เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 7 ตอนที่ 193 หยุด
เล่มที่ 7 ตอนที่ 193 หยุด
ชายหนุ่มค่อยๆ ดันมือของหลิงมู่เอ๋อร์ที่ปิดตาของตนเองออก มุมปากของเขาแขวนไปด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย “มีกี่คนกันที่ปรารถนาจะดูแต่ไม่ได้ดู เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่ต้องการดูน่ะ?”
นางรู้ว่าในขณะนี้ซูเช่อไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะล้อเล่นกับตนเอง นั่นหมายความว่าเขาจงใจจะให้นางเห็นอะไรบางอย่าง
หลิงมู่เอ๋อร์ค่อยๆ ลืมตาขึ้น นางเห็นไฝรูปวงรี ในใจพลันรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นทันที
“ท่าน…”
“ไม่ผิด สตรีคนนั้น ท่านป้าโม่ที่สกปรกไปทั้งร่าง ผมยุ่งเป็นกระเซิง หน้าตาก็สกปรกมอมแมม ร่างกายอ่อนแอคนนั้น คือแม่แท้ๆ ของข้า”
“ซูเช่อ…”
“ไม่ต้องปลอบข้า” เมื่อรู้ว่านางกำลังจะพูดอะไร ซูเช่อก็ยกมือส่งสัญญาณให้นางปิดปากเสีย
ซูเช่อยืนพิงรถ สูดหายใจเข้าลึกๆ ยามที่เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาคู่นั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความขมขื่น “เจ้าพูดถูก เรื่องเหล่านี้ข้าควรจะเป็นคนไกล่เกลี่ยด้วยตัวเอง เจ้าวางใจเถิด จวิ้นอ๋องเช่นข้า… เฮอะ ยามนี้มิอาจใช้คำเรียกขานแทนตนเช่นนี้ได้แล้ว ข้ายังมิได้ไร้ความกล้าดั่งคนที่ขี้ขลาดตาขาวเช่นนั้น ข้าจะไม่ปลงตก คิดมากเพียงเพราะเรื่องแค่นี้แน่”
ซูเช่อหมุนกายกลับมาเบาๆ เขาขึ้นไปนั่งอยู่บนเก้าอี้รถม้าแล้ว แต่ยังคงเอื้อมมือมาหานาง “ยามนี้ดึกมากแล้ว ข้าจะไปส่งเจ้ากลับ”
หลิงมู่เอ๋อร์ยังคงคิดว่าจะปลอบใจเขาเช่นไร แต่ในสายตาของซูเช่อ เขาคิดว่านางต้องการขีดเส้นความสัมพันธ์กับตนเอง ดังนั้นจึงปฏิเสธมือที่ยื่นให้ของเขา
เขาเหยียดยิ้มเย็น ก่อนจะชักมือออกด้วยความผิดหวัง “ไม่จำเป็นต้องคิดว่าจะหลบหน้าข้าอย่างไร วันหน้าข้าคงไม่มีความสามารถที่จะช่วยเจ้าได้อีก และคงจะไม่มีหน้าจะไปป้วนเปี้ยนรอบๆ ตัวเจ้าได้อีกแล้ว”
ราวกับตกจากสวรรค์ลงสู่นรก ความสูญเสียผิดหวังบนใบหน้าของซูเช่อช่างพาให้หัวใจคนมองเจ็บปวดยิ่งนัก
หลิงมู่เอ๋อร์เป็นคนเริ่มคว้าจับข้อมือของเขาก่อน นางยืมกำลังของเขา ก้าวเข้าไปในรถม้า และหลังจากที่สั่งให้จื่อถงออกรถ นางก็ดึงซูเช่อเข้าไปในรถม้า
“คนที่ข้ารู้จักมีนามว่าซูเช่อ สำหรับข้าแล้วเขาจะเป็นจวิ้นอ๋องน้อยหรือไม่ย่อมไม่สำคัญ ข้ารู้แค่ว่าเขาช่างโอหังและถือดียิ่งนัก ดังนั้นท่านต้องการจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ข้าย่อมไม่มีสิทธิ์เข้าไปก้าวก่าย แต่ว่าข้าคิดว่าท่านน่าจะรู้จักคนคนนี้ดี”
นางส่งกระเป๋าเงินให้เขา ทันทีที่เห็นมัน ซูเช่อพลันตกตะลึงอึ้งค้างทันที
“ไปเอามาจากที่ใด?”
