เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 7 ตอนที่ 189 ประวัติ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 7 ตอนที่ 189 ประวัติ
เล่มที่ 7 ตอนที่ 189 ประวัติ
เมื่อถูกเอ่ยถึงบุตรชาย จวิ้นอ๋องพลันหยุดชะงัก เขาทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ สองมือกำแน่น กดข่มโทสะในใจเอาไว้ ท่าทางคล้ายอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าสุดท้ายก็กลั้นไว้
“ซูเจิ้งซิ่ว เจ้าอยากคุยกับข้าดีๆ ใช่หรือไม่ ได้สิ เช่นนั้นเรามาพูดสิ่งที่อยู่ถูกเก็บกดเอาไว้ในใจมาหลายปีให้ชัดเจน”
องค์หญิงใหญ่นั่งลงตรงข้ามเขา เมื่อเห็นท่าทางขวัญหนีดีฝ่อของเขา หัวใจของนางรู้สึกราวกับมีมีดกรีดเถือ ทว่านางก็ยังปรารถนาจะกุมอำนาจเหนือกว่าอยู่ดี
“ในปีนั้นแน่นอนว่าเป็นข้าที่พึงใจเจ้า ถึงได้ขอพระราชโองการอภิเษกจากฮ่องเต้ แต่ว่าตอนนั้นเจ้าไม่ได้บอกข้าว่าเจ้ามีคนรักอยู่แล้วนี่นา และเจ้าก็ไม่ได้ปฏิเสธข้าหลังจากที่รู้ความในใจของข้าด้วย ดังนั้นแล้วเจ้าช่วยบอกข้าที ทั้งหมดนี่เป็นความผิดของข้าหรือ?”
เมื่อเอ่ยถึงท่าทีที่ไร้ยางอายของเขาในตอนนั้น ซูเจิ้งซิ่วพลันเงยหน้าขึ้นทันที ยามที่เห็นท่าทางอวดดีและโอหังขององค์หญิงใหญ่ เขาพ่นเสียงหัวเราะเย็นชาออกมาหนึ่งเสียง ทำเพียงพยักหน้า ทว่าไม่เอ่ยสิ่งใด
“หลังจากนั้นแล้วอย่างไร? หลังจากนั้นแล้วเจ้าขอร้องกับข้าบอกว่าในใจลึกๆ ของเจ้ามีข้า ยามนั้นข้ายังเยาว์นัก ข้าที่ให้คำสัตย์ว่านอกจากเจ้าแล้ว ข้าจะไม่แต่งให้ผู้ใด ข้าบอกให้เจ้าแยกทางกับสตรีคนนั้น แล้วเจ้าก็เห็นด้วยใช่หรือไม่? ทว่าเจ้ากลับทรยศ ลอบสื่อสารกับผู้หญิงคนนั้นผ่านเนื้อเพลง อีกทั้งยังทำให้ท้องของนางมีเด็กขึ้นมาด้วย!”
อดีตที่น่าอัปยศนี้ทำให้จวิ้นอ๋องต้องขายหน้าอย่างต่อเนื่อง แม้แต่องค์หญิงใหญ่เองก็ยังรู้สึกรังเกียจทุกคราที่นางพูดถึงเรื่องนี้
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ แม้ว่านางจะพยายามอดทนอดกลั้นเอาไว้ ทว่าในดวงตาก็ยังเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำใสแวววาว
เมื่อเห็นท่าทางไม่ได้รับความเป็นธรรมของนาง จวิ้นอ๋องพลันรู้สึกละอายใจอย่างสุดซึ้ง เขาค่อยๆ เข้าไปใกล้นาง “เป็นข้าที่ต้องขอโทษเจ้า”
“แน่นอนว่าเจ้าต้องขอโทษข้า หากไม่ใช่เพราะข้า เจ้าจะไต่เต้าได้ถึงตำแหน่งจวิ้นอ๋องได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะข้า เจ้าคงถูกฮ่องเต้ตัดหัวไปนานแล้ว!”
