เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 7 ตอนที่ 186 พลิกคดีกลับคำพิพากษา
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 7 ตอนที่ 186 พลิกคดีกลับคำพิพากษา
เล่มที่ 7 ตอนที่ 186 พลิกคดีกลับคำพิพากษา
หลังจากที่หลิงมู่เอ๋อร์มอบหลักฐานที่สามารถทำลายจวนราชครูให้กับโจวฉี่เยี่ยน เขาก็สงบลงมากและเริ่มให้ความร่วมมืออย่างแข็งขันกับการรักษา แม้ว่ายามที่เขามีเวลาว่างจะเอาแต่ถามว่าได้มันมาได้อย่างไร แต่หลิงมู่เอ๋อร์ก็บอกเพียงว่าองค์ชายเจ็ดเป็นคนส่งคนมาส่งมันมาให้
ในช่วงเวลาที่เขาป่วยหนักนี้ นางมิได้วางแผนที่จะบอกเขาเกี่ยวกับพฤติกรรมที่น่ารังเกียจและข่มขู่ขององค์ชายเจ็ด ประการแรก มันไม่เอื้อต่อการรักษาของเขา และประการที่สอง นางไม่ต้องการให้โจวฉี่เยี่ยนเจ็บปวดคับแค้นใจใครเพราะเรื่องนี้
หลังจากการเสียชีวิตของโจวฉี่รุ่ย ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือการล้างแค้นให้กับตระกูลโจว และความปรารถนานี้กำลังจะเป็นจริงในไม่ช้า หากโจวฉี่เยี่ยนรู้ว่านายท่านที่เขาซื่อสัตย์ทุ่มเทและขอบคุณมาเสมอเป็นคนเลวทรามเช่นนี้ เขาจะต้องเสียใจมากเป็นแน่ พี่ใหญ่ผู้อ่อนโยนเช่นนี้ ไม่ควรต้องแบกรับอะไรอีกแล้ว
ในวันที่สามที่โจวฉี่เยี่ยนถูกวางยาพิษ ในที่สุดหลิงมู่เอ๋อร์ก็ค้นคว้าหายาถอนพิษที่สามารถรักษาพิษแปลกๆ ในร่างกายของเขาได้ และในคืนนี้เองที่ซูเช่อกลับมาจากเข้าเฝ้าในท้องพระโรงพร้อมกับข่าวดี
“ฮ่องเต้สั่งให้ย้อนคดีความของตระกูลโจวจริงๆ หรือขอรับ?”
โจวฉี่เยี่ยนซึ่งนอนอยู่บนเตียงดูเหมือนจะลืมไปแล้วว่าขาซ้ายของเขาโดนใครบางคนตัดเอ็นร้อยหวาย ชายหนุ่มรีบร้อนลงมาเดิน และนั่นทำให้เขาไม่ทันระวังถูกบาดแผลที่เจ็บเข้าจนล้มลง ทว่าสิ่งนี้กลับไม่ได้ทำลายขวัญกำลังใจของเขาเลย อีกทั้งปฏิเสธการพยุงของหลิงมู่เอ๋อร์ ก่อนจะเดินโขยกเขยกไปทางซูเช่อ
“สิ่งที่จวิ้นอ๋องน้อยเอ่ยเมื่อครู่นี้เป็นความจริงทั้งหมด มิได้โกหกข้าใช่หรือไม่?”
“เจ้าลองบอกข้าสิ ว่าข้าจะโกหกเจ้าไปเพื่อเหตุใด?” สีหน้าของซูเช่อหยิ่งผยอง “หลังจากที่ข้า จวิ้นอ๋องน้อยถวายหลักฐานการก่ออาชญากรรมของจวนราชครูแก่ฮ่องเต้ พระองค์ทรงพิโรธหนักและสั่งให้คนสอบสวนทันที นอกจากนี้ เมื่อบวกรวมกับการที่องค์ชายเจ็ดทรงออกมาให้การเป็นพยาน ยามนี้ท่านราชครูจึงถูกปลดออกจากตำแหน่งและถูกจับเข้าคุกหลวงไปแล้ว”
เมื่อเห็นว่าความปีติยินดีบนใบหน้าของโจวฉี่เยี่ยนค่อยๆ หายไปทีละเล็กทีละน้อย ซูเช่อก็กล่าวเสริมว่า “จงวางใจ ในเมื่อฮ่องเต้ทรงสั่งให้พลิกคดีกลับคำพิพากษาแล้ว หลังจากความจริงของเรื่องนี้เปิดเผย จวนราชครูย่อมไม่ถูกลงโทษง่ายๆ แค่การขังอยู่ในคุกแน่”
โจวฉี่เยี่ยนมองเขาอย่างประหม่า “แล้วผู้ใดเป็นคนรับผิดชอบคดีนี้หรือขอรับ?”
