่ในความคิดก็ยังคงเห็นเงาร่างที่ไร้ไมตรีของหลันเชี่ยนหยิ่งที่หมุนกายกลับไป
เฮอะ มิใช่เอ่ยว่า หากไม่ใช่เขาจะไม่ยอมแต่งงานกับผู้ใดหรือ?
มิใช่เอาแต่เรียกเขาเสียงอ่อนเสียงหวานว่าพี่เซ่อ เอ่ยว่าจะเป็นคนของเขาไปตลอดชีวิตหรือ?
มาวันนี้ที่เขาสูญเสียฐานะจวิ้นอ๋องน้อยไป คำสาบานก่อนหน้านี้ก็กลายเป็นเรื่องเหลวไหลแล้วหรือ?
ท่ามกลางสายฝนสาดซัด ผมของซูเช่อยุ่งเหยิง ใบหน้าของเขาดุร้าย มุมปากเหยียดยิ้มเย้ยหยัน “หลันเชี่ยนหยิ่ง? เจ้าเองก็เป็นได้เพียงแค่นี้จริงๆ!”
หมัดที่กำแน่นส่งเสียงเสียดเนื้อ ซูเช่อที่เพิ่งก้าวเท้าหนักๆ ไปข้างหน้าสองก้าว พลันรู้สึกว่าร่างกายของเขาสั่น ชายหนุ่มพยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้ร่างกายยืนนิ่งอย่างสมดุล ทว่าท้ายที่สุดดวงตาของเขาก็มืดสนิท
หลิงมู่เอ๋อร์ที่กำลังค้นหาไปทั่วเกือบครึ่งเมืองหลวง บังเอิญเห็นฉากที่ซูเช่อล้มลงกับพื้นพอดี นางรีบร้อนกระโดดลงมาจากเกี้ยวก่อนจะพุ่งกายเข้าไปรับ
นางหาได้สนใจสายฝนที่ตกหนักซึ่งทำให้เปียกโชกไม่ หญิงสาวโอบกอดร่างของซูเช่อไว้ในอ้อมแขนแน่น “จวิ้นอ๋องน้อง… จวิ้นอ๋องน้อย…”
ซางจือรีบร้อนถือร่มมาบังบนศีรษะของทั้งสอง ในขณะที่เจี้ยงเซียงยื่นผ้าเช็ดตัวเช็ดซับให้จวิ้นอ๋องน้อยทันที
“เร็วเข้า ช่วยพยุงเขาขึ้นไปบนเกี้ยวที” หลังจากจับชีพจรเสร็จ หลิงมู่เอ๋อร์และทั้งสองคนก็ช่วยกันยกร่างของซูเช่อขึ้นไปบนเกี้ยว “กลับจวนตระกูลหลิง”
วันนี้ฝนตกหนักเป็นพิเศษ ราวกับบนท้องฟ้ามีรูรั่ว ฝนตกตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ยังไม่หยุด
เมืองหลวงที่พลุกพล่านดูเหมือนจะกลายเป็นเมืองที่ว่างเปล่าในชั่วข้ามคืน ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารหรือโรงหมอต่างพากันปิดประตูก่อนเวลา แม้ภัตตาคารอาหารตะวันตกซึ่งเป็นการค้าที่ได้รับความนิยมมาตลอดก็ถูกบังคับให้ปิดก่อนเวลา
อากาศแบบนี้ไม่น่าออกไปทำธุระนอกบ้านเลยจริงๆ
“ไอ๊หยา เกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดจวิ้นอ๋องน้อยถึงสลบไปได้เล่า?”