เขารับมันมาดูอย่างละเอียด หลังจากที่ได้ฟังหลิงมู่เอ๋อร์อธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นกับกระเป๋าเงินนี้ คิ้วของเขาก็ขมวดแน่น “เจ้าบอกว่ามีคนมาตามหาท่าน… ท่านป้าโม่เมื่อสองสามวันก่อนหรือ”
หลังจากที่รู้ว่านางเป็นมารดาที่แท้จริงของตน ยามที่ต้องเรียกขานนางด้วยคำเหล่านี้ก็รู้สึกเปิดปากไม่ออกเท่าใดนัก
ใบหน้าของซูเช่อปรากฏความลำบากใจขึ้น
ในความคิดของหลิงมู่เอ๋อร์ สุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวนี้ควรจะมีนิสัยชั่วร้ายและเผด็จการตลอดไป ทว่าจู่ๆ ก็กลายเป็นคนเอียงอายเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกไม่อาจสงบใจได้
“ไม่ผิด ชายผู้นั้นแสร้งหลงทางและมาที่บ้านท่านป้าโม่เพื่อขอน้ำ และถามเรื่องราวในอดีตมากมาย ก่อนจากไป เขาทิ้งกระเป๋าเงินนี้ไว้เพื่อตอบแทนนาง แม้ว่าข้าจะเป็นประชาชนคนธรรมดาก็ตาม แต่ข้าบอกได้เลยว่ากระเป๋าใบนี้ไม่ใช่ของชาวบ้านธรรมดาแน่ ไม่รู้ว่าท่านพอจะรู้จักหรือไม่?”
ซูเช่อมองดูกระเป๋าใบนั้นอย่างละเอียด ก่อนจะใช้แรงฉีกกระเป๋าออก หลิงมู่เอ๋ร์อเกือบจะร้องอุทานออกมาว่า อย่าทำให้เสียของสิ แต่ก็เห็นว่าคำว่า ‘วัง’ ปรากฏขึ้นมาบนกระเป๋าเสียก่อน
นางตกตะลึงอึ้งค้าง “นี่คือสิ่งของจากวังหลวงหรือ?”
“ข้าได้แต่คาดเดาว่าใครเป็นศัตรูของจวนจวิ้นอ๋อง ข้าทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อค้นหาความจริงยี่สิบปีที่แล้ว แท้จริงแล้วข้าก็สงสัยผิดจุดมาตลอด คนที่นางต้องการเป็นศัตรูไม่ใช่จวนจวิ้นอ๋อง ทว่าแท้จริงแล้วคือตัวข้าเองต่างหาก”
หลิงมู่เอ๋อร์ถามลองเชิง “เป็นฮองเฮาหรือ?”
“ไม่ผิด”
เมื่อได้ยินนามนี้อีกครั้ง หลิงมู่เอ๋อร์พลันตีอกชกหัวด้วยความโกรธ “ล้วนเป็นเพราะข้าไม่ดีเอง ฮองเฮาทรงหมายหัวท่านก็เพราะข้า หลายครามานี้ที่นางก่อเรื่องยุ่งยากให้ข้า ล้วนเป็นท่านที่ปกป้องข้า ข้าขอโทษ ข้าเป็นคนทำร้ายท่าน”
ทว่าซูเช่อกลับไม่คิดเช่นนั้น “ไม่เกี่ยวกับเรื่องของเจ้า วันนี้หากไม่ได้เห็นกระเป๋าใบนี้ ข้าก็คงคิดไม่ออกเช่นกัน เรื่องในวันนี้เตือนข้าแล้ว ท่านราชครูกับฮองเฮามีความสัมพันธ์อันใกล้ชิด ในเมื่อข้าเป็นคนสั่งให้คนทรมานเขาจนยอมสารภาพผิด เกรงว่าคงทำให้แผนของฮองเฮาล่าช้า และนั่นก็เป็นเหตุให้นางลงมือโจมตีข้า”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเรื่องของโจวฉี่เยี่ยนจะมีคนเบื้องหลังเขาพัวพันอยู่มากขนาดนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ล้วนเป็นเพราะนางเองที่ทำให้ฮองเฮากลายเป็นศัตรูของเขา
“ถึงข้าจะไม่รู้ว่าฮองเฮาทรงต้องการจะทำอะไร แต่ในเมื่อท่านตกเป็นเป้าหมายของนางแล้ว เช่นนั้นท่านจะทำอย่างไรต่อ? ท่าน…”
“หากว่าเจ้าคิดหาหนทางอย่างเต็มที่เพื่อปลอบโยนข้า เพียงเพราะว่าเจ้ารู้สึกสงสารข้า นั่นย่อมไม่จำเป็น แม้ว่าจะไม่มีเรื่องของโจวฉี่เยี่ยนและจวนราชครู การที่พระองค์ทรงล่วงรู้ความลับอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ ย่อมไม่มีทางปิดซ่อนเอาไว้แน่ ต่อจากนี้ไป ข้าจะไม่ใช่จวิ้นอ๋องน้อยอีกต่อไป ข้าปกป้องเจ้าไม่ได้ คราวหน้าเจ้าจงระวังตัวด้วย”
หลังจากเอ่ยจบ ซูเช่อก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ไม่ว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะพูดอะไร เขาล้วนหลับตาลงพัก ราวกับว่าเขางีบหลับไปแล้วก็ไม่ปาน