ซูเช่อเชิดหน้าขึ้นสูง ดูเหมือนนกยูงที่เย่อหยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ “จวิ้นอ๋องน้อยผู้นี้เอง”
‘ตึง’ โจวฉี่เยี่ยนคุกเข่าลงบนพื้นอย่างรุนแรงทันที ในตอนแรกหลิงมู่เอ๋อร์คิดว่าเขาล้มลงเพราะจุดศูนย์ถ่วงที่ไม่มั่นคงของขา ทว่าผู้ใดจะรู้ว่าโจวฉี่เยี่ยนจะพุ่งเข้าไปโขกหัวสามครั้งหนักๆ ให้ซูเช่อ “โจวฉี่เยี่ยน ขอบพระคุณจวิ้นอ๋องน้อยสำหรับบุญคุณที่ช่วยชีวิต!”
แต่ละคำแต่ละประโยค เด็ดขาดดั่งเหล็กกล้า แม้ว่าผ้าพันแผลที่ปิดสนิทจะฉีกหลุดอีกครั้ง แต่เขาก็ยังคงขอบคุณด้วยความจริงใจ
“คนที่เจ้าต้องขอบคุณหาใช่ข้าไม่ หากแม่นางหลิงมิใช่หมอเทวดา เจ้าก็คงไปเข้าเฝ้าท่านพญายมตั้งนานแล้ว”
ซูเช่อใช้คางชี้ไปที่หลิงมู่เอ๋อร์เป็นสัญญาณว่าเขาควรหันหลังกลับไป “สำหรับเรื่องการพลิกคดีกลับคำพิพากษานั้น หากองค์ชายเจ็ดมิได้ทรงพยายามอย่างเต็มที่ในการให้การหาหลักฐานพิสูจน์ คงไม่เพียงพอสำหรับองค์ฮ่องเต้ที่จะตัดสินพระทัย อย่างไรก็ตามยามที่เจ้าหายจากอาการบาดเจ็บและออกไปจากวังจวิ้นอ๋องของข้า ข้าไม่ต้องการให้องค์ชายเจ็ดเข้าใจผิดคิดว่าข้าขโมยคนของเขาไป”
เมื่อได้ยินข่าวเรื่องคำให้การขององค์ชายเจ็ดถึงสองครั้ง หลิงมู่เอ๋อร์ก็ขมวดคิ้ว “องค์ชายเจ็ด? เขาไม่ใช่ลูกเขยของท่านราชครูหรือ เขาจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร?”