ท่านลุงที่มาเปิดประตูให้เห็นมู่เอ๋อร์ กับสตรีอ่อนแอสองคนกำลังแบกร่างของชายคนหนึ่งอย่างสิ้นเปลืองกำลัง เมื่อเข้าไปใกล้ก็ค้นพบว่าเขาเป็นใคร ท่านลุงรีบร้อนแบกเขาไปที่ยังห้องพักทันที
“ซางจือไปหาท่านแม่เพื่อขอเสื้อผ้าของพี่ชายใหญ่ เจี้ยงเซียงไปต้มน้ำร้อน”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่สนใจเรื่องมารยาทในการเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เหมาะสมของสตรีและบุรุษ นางรีบตรวจให้ซูเช่อทันที โชคดีที่เขาเป็นลมสลบไปเพียงเพราะได้รับผลกระทบทางความรู้สึกเท่านั้น
ยามที่หยางซื่อและหลิงต้าจื้อมาถึงหลังจากที่ได้ข่าว หลิงมู่เอ๋อร์ก็เพิ่งจะป้อนยาไล่ลมและความเย็นให้เขาเสร็จ
“เสื้อผ้าเปียกชื้นจนแทบบิดน้ำออกมาได้ โรคร้ายแรงถึงเพียงใด ถึงขนาดที่ไม่สามารถผละไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนได้ ตรงนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้ากับพ่อเจ้า มู่เอ๋อร์ เจ้ารีบไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
หยางซื่อเจ็บปวดใจแทนบุตรสาว รีบผลักให้นางออกไป
หลิงมู่เอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะกำชับสองสามประโยค “รบกวนท่านพ่อเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดให้เขา แล้วหาสาวใช้สองสามคนมาเฝ้าที่นี่ไว้ ใจของจวิ้นอ๋องน้อยทั้งเศร้าทั้งหดหู่ เกรงว่าไข้เขาจะขึ้นคืนนี้เจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของนางเป็นห่วงซูเช่อมากถึงเพียงนี้ หยางซื่อก็รีบดึงนางไปด้านข้าง “มู่เอ๋อร์ ตกลงแล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เมื่อไม่กี่วันก่อนเจ้าเพิ่งสัญญากับแม่ว่าจะไม่ไปมาหาสู่กับจวิ้นอ๋องน้อยแล้ว? อีกทั้งข้ายังได้ยินมาว่าเขา…”
“ไม่ผิด จวิ้นอ๋องน้อยน่าจะไม่ใช่จวิ้นอ๋องน้อยอีกต่อไป แต่ว่าท่านแม่ ไม่ว่าเขาจะอยู่ในฐานะใด เขาคือสหายของข้า และข้าจะปล่อยให้เขาตายโดยไม่ช่วยไม่ได้”
หยางตบมือของนางเบาๆ “เจ้าเด็กคนนี้ คิดว่าแม่เป็นคนเช่นไรไปแล้ว? เขามีฐานะอะไร ล้วนไม่ใช่เรื่องของพวกเรา ข้าแค่อยากจะเตือนเจ้าว่า ช่วงนี้ความสัมพันธ์ของเจ้ากับจวิ้นอ๋องน้อยใกล้ชิดกันยิ่งนัก อย่าลืมว่าหากเฉินรู้จะต้องหึงมากเป็นแน่”
นางย่อมรู้ว่าท่านแม่มิใช่คนขี้ประจบสอพลอแบบนั้น หลิงมู่เอ๋อร์แลบลิ้นออกมาอย่างละอายใจ “วางใจเถิดท่านแม่ ข้ารู้จักการยับยั้งชั่งใจ”
เมื่อหันศีรษะกลับไปมองซูเช่อซึ่งยังนอนหน้าซีดอยู่บนเตียง นางส่ายหัวอย่างทำอะไรไม่ได้ “จู่ๆ ก็ต้องเผชิญกับเรื่องที่ใหญ่โตเช่นนี้ เขาผู้เคยโอหังเย่อหยิ่งล้วนรับไม่ไหว อันที่จริงแล้วเขาเองก็น่าสงสารยิ่งนัก”
“ทำไมหรือ มู่เอ๋อร์เจ็บปวดหัวใจหรือ?”
หยางซื่อถามลองเชิง “หากเจ้าเจ็บปวดหัวใจจริงๆ ข้าคิดว่าจวิ้นอ๋องน้อยคนนี้ก็ไม่เลวนัก เจ้ามิได้บอกว่าไม่ชอบสถานที่เช่นวังหลวงหรือ ยามนี้ดีนัก เขามิได้เป็นจวิ้นอ๋องแล้ว พวกเจ้า…”
“ท่านแม่พูดอะไรของท่านเล่าเจ้าคะ ในใจของมู่เอ๋อร์มีเพียงพี่ใหญ่เท่านั้น!”
นางรีบพุ่งออกจากห้องไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องลมและความหนาวเย็น หลิงมู่เอ๋อร์เข้าไปในมิติเทพเพื่อดื่มน้ำแร่จิตวิญญาณ ยามที่นางออกมาก็เป็นเวลาที่ดึกดื่นแล้ว
ตามที่คาดไว้ ซูเช่อมีไข้
เดิมทีเขาควรจะตื่นขึ้นมาไม่นานหลังจากที่เขาเป็นลมและต้องฝน แต่ซูเช่อกลับไม่มีทีท่าว่าจะตื่นแต่อย่างใด หลิงมู่เอ๋อร์มีลางสังหรณ์ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดังนั้นนางจึงรีบฉีดยาให้เขา ช่วยลดความร้อนในกายให้เขาก่อน
หลังจากวุ่นวายจนถึงเช้าของวันรุ่งขึ้น ร่างกายของซูเช่อนับว่าไม่ร้อนเท่าไหร่แล้ว หญิงสาวรีบนำน้ำพุจิตวิญญาณออกมาจากมิติเทพและป้อนให้กับเขา
หากแต่ตัวคนไม่ยินยอมที่จะตื่น ไม่ว่าคนอื่นจะพยายามมากเพียงไร ย่อมไร้ประโยชน์ เวลาผ่านไปเกือบสองวันสองคืน ซูเช่อก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมา
หลิงมู่เอ๋อร์ที่กังวลในตอนแรกรู้สึกหวาดกลัวเข้าแล้ว แม้ว่าซูเช่อจะไม่ใช่จวิ้นอ๋องน้อยอีกต่อไป แต่เขาก็ยังมีลมหายใจอยู่ หากว่าเขาเป็นอะไรขึ้นมาในจวนสกุลหลิงละก็…?