ช่วงเวลาหนึ่งชั่วยามยาวนานราวกับหนึ่งศตวรรษ จื่อถงหยุดรถม้าที่จวนตระกูลหลิง หลิงมู่เอ๋อร์ลงจากรถม้าด้วยท่าทางมิอาจวางใจ
“นายท่าน ท่านจะกลับจวนหรือไม่ขอรับ?” จื่อถงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“…ไปเมืองเฟิ่ง” ผ่านไปเนิ่นนาน ซูเช่อก็โยนคำพูดไม่กี่คำออกมา
รถม้าเดินทางกลับไปยังทางเดิม เวลานี้ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว
ผ่านไปเกือบครึ่งทาง ซูเช่อลืมตาขึ้นมา ก่อนจะเห็นกล่องยาของหลิงมู่เอ๋อร์ที่ถูกวางทิ้งเอาไว้บนรถ เดิมทีเขาต้องการนำมันกลับคืนไปให้นาง แต่หลังจากคิดมาคิดไป เขาก็ยอมแพ้
ข้างหูของเขานึกถึงคำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์ในวันนั้นที่ต้องการจะถอยห่างจากเขา ชายหนุ่มพลันถอนหายใจด้วยความเหยียดหยัน
สีของท้องฟ้ามืดสนิท รถม้าทะยานเข้าใกล้กับที่พักของท่านป้าโม่ ซูเช่อหยุดรถม้าจากระยะไกล เดิมทีเขาแค่จะยืนอยู่บนยอดเขาและมองบ้านหลังน้อยจากระยะไกล ทว่าเขากลับสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติกับบ้านที่ทรุดโทรมหลังนั้น
“จื่อถง หยิบอาวุธขึ้นแล้วตามข้ามา”
ทั้งสองรีบวิ่งไปที่บ้านไม้หลังนั้นอย่างรวดเร็ว ทันทีที่พวกเขาเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องที่คุ้นเคย จากนั้นเงาร่างหลายเงาก็รีบวิ่งออกจากบ้านไป
“พวกเจ้าเป็นใครกัน?” จื่อถงตะโกน เขาดึงกระบี่ออกมาจากฝักก่อนจะพุ่งตรงไปข้างหน้า ซูเช่อตื่นตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบพุ่งเข้าไปในบ้านทันที
ชายในชุดดำยืนอยู่ข้างเตียงป้าโม่ กระบี่ในมือยังมีเลือดสดๆ ไหลซุ่ม ขณะที่ป้าโม่นอนอยู่บนเตียงสกปรกและมีเลือดสดๆ ทะลักออกจากหน้าอก ผิวของนางขาวซีด กำลังตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต
“ข้าจะฆ่าเจ้า!”
โทสะแล่นริ้วไปทั่วร่าง ซูเช่อพุ่งเข้าข้างหน้าด้วยมือเปล่า ในไม่ช้าก็ต่อสู้ปลุกปล้ำอยู่กับชายในชุดดำ ความว่องไวของเขารวดเร็วนัก การจู่โจมเองก็รวดเร็วและแม่นยำเช่นกัน ใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถปราบชายชุดดำลงได้สำเร็จ
เขาคุกเข่าอยู่ข้างเตียง มองมั่วเหนี่ยงที่อ่อนแออย่างกระวนกระวาย สองมือสองเท้าทำอะไรไม่ถูก “รอ รอข้าประเดี๋ยว”
หัวใจดูเหมือนจะกระโดดออกมาจากลำคอ ซูเช่อรู้สึกว่าเขาไม่เคยประหม่าขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
ชายหนุ่มรีบพุ่งออกไปจากบ้านที่เก่าแก่ทรุดโทรมหลังนั้น โดยไม่สนใจว่าจื่อถงกำลังสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงในการจัดการกับชายในชุดดำข้างนอก เขารีบกลับไปที่รถม้าเพื่อไปเอากล่องยาที่หลิงมู่เอ๋อร์ทิ้งเอาไว้
ระหว่างทางที่กลับไป เขาเฝ้าภาวนาในใจว่าขอให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ว่าอย่างไรก็ขออย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นเด็ดขาด
“นายท่าน ระวัง”
เป็นเพราะกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของท่านป้าโม่มากเกินไป ซูเช่อจึงไม่ได้สังเกตเห็นชายในชุดดำที่จู่ๆ ก็วิ่งออกมาจากมุมห้อง ทันทีที่จื่อถงเห็นฉากนี้ เขาก็รีบพุ่งตัวเข้าไปเพื่อรับดาบแทนทันที
ความกังวลและอาการที่ตกอยู่ในห้วงความคิดของซูเช่อเมื่อครู่นี้ถูกดึงสติกลับมา ดวงตาที่เป็นสีแดงของเขาเปี่ยมไปด้วยความกระหายเลือด เขาคว้าจับชายในชุดดำด้วยมือเปล่า เพียงหมุนรอบเดียวก็เปลี่ยนความได้เปรียบเป็นฝ่ายรุก
“เป็นอย่างไรบ้าง?”