ซูเช่อไม่ได้พูด กลับกันแล้วเป็นโจวฉี่เยี่ยนที่ค่อยๆ เอ่ยปากอธิบาย “องค์ชายเจ็ดสัญญากับข้าว่ายามที่เขาได้หลักฐานมาแล้ว เขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยข้า เขารักษาคำพูดเสมอ”
ยามที่มองไปยังหลิงมู่เอ๋อร์อีกครั้ง แววตาของโจวฉี่เยี่ยนยิ่งเพิ่มความรู้สึกรักถนอมมากกว่าแต่ก่อนอีก “มู่เอ๋อร์ ขอบคุณเจ้าที่ช่วยชีวิต การที่ข้า โจวฉี่เยี่ยนได้รู้จักเจ้า นับเป็นพรจากชาติที่แล้วของข้า นับแต่นี้จะให้ข้าบุกป่าฝ่าดงลงทะเลเพลิง ข้าก็จะไม่ลังเลเลยแม้แต่นิด”
หากเขาคุกเข่าลงอีกครั้ง ร่างกายที่ฟื้นฟูขึ้นมาได้อย่างยากลำบากนี้จะต้องนอนอยู่บนเตียงต่อไปอีกครึ่งเดือนเป็นแน่
หลิงมู่เอ๋อร์รีบร้อนเข้าไปช่วยพยุงเขาขึ้นมาทันที “พี่ใหญ่โจวพูดเรื่องอันใดกัน? ข้าถือว่าท่านเป็นพี่ชายของข้ามาเสมอ เรื่องของท่านย่อมเป็นเรื่องของข้า ในที่สุดท่านก็สามารถล้างแค้นให้ครอบครัวของท่านได้แล้ว มู่เอ๋อร์ยินดีกับท่านด้วยจริงๆ เจ้าค่ะ”
ซูเช่อใช้ข้ออ้างในการสืบสวนคดีขอตัวออกไปที่ห้องตำราก่อน และก่อนที่จะจากไป เขาก็ได้หนีบหลิงมู่เอ๋อร์ไปด้วย
“บอกมา เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับองค์ชายเจ็ด ถึงทำให้เขาลงทุนลงแรงได้ขนาดนี้ อีกทั้งยังส่งหลักฐานการก่ออาชญากรรมมาให้อีก”
ซูเช่อเป็นคนฉลาด โจวฉี่เยี่ยนซึ่งป่วยหนักมองไม่เห็นเส้นสนกลใน ทว่าไม่อาจปิดบังเขาได้
“ในเมื่อท่านรู้ทุกอย่างแล้วจะถามไปอีกทำไม วันนี้ท่านเข้าเฝ้าในท้องพระโรง มิใช่ว่าล้วนเห็นทุกสิ่งไปแล้วหรือ?”
คิ้วของซูเช่อขมวดมุ่น ทว่าก็ผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
อันที่จริง วันนี้ที่เขาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในท้องพระโรง เขาก็เห็นหลิงจือเซวียนยืนอยู่ในแถวขององค์ชายเจ็ด และเพราะเห็นเพียงแวบเดียวจึงคิดว่าตนเองจำคนผิด ทว่ายามนี้เมื่อมาลองคิดดูให้ดี ถ้าหลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วย จะเป็นไปได้อย่างไรที่หลิงจือเซวียนผู้มีนิสัยเช่นนั้นจะติดตามองค์ชายเจ็ดผู้เผด็จการได้
“ถ้าข้าไม่รู้ความรู้สึกของเจ้าที่มีต่อซั่งกวนเซ่าเฉิน ข้าคงสงสัยว่าคนที่เจ้าตกหลุมรักจะเป็นโจวฉี่เยี่ยนแล้ว” ซูเช่อกล่าวติดตลก
หลิงมู่เอ๋อจ้องมองเขาอย่างโหดเหี้ยม “พูดเรื่องอันใดไร้สาระอีกแล้ว ระวังว่าพิษของเขาจะไปแตะถูกคอของท่านเข้า!”
ซูเช่อยิ้มอย่างอ่อนโยน เอ่ยว่า “มันคุ้มจริงๆ หรือที่ตระกูลหลิงจะเสียสละครั้งใหญ่เพื่อโจวฉี่เยี่ยน? วันนี้เจ้าไม่เห็นโทสะขององค์ชายหก เขาแทบจะกลืนกินหลิงจือเซวียนทั้งเป็น”
หลิงมู่เอ๋อร์ที่เพิ่งหัวเราะเสร็จพลันตกอยู่ในอาการกังวลทันที “องค์ชายหกจะทรงจัดการกับพี่ชายของข้าจริงหรือ? นั่นหมายความว่าพี่ชายกำลังตกอยู่ในอันตรายใช่หรือไม่?”