การหลอกลวงองค์หญิง และทรยศต่อองค์หญิงนับเป็นอาชญากรรมร้ายแรงต้องโทษประหารชีวิตตัดศีรษะ ในเวลานั้น ขอเพียงแค่นางโหดเหี้ยมอีกสักหน่อย ทูลรายงานต่อฮ่องเต้ ทั้งซูเจิ้งซิ่วและสตรีผู้นั้นจะถูกตัดศีรษะเสียบประจานต่อสาธารณะ ส่วนเด็กก็จะถูกรัดคอตายในเปลไกว
ทว่านางทำไม่ได้ นางรักซูเจิ้งซิ่ว รักบุรุษที่อยู่ตรงหน้านาง ผู้เต็มไปด้วยความสามารถไม่เป็นสองรองใคร บุรุษที่รักถนอมนาง นางสาบานว่านอกจากเขาแล้วนางจะไม่แต่งงานกับผู้ใด ซูเจิ้งซิ่วขอโอกาสจากนางอีกครั้ง และนางก็ให้มันกับเขา
พวกเขาตกลงที่จะเก็บเด็กเอาไว้และสังหารมารดาของเขาทิ้ง ซูเจิ้งซิ่วเองก็เห็นด้วย นางหานักฆ่าในวันรุ่งขึ้น หญิงอ่อนแอผู้ไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะหักคอไก่ ในไม่ช้าก็ถูกตีจนฟกช้ำไปทั้งตัว เหลือเพียงลมหายใจสุดท้าย
นางสั่งให้โยนสตรีนางนั้นลงในหลุมฝังศพ เป็นหรือตายก็ล้วนแล้วแต่ชะตาฟ้าลิขิต ทว่ายามที่นางคิดขึ้นได้ว่าจะขอให้ใครสักคนช่วยตรวจสอบในตอนเย็น ร่างของผู้หญิงคนนั้นก็หายไปแล้ว
นางพลันระเบิดโทสะครั้งใหญ่ เป็นซูเจิ้งซิ่วเองที่อธิบายว่าบางทีร่างของนางอาจจะถูกหมาป่าหิวโหยคาบไป
ในยามนั้นสายตาของเขาหลบเลี่ยงไม่กล้ามองนาง นางจึงรู้สึกว่าเขาโกหก เพื่อที่จะได้อยู่กับเขาไปจนแก่เฒ่า และเพื่อรักษาชื่อเสียงขององค์หญิงใหญ่ของตน นางจึงเลือกที่จะอดทนไว้ ไม่ไล่บี้ซักถาม
เมื่อคิดถึงตรงนี้ องค์หญิงใหญ่พลันเหยียดยิ้มเย้ยหยัน
“ข้ามันโง่เง่าเองจริงๆ เพราะว่าในใจมีเจ้า ไม่ว่าเรื่องอันใดข้าล้วนยอมฟังเจ้าทั้งสิ้น ถึงจะสงสัยว่าเจ้าปล่อยนางไปแต่ก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้า อีกทั้งยังกอดเด็กที่เจ้าพากลับมาด้วย!”
องค์หญิงใหญ่สูดลมหายใจเข้าลึก มุมปากของนางแขวนไปด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันที่เจ็บปวดเหลือคณา
ในเวลานั้น ซูเจิ้งซิ่วกลับมาและบอกว่ามั่วเหนี่ยงตายแล้ว ทว่าหลังจากที่เด็กเกิดออกมา นางก็ยิ่งกลายเป็นบ้าแล้ว
ทว่านางคือองค์หญิงใหญ่ นางจะอนุญาตให้ผู้หญิงแพศยาคลอดบุตรชายคนโตให้สามีได้อย่างไร?
“ซูเจิ้งซิ่ว เพื่อไม่ให้เชื้อสายของเจ้าต้องระหกระเหินเร่ร่อน เพื่อไม่ให้เขาต้องไร้ซึ่งความรักความอบอุ่นจากมารดาตั้งแต่เด็ก ข้าถึงกับต้องโกหกฮ่องเต้ ติดตามเจ้าออกจากเมืองหลวงและแสร้งทำเป็นตั้งท้องสิบเดือน เพื่อให้เช่อเอ๋อร์กลายเป็นลูกของข้าอย่างชอบธรรม แต่แล้วเจ้าเล่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเจ้าปฏิบัติต่อข้าอย่างไร?”
