เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 7 ตอนที่ 185 ขาพิการ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 7 ตอนที่ 185 ขาพิการ
เล่มที่ 7 ตอนที่ 185 ขาพิการ
หลิงมู่เอ๋อร์พลันหยุดชะงักและหันกลับมาทันที “พี่ใหญ่โจว ตื่นแล้วหรือ?”
ในยามนั้นโจวฉี่เยี่ยนทั้งร่างอ่อนแรงไร้ซึ่งกำลัง ใบหน้าซีดเซียว เนื่องจากบาดแผลหลายแห่งบนร่างกายของเขา หลังจากตื่นจึงรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกมีดกรีดเถือ ทุกคราที่เขาหายใจ หน้าผากของเขาจะปรากฏเม็ดเหงื่อผุดพราย ชายหนุ่มมองไปทางหลิงมู่เอ๋อร์ จากนั้นก็มองไปที่ซูเช่อ เขาก็น่าจะเดาเรื่องราวทั้งหมดออกจึงพยักหน้าด้วยความยากลำบาก “ขอบ ขอบใจพวกเจ้าทั้งสองคนมากที่ช่วยข้า บุญคุณครั้งนี้…”
เขาต้องการที่จะพูดอะไรต่ออีก ทว่าหลิงมู่เอ๋อร์รีบปิดปากของเขา “พี่ใหญ่โจว ท่านไม่ต้องพูดอะไรแล้ว วางใจเถิด ข้าจะคิดหาทางช่วยท่านอย่างแน่นอน ท่านจงรออยู่ที่นี่อย่างสบายใจเถิดเจ้าค่ะ”
นางกำลังจะจากไปอีกครั้ง แต่โจวฉี่เยี่ยนกลับคว้ามือของนางแล้วบีบเอาไว้แน่น “ไม่มีประโยชน์ ข้า… ข้ารู้จักร่างกายของตนเองเป็นอย่างดี น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถฆ่าตาเฒ่านั่นให้สำเร็จด้วยมือของตนเองได้”
เพราะความปั่นป่วนทางอารมณ์ โจวฉี่เยี่ยนจึงกระอักเลือดที่คั่งคาออกมาเต็มปาก หลิงมู่เอ๋อร์รีบตรวจชีพจรของเขาทันที
ใบหน้าที่เมื่อครู่ยังโศกเศร้า ยามนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด “อาเจียนได้ดี นั่นคือเลือดคั่งที่อุดตันหัวใจ มันทำให้ท่านตกอยู่ในอาการคลุ้มคลั่งไม่ได้สติ พี่ใหญ่โจว เชื่อข้าสิ ข้าจะต้องหาวิธีได้อย่างแน่นอน”
โจวฉี่เยี่ยนมิอาจหักใจปล่อยหลิงมู่เอ๋อร์ไป เขากลัวว่าหากจากไปครั้งนี้ก็จะไม่ได้พบนางอีกแล้ว “มู่เอ๋อร์ อย่าได้… อย่าได้เสียเวลาอีกเลย องครักษ์ที่คุ้มกันตาเฒ่านั่นมีฝีมือไม่ธรรมดา ข้าสามารถรักษาชีวิตตนเองไว้เพื่อพบหน้าเจ้าในวันนี้ได้ก็นับเป็นพรจากสวรรค์แล้ว พวกเขาตัดเอ็นร้อยหวายของข้า ทำให้ขยับไม่ได้ และต่อให้เจ้าช่วยรักษาชีวิตของข้าไว้ได้ ข้าก็จะกลายเป็นคนขาพิการนับจากนี้ไป”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ โจวฉี่เยี่ยนพลันรู้สึกเจ็บปวดเหลือคณา “เสียดายเพียงอย่างเดียว ข้า… ข้าไม่สามารถสังหารตาเฒ่าผู้นั้นเพื่อล้างแค้นให้กับครอบครัวของข้าได้ด้วยมือของข้าเอง!”