ในขณะที่กำลังต่อสู้กับชายในชุดดำ เขาโยนกล่องยาไปทางจื่อถงที่ได้รับบาดเจ็บ
แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บจากดาบ แต่ก็ไม่ได้แทงเข้าจุดสำคัญ จื่อถงพยายามพยุงตนเองขึ้นมา “นายท่าน ข้าน้อยไม่ได้เป็นกระไรขอรับ”
“ไปทำแผลให้คนด้านใน เร็วเข้า!”
เขาปล่อยให้ท่านป้าโม่ตายไม่ได้ แม้ว่าเขาจะยังไม่พร้อมที่จะรู้จักนางและเรียกนางว่าแม่ก็ตาม
ทว่าเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ชายหนุ่มตาแดงก่ำ ถือดาบของจื่อถง เจอเทพสังหารเทพ เจอพระสังหารพระ ราวกับจะสังหารให้สิ้นด้วยคมดาบ
“บอกมาเดี๋ยวนี้ ใครเป็นคนส่งพวกเจ้ามา!”
ปลายดาบจ่อไปยังคอของชายชุดดำคนสุดท้าย ดวงตาของซูเช่อเย็นชา ในอกพลุ่งพล่านไปด้วยโทสะ
“ไม่มีผู้ใดส่งข้ามา”
ชายในชุดดำหันศีรษะหนีไม่ยอมตอบด้วยท่าทางหัวแข็ง ดูเหมือนว่ายังคิดที่จะวางแผนหาทางหลบหนี
ซูเช่อเห็นเช่นนี้ก็ขยับข้อมือของเขา ปลายดาบที่เดิมแตะเข้าที่คอของเขาถูกย้ายไปที่ต้นขาของชายในชุดดำโดยไม่ได้สนใจไยดี ก่อนที่จะแทงลงไปอย่างเหี้ยมโหดทันที
“อ๊าก!”
ชายในชุดดำกรีดร้องครั้งแล้วครั้งเล่า เขาหอบหายใจอย่างหนัก
ซูเช่อเลื่อนดาบเปื้อนเลือดไปพาดที่คอของเขาอีกครั้ง “หากยังไม่พูดอะไรอีก ข้าจะแทงขาอีกข้างของเจ้า ตัดเส้นเอ็นของเจ้า และโยนเจ้าเข้าไปในภูเขาลึกเพื่อให้เป็นอาหารของหมาป่า”
ถูกกลิ่นอายที่ชั่วร้ายนี้ปราบ ชายในชุดดำตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เขาร้องขอความเมตตาทันที “ข้าพูดแล้ว ข้าพูด จวิ้นอ๋องน้อย จวิ้นอ๋องน้อยโปรดไว้ชีวิตของด้วย”
ชายในชุดดำยังไม่ได้เอ่ยชื่อผู้ที่ส่งมาสังหารแม่ของเขา ทว่าเสียงที่เอ่ยเรียกว่าจวิ้นอ๋องน้อยนั้นช่างคุ้นเคยยิ่งนัก หัวใจของซูเช่อจมดิ่งลงทันที
เขาใช้ปลายดาบยกผ้าคลุมของชายในชุดดำขึ้น ก่อนที่จะเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยเป็นอย่างยิ่งปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา
‘เคร้ง เคร้ง’ กระบี่ในมือร่วงลงสู่พื้นทันที ซูเช่อเซถอยหลังไปสองสามก้าว
ไม่ผิด คนที่กำลังนอนอยู่บนพื้นต่อสู้กับเขาในขณะนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้คุ้มกันข้างกายของท่านแม่ผู้เป็นพระชายาจวิ้นอ๋อง
ยามนั้นนางถูกขับไล่ออกจากเมืองหลวงไปแล้ว ตอนนี้นางก็กำลังจะถูกกำจัดอีก?