กำปั้นกระแทกโต๊ะด้วยความรุนแรง นางใช้แรงมากจนแขนชาจากแรงกระแทก
ในที่สุดน้ำตาสองสายก็ไหลลงมาอย่างมิอาจอดทนข่มกลั้นได้อีก การมองเห็นขององค์หญิงใหญ่พร่ามัวเพราะน้ำตา ทว่านางยังคงมองเห็นใบหน้าของซูเจิ้งซิ่วได้อย่างชัดเจน นั่นคือใบหน้าของบุรุษที่หล่อเหลาที่สุดในชีวิตของนางนี่นา แม้ว่าตาจะบอดก็สามารถวาดภาพบุรุษตรงหน้าออกมาอย่างได้ชัดเจน
“ขอเพียงแค่วันใดที่เจ้าอารมณ์ไม่ดี เจ้าจะแอบไปดูภาพวาดของนางในห้องตำรา เมื่อไหร่ก็ตามที่เจ้าเจอเรื่องน่าเศร้า เจ้าจะกลับไปดูลายมือและภาพวาดของนาง ทุกวันในวันเกิดและวันสำคัญของนาง เจ้าจะซ่อนตัวอยู่ในห้องตำราเสมอ ข้ามิได้คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้า ถึงยังไงนางก็ตายไปแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่ข้าต้องไปสนใจคนตาย แต่เจ้าเคยคิดถึงข้าบ้างหรือไม่? มีบ้างสักครั้งไหมที่เจ้ารู้สึกละอายแก่ใจยามที่หลบซ่อนตัวอยู่ในห้องตำรา? รู้สึกขอโทษข้าบ้างหรือไม่?”
องค์หญิงใหญ่ตบหน้าอกของตนเอง เสียงคำรามของนางดังเพียงใด เท่ากับความเจ็บปวดของนางในตอนนี้ที่มากมายเพียงนั้น
ซูเจิ้งซิ่วไม่เคยเห็นนางที่เจ็บปวดถึงเพียงนี้ แม้กระทั่งยามที่นางค้นพบว่าเขามีคนรักอยู่ข้างนอก นางก็ทำเพียงแค่เอะอะโวยวายด้วยความโกรธแล้วก็จบไป
แม้ว่าเขาจะเสแสร้งทำเป็นรักมาตลอดหลายปี ทว่าในใจของเขาก็ยังมีนางอยู่
เขาหยัดกายยืนขึ้น ไม่ว่านางจะผลักไสไล่ส่งเพียงใด เขาก็ยืนกรานที่จะโอบกอดนางไว้ในอ้อมแขน จวิ้นอ๋องเฒ่าอยู่ในช่วงวัยที่สง่างาม เขามีเสน่ห์ที่ชายหนุ่มไม่สามารถเทียบได้ น้ำเสียงทุ้มลึกของเขาแตกพร่า พยักหน้ายอมรับความผิดไม่หยุด “เป็นข้าที่ผิดเอง เป็นข้าที่ต้องขอโทษเจ้า เฉียนเฉียน ข้ายอมรับแล้วว่าข้าผิด”
“ยามนี้ยอมรับแล้วจะมีประโยชน์อะไร!”
ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจผลักออก องค์หญิงใหญ่ปล่อยให้เขากอดนางเอาไว้ ทว่านางกลับยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม
องค์หญิงใหญ่ผู้สูงส่งเย็นชา วันทั้งวันรู้จักเพียงการเที่ยวชมภูเขาดูทิวทัศน์ของแม่น้ำ นางผู้รักษารูปโฉมความงามเอาไว้เป็นนิจ ยามนี้กลับร้องไห้งอแงเหมือนเด็ก
เพราะว่าหัวใจของนางเจ็บปวดเหลือเกิน
หลายปีมานี้มิใช่ว่านางไม่เคยคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาในอดีต ทว่าทุกคราที่นางคิดถึง นางจะบังคับตัวเองให้ลืมมันไปเสีย นางจงใจกดข่มโทสะในใจ นางรู้สึกว่าตราบใดที่นางยังยืนอยู่เคียงข้างซูเจิ้งซิ่ว ย่อมมีสักวันที่เขาจะตกหลุมรักนาง และนางเองก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะเป็นมารดาที่ดี นางทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะเลี้ยงดูเช่อเอ๋อร์ให้ดี หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ปฏิบัติกับซูเช่อเหมือนเขาเป็นบุตรชายที่แท้จริงของนาง
ทว่าในที่สุดแผลเป็นที่ยังคงอยู่ก็ถูกกรีดเปิด บาดแผลที่เปื้อนเลือดไหลรินปรากฏอยู่ตรงหน้านี่เอง
มันเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดเสียยิ่งกว่าความตาย
“ให้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรมแล้ว ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ทำให้เจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมยิ่ง ข้าสัญญาว่าเจ้าจะไม่ได้เห็นคนผู้นั้นไม่ว่านางจะเป็นหรือตาย ดีหรือไม่?” ซูเจิ้งซิ่วกอบกุมใบหน้าของนาง หัวใจของเขารู้สึกเป็นทุกข์ยามมองไปที่นาง องค์หญิงใหญ่กำลังร้องไห้ แล้วหัวใจของเขาจะไม่เจ็บปวดได้อย่างไร?
หัวใจคนมิใช่ต้นไม้ใบหญ้าจะให้ไร้ความรู้สึกได้อย่างไร? เขายอมรับว่าในปีนั้นเขาพึงใจในตัวองค์หญิงใหญ่เพราะฐานะองค์หญิงใหญ่ของนาง แต่หลังจากอยู่ด้วยกันมาหลายปี เขาก็ตกหลุมรักสตรีผู้นี้มาเนิ่นนานแล้ว แต่สิ่งที่เขาไม่เคยหลีกเลี่ยงได้คือความวุ่นวาย เขารู้สึกละอายใจที่มีต่อมั่วเหนี่ยง
“คิดว่าข้าจะเชื่อคำพูดหลอกลวงของเจ้าอีกหรือ?”
ใจของคนเราเมื่อเจ็บปวดไปแล้ว จะรักษาซ่อมแซมอย่างไรก็ย่อมมีช่องว่าง
องค์หญิงใหญ่ผลักซูเจิ้งซิ่วออกไปทันที เห็นเพียงเขาที่หงายหลังล้มลงบนพื้น นางเหยียดมองจากมุมสูงชี้ไปที่ใบหน้าของเขา “เจ้าจงจำเอาไว้ ชีวิตนี้เจ้าไม่เพียงแต่เป็นหนี้ข้าเท่านั้น แต่เจ้ายังติดหนี้เช่อเอ๋อร์ด้วย!”
เมื่อคิดถึงท่าทีที่เจ็บปวดของเช่อเอ๋อร์ หลังจากที่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ องค์หญิงใหญ่ก็รู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจ
“ล้วนเป็นเพราะเจ้าคนเดียว หากยามนั้นเจ้าตัดสินใจสังหารสตรีนางนั้นเสีย วันนี้ก็คงไม่ถูกคนจับมาเป็นจุดอ่อนเพื่อข่มขู่! ไม่สำคัญว่าจวนจวิ้นอ๋องของพวกเราจะเสียหน้า แต่หลังจากนี้เจ้าจะให้เช่อเอ๋อร์ทำเช่นไร? เขาที่ภาคภูมิใจในตนเองเป็นอย่างยิ่ง กลับต้องแบกรับคำเยาะเย้ยถากถางจากผู้อื่น เจ้าคิดว่าเจ้ายังคู่ควรที่จะเป็นพ่อของเขาอีกหรือ?”