เนื่องจากไฟที่เผาผลาญจิตใจ โจวฉี่เยี่ยนพ่นเลือดออกมาอีกคำหนึ่ง ทว่าคราวนี้มันเป็นเลือดสีแดงสด
หากหัวใจของเขายังคงถูกกระตุ้นด้วยอารมณ์รุนแรงเช่นนี้ต่อไป ชายหนุ่มจะสูญเสียพละกำลังไปอย่างแน่นอน
“พี่ใหญ่โจว ถือว่ามู่เอ๋อร์ขอร้องก็ได้เจ้าค่ะ ท่านอย่าได้โมโหอีกเลย ทักษะทางการแพทย์ของข้า ท่านมิอาจเชื่อใจได้เลยหรือ?” แน่นอน แม้ว่าเอ็นร้อยหวายของเขาจะถูกตัด ในอนาคตอาจจะมีปัญหาเรื่องการเคลื่อนไหวที่ไม่สะดวก ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องสังหารคน แค่เดินมากหน่อยก็เจ็บแล้ว
แม้ว่านางจะเข้าใจความโศกเศร้าของโจวฉี่เยี่ยนในขณะนี้ ทว่าตราบใดที่ขุนเขายังเขียวขจีอยู่ ยังต้องกลัวว่าจะไม่มีฟืนอีกหรือ [1]?
“แม่นางหลิงเอ่ยได้ถูกต้อง เจ้าควรจะเชื่อในทักษะทางการแพทย์ของนาง นอกจากนี้ หากไม่ใช่เพราะนาง เจ้าคงตายไปนานแล้ว ถ้าเจ้าต้องการขอบใจจริงๆ ในยามนี้ก็ควรให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี อย่าทำให้ความลำบากของแม่นางหลิงต้องเสียเปล่า”
ซูเช่อนำสองมือไพล่หลัง โจวฉี่เยี่ยนไม่เห็นแขนของเขาที่ถูกตนเองกัด แต่เมื่อได้ยินจวิ้นอ๋องน้อยเอ่ยเช่นนั้น แม้อยากจะระเบิดโทสะมากเท่าไร เขาก็เก็บกลั้นเอาไว้ ทว่าความเจ็บปวดบนใบหน้าของเขายังคงชัดเจนยิ่งนัก
“พี่ใหญ่โจว จงอย่าได้ยอมแพ้ อย่าได้ท้อแท้ ท่านอดทนมานานถึงเพียงนี้ ลงทุนลงแรงไปมากมายถึงขนาดนั้น มิใช่เพียงเพื่อการล้างแค้นหรือ? เป็นท่านราชครูใช่หรือไม่? ข้าจะช่วยท่านเอง ตราบใดที่ท่านสามารถปลุกใจตนเองขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะเป็นร่างกายของท่านหรือศัตรูของท่าน ข้าล้วนสามารถช่วยท่านได้เจ้าค่ะ”
“ไม่ได้!” โจวฉี่เยี่ยนเอาแต่ส่ายศีรษะซ้ำไปซ้ำมา “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า มู่เอ๋อร์ เจ้าแบกรับความเสี่ยงแทนข้าไม่ได้”
เขาได้สูญเสียโจวฉี่รุ่ยซึ่งเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาไปแล้ว และเขาไม่สามารถสูญเสียสตรีที่สำคัญที่สุดได้อีกคน
“ข้างกายราชครูมีจอมยุทธ์ระดับสูงมากมาย แม้ว่าเจ้าจะมีทักษะทางด้านการแพทย์กับยาพิษ แต่เจ้าก็มิใช่คู่ต่อสู้ของเขา มู่เอ๋อร์ ข้าดีใจที่ได้พบเจ้าในชาตินี้ จงอย่าได้สิ้นเปลืองกำลังไปเปล่าๆ เลย แม้ว่าเจ้าจะช่วยข้าไว้ได้ แต่ข้าก็ยังเป็นคนพิการที่มิอาจแก้แค้นได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าช่วยข้าไปเพื่ออันใด”
โจวฉี่เยี่ยนมีใบหน้าที่เศร้าหมองและปรารถนาถึงความตายอย่างสุดหัวใจ ในสายตาของหลิงมู่เอ๋อร์ หัวใจของนางสูญสิ้นความหวังตามไปด้วยตามเช่นกัน ทว่าในยามที่ไม่รู้ตัวนั่นเอง นางพลันนึกถึงสิ่งที่องค์ชายเจ็ดตรัสเมื่อตอนกลางวัน เขามีหลักฐานอยู่ในมือ ตราบใดที่สามารถครอบครองหลักฐานชิ้นนั้นได้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามในการลอบสังหารอีกต่อไป นามไม่เที่ยง วาจาย่อมไม่ราบรื่น เมื่อวาจาไม่ราบรื่น การงานย่อมไม่สำเร็จ แม้ว่าต้องการจะแก้แค้นแล้วอย่างไร ความแค้นของตระกูลโจวในปีนั้นจะยังมิอาจสะสางได้อีกหรือ?