“ยามนี้เจ้าเพิ่งคิดได้หรือว่าหลิงจือเซวียนตกอยู่ในอันตรายแล้ว? ตอนที่เจ้าช่วยโจวฉี่เยี่ยน ยามนั้นเจ้าวิ่งออกไปก่อนจะรุ่งสางเสียอีก” ซูเช่อกอดอก ตั้งสมาธิแน่วแน่แม้จะมีเรื่องยุ่งยากใจพลางมองตานาง “อย่างไรเสียข้าสงสัยเรื่องหนึ่งนัก เจ้าไม่มีกำลังภายในเหตุใดถึงวิ่งได้ไวนัก”
แน่นอนว่าหลิงมู่เอ๋อร์ไม่มีทางบอกว่านางหลบซ่อนตัวอยู่ในมิติเทพ แต่ไม่ใช่เพราะนางกลัวว่าซูเช่อจะตามมาทันและส่งผลกระทบต่อแผนการของนางหรือ
“คนที่ดีกับข้า ข้าจะตอบแทนเขาคืนเป็นสิบเท่า นี่คือจุดประสงค์ของการผูกมิตรกับข้า หลิงมู่เอ๋อร์ผู้นี้ ไม่ต้องพูดถึงโจวฉี่เยี่ยน หากเปลี่ยนเป็นจวิ้นอ๋องน้อยที่พบเจอกับความยากลำบากเช่นนี้ ข้าก็จะทำให้ดีที่สุดเช่นกัน” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยออกมาจากใจ
เมื่อนึกถึงองค์ชายเจ็ด นางรีบหันกายกลับมา “องค์ชายเจ็ดเอาหลักฐานทางอาญานั้นมาขู่ ข้าคิดว่าเขาจะไม่ช่วย ตกลงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ซูเช่อย่อมรู้ว่านางจะถามออกมาเช่นนี้
“องค์ชายเจ็ดเป็นคนที่ละเอียดซับซ้อน หลายสิ่งหลายอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของเขามานานแล้ว แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเขาได้หลักฐานมาตั้งแต่เมื่อใด แต่นับว่าถึงจะไม่มีหลิงจือเซวียน เขาก็จะถวายหลักฐานให้ฮ่องเต้เพื่อให้พลิกคดีกลับคำพิพากษาอยู่ดี เพียงแค่เรื่องสองเรื่องที่มารวมเป็นเรื่องเดียว เขาจึงใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุดก็เท่านั้น”
เมื่อได้ยินคำอธิบายของซูเช่อ หลิงมู่เอ๋อร์ก็ตระหนักได้ทันที ไม่น่าแปลกใจที่องค์ชายเจ็ดตรัสในวันที่พี่ชายของนางแต่งงานว่าเขาได้วางแผนทุกอย่างเอาไว้แล้ว
องค์ชายเจ็ดลอบต่อสู้เพื่อชิงตำแหน่งองค์รัชทายาท อีกทั้งในใจของเขามีเซิงเอ๋อร์อยู่ และเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรักษาเซิงเอ๋อร์ไว้เคียงข้างอย่างไร้นามไร้ตำแหน่งได้ตลอดไป ดังนั้นคนแรกที่จะต้องจัดการก็คือครอบครัวของพระชายาในองค์ชายเจ็ดนั่นเอง
ด้วยการล่มสลายของจวนราชครู พระชายาแห่งองค์ชายเจ็ดจะไม่มีแรงสนับสนุนที่แข็งแกร่ง หลังจากที่เขาประสบความสำเร็จในการขึ้นครองบัลลังก์ในอนาคต เขาจะสามารถแต่งตั้งเซิงเอ๋อร์ขึ้นเป็นพระชายาได้ เมื่อถึงเวลานั้น แม้ว่าพระชายาแห่งองค์ชายเจ็ดจะก่อเรื่องมากเท่าใดก็จะไม่มีใครสนับสนุน และนางจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวไร้แรงกำลังจะต่อสู้
เมื่อบวกรวมกับเรื่องของหลิงจือเซวียนในครั้งนี้ องค์ชายเจ็ดคาดเดาว่าคงไม่มีประโยชน์และนางคงไม่เกลี้ยกล่อมพี่ชายของตน นอกจากนี้เขายังรู้ว่านางและโจวฉี่เยี่ยนเป็นสหายร่วมสู้กันมา เขาจึงแสดงหลักฐานความผิดล่วงหน้า ก่อนจะแสดงน้ำใจช่วยเหลือตามน้ำ ดูเหมือนว่านางจะทำผิดต่อองค์ชายเจ็ดแล้ว แม้ว่าเขาจะดูน่ารังเกียจ แต่เขาก็ไม่ใช่วายร้าย มิฉะนั้นเขาจะไม่ลอบช่วยอย่างลับๆ แน่
“คดีของตระกูลโจวจะสามารถพลิกกลับคำพิพากษาได้จริงๆ หรือ?”