เพียงแค่คิดว่าจากนี้ไม่ว่าซูเช่อจะไปที่ใดก็ล้วนถูกผู้อื่นชี้หน้านินทา องค์หญิงใหญ่ก็จะรู้สึกเจ็บปวดจนแทบจะหายใจไม่ออกแล้ว
แน่นอนว่า ซูเช่อมิใช่บุตรชายของนาง แต่เป็นบุตรของสตรีที่สามีของนางรักในยามนั้น ทว่านับตั้งแต่วันที่ซูเจิ้งซิ่วอุ้มเขากลับมายังจวน องค์หญิงใหญ่ นางให้คำสาบาน นางจะไม่ทำสิ่งที่ต้องละอายใจกับเด็กคนนี้ นางสังหารมารดาของเขาอย่างโหดเหี้ยมไปแล้ว นางจึงยิ่งต้องเลี้ยงดูเขาให้ดี
ดังนั้น นางจึงแสร้งทำเป็นไปพักผ่อนที่ต่างเมืองเป็นเวลาสามปีถึงจะกลับมา การทำเช่นนี้คนอื่นก็จะไม่สงสัยว่าลูกของนางโตกว่าเด็กในวัยเดียวกันได้อย่างไร นางทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะเลี้ยงดูเช่อเอ๋อร์ให้ดี ขอเพียงแค่มันเป็นสิ่งที่เช่อเอ๋อร์ปรารถนา แม้ว่ามันจะเป็นดวงจันทร์บนท้องฟ้า นางก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหามันมามอบให้แก่เขา
นางขอโทษมารดาของเช่อเอ๋อร์ จึงอยากตอบแทนเขาด้วยความรักของมารดา แม้บางครั้ง นางจะรู้สึกใจสลายยามที่เห็นหน้าเด็กแล้วหวนนึกถึงสตรีคนนั้น แต่นางรู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์
แม้ว่าเจาหยางจะถือกำเนิดในอีกไม่กี่ปีต่อมา แต่นางก็ไม่เคยลดความรักที่มีต่อเช่อเอ๋อร์ลง นางคิดว่านี่คือชะตาชีวิตของนางในชาตินี้แล้ว ทว่าในเวลานี้ อดีตที่น่าอับอายกลับถูกขุดขึ้นมาอีกครั้ง
เช่อเอ๋อร์ของนาง ต่อไปนางจะเผชิญหน้ากับเขาอย่างไร?
“เจ้าวางใจ ใครคือผู้ที่ยุยงปลุกปั่นอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ ข้าจะค้นหามันให้เจอให้ได้ สำหรับเช่อเอ๋อร์ ข้าเชื่อว่า…”
เขายังพูดไม่ทันจบ เสียงเย็นเฉียบพลันดังแว่วมาจากนอกประตู
“เขาไม่คู่ควรอย่างแท้จริง”
จวิ้นอ๋องและองค์หญิงใหญ่หันกลับไปพร้อมกัน ก่อนจะเห็นซูเช่อที่ยืนอยู่หน้าประตูด้วยท่าทางราวกับปีศาจร้าย มือของเขากำหมัดแน่น ใบหน้าหล่อเหลามืดมนและลึกล้ำ
หลังสิ้นเสียง ซูเช่อก็หมุนกายหันหลังกลับ ก่อนจะก้าวยาวๆ เดินจากไปทันที ราวกับว่าเขาได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะตัดขาดกับจวนจวิ้นอ๋อง
“เช่อเอ๋อร์…” องค์หญิงใหญ่รีบร้อนไล่ตามไปในทันที นางไม่ทันระวังจนสะดุดล้มลงกับพื้น เป็นจวิ้นอ๋องที่รีบร้อนอุ้มนางขึ้นมา
“ซูเจิ้งซิ่ว หากข้าเสียเช่อเอ๋อร์ไป ข้าจะเอาเรื่องเจ้าไปชั่วชีวิต!”