ในยามที่ซูเช่อกำลังเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง เสียงร้องอย่างสิ้นหวังของจื่อถงก็ดังออกมาจากในห้อง “นายท่าน…”
เมื่อตระหนักได้ว่ามั่วเหนี่ยงอาจตกอยู่ในอันตราย ซูเช่อรีบเข้าไปในห้องทันที พอดีกับที่เห็นป้าโม่กระอักเลือดออกมาเต็มปาก
“นายท่าน นางเลือดไหลไม่หยุด ข้าน้อยควรทำเช่นไรขอรับ?”
มือของจื่อถงเต็มไปด้วยเลือด เขามองไปที่นายท่านอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร
ซูเช่อจ้องมองสตรีที่อยู่บนเตียงอย่างละเอียด แม้ว่าหน้าอกของนางจะถูกใส่ยาแล้ว แต่เลือดก็ยังทะลักออกมาราวกับน้ำพุ ใบหน้าของป้าโม่ยิ่งซีดลงซีดลงเรื่อยๆ แล้ว
“ไม่นะ ไม่!”
ซูเช่อเงยหน้าขึ้นไปบนฟ้าก่อนจะกรีดร้องออกมา เขารีบคุกเข่าลงบนพื้นอย่างแรง ก่อนจะคว้าแขนป้าโม่ไว้แน่น “ท่านอดทนเอาไว้ก่อน ข้าจะพาท่านไปหาหมอ ท่านต้องอดทนไว้”
มั่วเหนี่ยงใช้ชีวิตไปครึ่งชีวิตแล้ว เดิมทีตกอยู่ในอาการสาหัส แต่เมื่อนางได้ยินเสียงที่คุ้นเคยและเสียงกรีดร้องที่เศร้าสลดนั้น นางก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามองอีกครั้ง
น่าแปลกนัก เหตุใดดวงตาที่มืดบอดไปครึ่งหนึ่งจู่ๆ ก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนกัน?
บุรุษรูปงามที่ยืนอยู่ตรงหน้านาง ทว่ากลับร้องไห้เหมือนเด็กๆ เหตุใดถึงได้ดูคุ้นเคยนัก?
มั่วเหนี่ยงยื่นมือออกไปอย่างยากลำบาก นางหอบหายใจหนัก “คุ้น ช่างคุ้น… ช่างคุ้นเคยเหลือเกิน ท่าทางร้องไห้เหมือนตอนเด็กๆ มิผิดเพี้ยน เป็นลูกชายของข้าหรือ? ใช่หรือ?”
ทุกครั้งที่นางพูด ดูเหมือนว่านางจะหยุดหายใจได้ทุกนาที หลังจากเอ่ยจบ มั่วเหนี่ยงยังไม่ทันสัมผัสใบหน้าของซูเช่อ แขนของนางก็ตกลงอย่างหนัก
ซูเช่อเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกหวาดกลัวจับใจ ไม่ว่ามือของเขาจะเปื้อนเลือดแค่ไหน เขาก็รีบคว้ามือของนางให้มาสัมผัสใบหน้าของเขาทันที “เป็นข้า ข้าคือเช่อเอ๋อร์ ท่านลืมตาแล้วมองดีๆ สิ เป็นเช่อเอ๋อร์เองขอรับ!”
“เช่อเอ๋อร์?” มั่วเหนี่ยงมึนงง แต่ไม่นานก็นึกนามนั้นขึ้นมาได้ นางเม้มปากอย่างยากลำบาก “ใช่… แล้ว อาซิ่วบอกว่าเขามีนามว่าเช่อเอ๋อร์ ข้า…ข้าได้พบเจ้าแล้วจริงๆ ใช่หรือไม่? ช่างน่าเสียดายนัก คราแรกที่ได้พบ กลับ… กลับเป็นคราสุดท้าย แม่ต้องขอโทษเจ้า ลูก… ลูกของ… แม่…”
ดวงตาหลับตาลง มือที่จับก็ไร้เรี่ยวแรงหล่นลงเช่นกัน สตรีที่เมื่อครู่ยังมีประกายในดวงตายามนี้จู่ๆ ก็ไร้ซึ่งพลังชีวิต
ซูเช่อจ้องมองหญิงสาวที่โชกไปด้วยเลือดบนเตียงอย่างตกตะลึงอึ้งค้าง ราวกับว่าถูกกระชากพรากลมหายใจไป ชายหนุ่มพลันร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง “แม่!”