ซูเช่อยักไหล่ “คนอื่นอาจทำไม่ได้ แต่ข้า ซูเช่อย่อมทำได้”
หลิงมู่เอ๋อร์มองเขาด้วยสายตาที่ว่า ‘ท่านคงโม้อยู่กระมัง’ เมื่อครู่ยังสงสัยนางอยู่เลยว่าเหตุใดถึงได้สนใจรอยยิ้มของโจวฉี่เยี่ยนมากมายขนาดนี้
“ปีนั้นตระกูลโจวถูกใส่ร้ายว่าวางยาฮ่องเต้ ด้วยหลักฐานขององค์ชายเจ็ด สามารถพิสูจน์ได้ว่าราชครูเป็นคนทำ การลอบสังหารฮ่องเต้เป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่มีบทลงโทษประหารเก้าชั่วโคตร ขอเพียงแค่ได้รับจดหมายที่ลงนามยอมรับข้อกล่าวหาของราชครู เช่นนั้นก็สามารถล้างแค้นให้กับตระกูลโจวได้แล้ว อีกทั้งยังได้เห็นชะตากรรมสุดท้ายของจวนราชครูด้วย เจ้าว่าอย่างไรเล่า?”
“ทว่าหากท่านราชครูยอมรับ ทั้งครอบครัวจะต้องลำบากไปด้วยแล้ว ทว่าหากเขาไม่ยอมรับ เขาจะต้องอยู่ในคุกตลอดชีวิต และตระกูลโจวก็มิอาจพลิกข้อพิพากษาได้อีกตลอดไป”
ซูเช่อมองนางอย่างชื่นชม ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากจะแงะสมองของนางออกมามองดูว่าตกลงแล้วข้างในนั้นใส่อะไรไว้กันแน่ เหตุใดถึงได้ฉลาดเฉลียวถึงเพียงนี้
หลิงมู่เอ๋อเป็นสตรี และเกลียดราชสำนัก ไม่เช่นนั้นหากนางเข้าวังได้ คงได้เป็นข้าราชการระดับสูงแล้ว
“ในเมืองหลวงคงมีเจ้าคนเดียวที่ไม่รู้ฝีมือของข้า จวิ้นอ๋องน้อยผู้นี้”
หลังจากทิ้งประโยคเอาไว้อย่างลึกลับ ซูเช่อก็กลับไปนั่งบนเก้าอี้ในห้องตำรา ดูเหมือนว่าเขากำลังค้นหาข้อมูล อีกทั้งยังดูเหมือนว่าเขากำลังวางแผนอะไรบางอย่าง หลิงมู่เอ๋อร์อยากจะตามไปขอความชัดเจน ทว่าก็ต้องอดทนที่จะไม่เข้ารบกวน สุดท้ายนางก็ออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ เพื่อรอฟังข่าวดีจากเขา
ประมาณเจ็ดวันต่อมา ซูเช่อได้รับจดหมายที่ลงนามยอมรับคำสารภาพของราชครูสำเร็จ ฮ่องเต้ทรงพิโรธเป็นอย่างยิ่ง ออกคำสั่งให้ประหารชีวิตตัดศีรษะในวันรุ่งขึ้น และในวันที่มีการประหารชีวิตโดยการตัดศีรษะนั้น ฮ่องเต้ทรงสั่งการให้พลิกคดีกลับคำพิพากษาของตระกูลโจว นับแต่นั้นเป็นต้นไปตระกูลโจวก็ได้รับการชำระล้างและแก้แค้นได้สำเร็จ และเป็นในวันนั้นเองที่ในที่สุดโจวฉี่เยี่ยนก็ได้ฐานะเดิมกลับมา แท้จริงแล้วเขาคือคุณชายผู้สูงศักดิ์ในตระกูลขุนนางกรมเสนาบดี
นางยังจำครั้งแรกที่เห็นโจวฉี่เยี่ยนได้ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ท่าทางอับจนหนทางเสียยิ่งกว่าขอทาน ต่อมาได้ยินว่าเขาพาน้องชายระหกระเหินเร่ร่อนซ่อนตัวที่ทิเบตนานกว่าสามปี
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ แต่เขากลับต้องใช้ชีวิตอย่างน่าสมเพชด้วยการหลบหนี ทว่ายามนี้ในที่สุดสถานการณ์ก็คลี่คลาย เรื่องร้ายกลายเป็นดี ทว่าเขาจะไม่มีวันได้รู้ความลับของข้อตกลงระหว่างนางกับองค์ชายเจ็ด