ฝ่ามือฉาดหนึ่งตบเข้าที่หน้าของจวิ้นอ๋องอย่างรุนแรง องค์หญิงใหญ่มองไปที่ร่างของซูเช่อที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ “เจ้ายังยืนงงทำอันใดอยู่ รีบตามเขาไปสิ ตามไปอธิบายให้ชัดเจน ข้ามิอาจเสียเซ่อเอ๋อร์ไปได้ นั่นคือบุตรชายของข้า ข้าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา!”
ใช่แล้ว เวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ นางถือว่าซูเช่อเป็นเหมือนเลือดเนื้อเชื้อไขของนางเอง นางเต็มใจมอบสิ่งดีๆ ทั้งหมดในชีวิตนี้ให้กับเขา
แม้ว่าหลังจากที่เขาเติบโตขึ้นมา นิสัยประจำตัวยามเด็กของเขาจะไม่ติดตัวตามมาด้วย ทว่าตราบใดที่เขามีความสุข เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว เขาเป็นจวิ้นอ๋องน้อยที่ไร้กังวล หากเขาต้องการจะทำอะไร นางล้วนไม่เข้ายุ่งเกี่ยวขัดขวาง และเช่อเอ๋อร์เองก็มีพรสวรรค์ที่โดดเด่น เขาอาศัยความสามารถของตนเองจนกลายเป็นคุณชายอันดับหนึ่งของเมืองหลวง พี่สาวน้องสาวทั้งหลายของนางล้วนชื่นชมบุตรชายของนางทุกคราที่ได้รวมตัวกัน
แม้ว่าทุกครั้งที่นางได้ยินคำพูดแบบนี้ นางจะรู้สึกเหมือนได้ขโมยสมบัติของคนอื่น แต่นางก็ยังคงภูมิใจ เพราะนี่คือบุตรชายของฉินว่านเฉียน นามของเขาจะเป็นนามของบุตรชายขององค์หญิงใหญ่เสมอ
“ได้ ได้ ข้าจะรีบตามไป”
ก่อนที่จวิ้นอ๋องจะจากไป เขาได้มอบหมายให้สาวใช้ดูแลองค์หญิงใหญ่ให้ดีๆ ทว่าในขณะที่เขากำลังจะเดินออกจากเรือน แม่ของเขา ฮูหยินผู้เฒ่าซูก็รีบร้อนพุ่งเข้ามา
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ตกลงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เจิ้งซิ่ว บอกข้าว่าข่าวลือข้างนอกเป็นความจริงหรือไม่?”
ฮูหยินผู้เฒ่าซูตื่นตระหนกยิ่งนัก แม้แต่ร่างกายของนางก็สั่นสะท้าน
ซูเจิ้งซิ่วตกอยู่ในอาการหนึ่งหัวสองใหญ่ [1] เมื่อเห็นท่าทางที่ทั้งประหม่าทั้งโมโหของท่านแม่ก็รีบร้อนพยุงนางให้นั่งลงบนม้านั่งหินข้างๆ “ท่านแม่ ข้าจะอธิบายให้ท่านฟังดีๆ หลังจากที่ข้าแก้ปัญหาเหล่านี้เสร็จแล้ว ท่านกลับไปพักที่ห้องก่อน ดีหรือไม่ขอรับ?”
ใช่แล้ว เขาและเฉียนเฉียนไม่ได้บอกใครเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของซูเช่อ แม้แต่มารดาของเขาเอง เขาก็ยังเลือกที่จะเก็บเป็นความลับกับนาง
ฮูหยินผู้เฒ่าซูมีความคิดที่ละเอียดรอบคอบอยู่เสมอ ยามที่นางได้ยินคำเหล่านี้ นางก็เข้าใจความหมายในทันที หญิงชราหอบหายใจอย่างหนักราวกับว่านางกำลังจะล้มลงได้ทุกเมื่อ “พวกเจ้า… ไอ้พวกลูกเวร”
เชิงอรรถ
[1] หนึ่งหัวสองใหญ่ (一个头两个大) เป็นสำนวนจีน มีความหมายว่า ปวดหัวจนแทบระเบิด เพราะเจอกับปัญหาหนักที่ยากจะจัดการแก้ไขได้