ยามแรกนางยืนข้างหน้าต่างมองซูเช่อด้วยความรู้สึกหนักหน่วง บางคราก็เอ่ยกับเขาเกี่ยวกับอดีตระหว่างพวกเขาทั้งสอง บางทีก็เป็นคำพูดปลอบโยนเขา และนำทางเขา
เกือบรุ่งสางของวันที่ห้า ซูเช่อก็ตื่นขึ้นมา
เขาจ้องมองไปที่หลังคา ก่อนจะมองไปรอบๆ ดวงตาที่แต่ก่อนชั่วร้ายและโอหัง ยามนี้ใสแจ๋วหาใดเปรียบ
เขาหันศีรษะไป ก่อนจะเห็นสตรีนางหนึ่งนั่งอยู่บนขอบเตียงเบิกตากว้างมองมาที่เขาอย่างสงสัย เขาถามออกไปด้วยความฉงนว่า “ไม่ทราบว่าแม่นางคือ?”
ไม่รอให้หลิงมู่เอ๋อร์ได้โต้ตอบ ซางจือและเจี้ยงเซียงที่อยู่ข้างหลังถูกทำให้ตกใจกลัวจนแย่แล้ว “จวิ้น… จวิ้นอ๋องน้อย เหตุใดถึงจำอะไรไม่ได้เลยเจ้าคะ?”
หลิงมู่เอ๋อรีบคว้าแขนของเขามาเพื่อจับชีพจร อีกทั้งตรวจรูม่านตาเขาอย่างละเอียด ทว่าสิ่งที่นางได้รับกลับมาคือเสียงที่ไม่คุ้นเคยอย่างยิ่งของซูเช่อ “ไม่ทราบว่าที่นี่คือที่ไหน แล้วแม่นางทั้งสามเป็นผู้ใด? และข้า มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
น้ำเสียงไม่คุ้นหู ดวงตาที่ใสแจ๋ว อีกทั้งแววตาที่อยากรู้อยากเห็นยามที่มองไปรอบๆ
ซางจืออ้าปากกว้างด้วยความตื่นตกใจ “สวรรค์ แม่นาง พวกเราควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ มิใช่ว่าพวกเราเจอปัญหายุ่งยากเข้าแล้วหรือเจ้าคะ?”
เจี้ยงเซียงเองก็กอดแขนของหลิงมู่เอ๋อร์แน่นไม่ปล่อย “จวิ้นอ๋องน้อยที่ฉลาดเฉลียว หยิ่งยโสโอหังจะสูญเสียความทรงจำไปได้อย่างไร? หรือว่าวันนั้นพวกเรามาช้าไป เขาถูกฟ้าผ่าไปแล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์ที่คราแรกยังคงประหม่า ไม่สามารถกลั้นหัวเราะเอาไว้ได้ นางยิ้มและผลักทั้งสองคนออกไปที่ประตู “พวกเจ้าออกไปทำอาหารเบาๆ มาก่อน เขาไม่ได้กินอะไรมาห้าวันห้าคืน ท้องของเขาคงหิวแทบแย่แล้ว”
“แต่จวิ้นอ๋องน้อย…”
ซางจือและเจี้ยงเซียงยังคงเป็นกังวล
หลิงมู่เอ๋อร์มอบแววตาที่ทำให้พวกเขาวางใจ
หลังจากที่ทั้งสองคนจากไป นางก็เดินไปที่ข้างเตียงของซูเช่อ หญิงสาวมองชายผู้ไร้เดียงสาราวกับเด็ก “ท่านพูดจริงหรือ? ท่านไม่รู้จักข้าแล้วหรือ?”
ซูเช่อมองย้อนกลับมา สายตาของเขาสบประสานกับสายตาของหลิงมู่เอ๋อร์ จากนั้นเขาก็มองนางขึ้นลงอย่างละเอียด เขาส่ายหัว “แม่นางช่างงดงามเป็นเอกจนยากจะลืมเลือน ทว่ารู้จักกันจริงๆ หรือ?”
“รู้จักหรือไม่ย่อมไม่สำคัญ เช่นนั้นท่านรู้หรือไม่ว่าตนเองเป็นใคร?”
ซูเช่อชี้นิ้วไปที่หน้าตนเอง “ข้า?”
จากนั้นเขาก็ส่ายหัว “ไม่รู้”
รูปลักษณ์ที่ไร้เดียงสาและไม่เป็นพิษเป็นภัยนั้นดูเหมือนว่าเขาจะย้อนวันวานกลับไปสู่วัยเยาว์ที่แสนไร้เดียงสา