“ขอแสดงความยินดีกับพี่ใหญ่โจว ในที่สุดก็สามารถบรรลุความปรารถนาและได้ตัวตนเดิมกลับคืนมาเจ้าค่ะ”
เร็วๆ นี้หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกไม่สบายนัก ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนเหล้าเป็นชา
แม้ว่าร่างกายส่วนใหญ่ของโจวฉี่เยี่ยนจะหายดีแล้วหลังจากที่หลิงมู่เอ๋อร์ช่วยปรับสภาพให้ แต่อาการบาดเจ็บที่ขาของเขาที่เป็นต้นตอของโรคก็ยังคงสั่นสองสามครั้งทุกคราที่ลุกขึ้น
เขานั่งอยู่ตรงนั้นมองดูผู้คน และคนที่เข้ามาโค้งกายทำความเคารพทีละคน “ขอบพระคุณองค์ชายเจ็ด ขอบพระคุณจวิ้นอ๋องน้อย และขอบใจเจ้ามู่เอ๋อร์ หากไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของพวกท่าน ความอยุติธรรมที่ตระกูลโจวได้รับคงไม่ถูกประกาศให้ใต้หล้าได้ทราบ ชะตากรรมในภายภาคหน้าของโจวฉี่เยี่ยน ไม่ว่าพวกท่านปรารถนาสิ่งใด ข้าไม่มีทางปฏิเสธเกียงงอน”
หลังจากเอ่ยจบ ชายหนุ่มไม่สนว่าหลิงมู่เอ๋อจะขัดขวางอย่างไร เขายืนกรานที่จะร่ำสุรารสแรงสักจอกให้ได้
หลิงมู่เอ๋อร์เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับครอบครัว ทว่ายามที่ซูเช่อยกแก้วขึ้นเพราะเห็นแก่หลิงมู่เอ๋อร์ นางกลับไม่สนใจ มีเพียงองค์ชายเจ็ดเท่านั้นที่ส่ายศีรษะ “คราแรกที่เจ้าเอ่ยคำสัตย์ภักดีต่อข้า นี่เป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่ข้าตกลงกับเจ้า ช่วงเวลานายบ่าวของเจ้ากับข้าก็มีหลักฐานชิ้นนี้เป็นตัวกำหนด วันนี้เจ้าจะไปหรืออยู่ต่อ ข้าจะไม่ก้าวก่ายแทรกแซง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิงมู่เอ๋อร์พลันมองไปที่องค์ชายเจ็ดด้วยความไม่เชื่อ ที่แท้แล้วยามที่แลกเปลี่ยนกันก็ยังมีสัญญาเรื่องนี้อยู่ด้วย ดูท่าแล้วนางคงจะทำผิดต่อองค์ชายเจ็ดจริงๆ เขาสามารถซ่อนหลักฐานก็ย่อมได้ เพื่อที่โจวฉี่เยี่ยนจะได้รับใช้เขาอย่างไม่มีเงื่อนไขไปตลอดชีวิต
“ตราบใดที่องค์ชายเจ็ดไม่ทรงรังเกียจข้าหนึ่งวัน ข้าก็จะไม่จากไปพระองค์หนึ่งวัน องค์ชายได้ช่วยเหลือข้ามามากแล้ว และเป็นผู้มีพระคุณของข้าตลอดชีวิต ดังนั้นแล้วข้า โจวฉี่เยี่ยนจะนับท่านเป็นนายนับแต่นี้ไป”
“เอาละ ในเมื่อเจ้าตัดสินใจเช่นนี้ หลังจากที่ข้าสมปรารถนาแล้วข้าก็จะไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่ยุติธรรมเช่นกัน” องค์ชายเจ็ดยิ้มอย่างสบายอกสบายใจให้โจวฉี่เยี่ยนพลางส่งสายตาเป็นสัญญาณที่อยากสนทนาเป็นการส่วนตัวกับเขา
ใต้ต้นไหวซู่ในสวน องค์ชายเจ็ดชี้ไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ซึ่งอยู่ไม่ไกล “ชอบนางหรือ?”