“เป็นเพราะท่านคือสหายของข้า ข้าจะต้องช่วยท่านได้อย่างแน่นอน วางใจเถิด ตราบใดที่ข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้ท่านต้องตาย ส่วนศัตรูของท่าน ความตายของเขาไม่ถือว่าเป็นการแก้แค้น”
น้ำเสียงของหลิงมู่เอ๋อร์เย็นชากระจ่างใส นางเอ่ยจบและไม่รอให้โจวฉี่เยี่ยนได้โต้ตอบก็พลันฝังเข็มเข้าที่จุดนิทราของเขาทันที
หลังจากรักษาบาดแผลที่เกิดจากความตื่นตระหนกอีกครั้ง และมั่นใจว่าชีวิตของเขาจะไม่ตกอยู่ในอันตราย หลิงมู่เอ๋อร์ก็มอบเขาให้กับซูเช่อ “ลำบากจวิ้นอ๋องน้อยจัดคนมาเฝ้าเขาแล้ว ข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็จะกลับมาเจ้าค่ะ”
“เจ้าจะไปที่ใด?”
ซูเช่อไม่คิดว่าความเร็วของนางจะมีมากถึงขนาดนี้ เพราะทันทีที่เขาพูดจบ ร่างของนางก็หายวับไปกับแสงจันทร์ทันที
ยามที่หลิงมู่เอ๋อร์เดินทางมาถึงจวนเจาหยางจวี ท้องฟ้าก็เพิ่งจะทอแสงสว่างพอดี เพราะหลิงจือเซวียนได้กำชับทุกคนไว้ก่อนหน้านี้ว่าหากนางมา ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเหนี่ยวรั้งนางไว้ ดังนั้นสาวใช้จึงพานางตรงไปที่ห้องโถงด้านหน้า
นางไม่เคยมาเร็วขนาดนี้มาก่อน หลิงจือเซวียนคิดว่านางเจอปัญหาร้ายแรงจึงรีบออกมาพบโดยไม่แม้แต่จะแต่งตัวให้ดี
“มู่เอ๋อร์ เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?”
เจาหยางปิดปากหาว พลางกุมหน้าท้องขณะที่เดินออกไปอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นท่าทางนี้ หลิงมู่เอ๋อร์อยากจะถามแต่ไม่แน่ใจ หลิงจือเซวียนเห็นความสงสัยของนางจึงพยักหน้า
“ข้าเพิ่งวางแผนที่จะพาเจาหยางไปหามู่เอ๋อร์ที่โรงหมอในวันนี้พอดี มู่เอ๋อร์ก็มาพอดี มิผิด เจาหยางมีเรื่องน่ายินดีแล้ว”
เรื่องแรกเขาสอบผ่านการคัดเลือกขุนนาง ยามนี้ก็มีเรื่องน่ายินดี หากว่าท่านพ่อท่านแม่ทราบเข้า ไม่รู้เลยว่าจะยินดีเพียงใด
หลิงมู่เอ๋อร์ซึ่งมีใบหน้าเศร้าหมองพลันแย้มริมฝีปากยิ้มทันที “ยินดีด้วยเจ้าค่ะท่านพี่ใหญ่ ขอแสดงความยินดีกับพี่สะใภ้ด้วย”
“ยินดีอันใดกัน มิใช่ว่าต้องขอบใจเจ้าที่ยอมเสียสละ ไม่อย่างนั้น ท้องที่ใหญ่ขึ้นก่อนแต่งเช่นนี้ของข้า คงพาให้ขายหน้าแล้ว”
เจาหยางรีบดึงนางไปที่เก้าอี้ข้างๆ ก่อนจะให้นางนั่งลงดีๆ “สาวใช้บอกว่าเจ้ารีบร้อนยิ่งนัก ที่บ้านเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ? ชีพจรของข้าไม่ใช่เรื่องรีบร้อน”
หลิงมู่เอ๋อร์กวาดสายตาไปมองหลิงจือเซวียน “ท่านพี่ใหญ่ ข้ามีคำวอนขอจากใจ ไม่รู้ว่าท่านจะเต็มใจช่วยหรือไม่?”
“มู่เอ๋อร์พูดเรื่องอันใด เจ้าเป็นน้องสาวแท้ๆ ของข้า เรื่องของเจ้าก็เป็นเรื่องของข้า”
เมื่อตระหนักได้ว่านางต้องการคุยกับเขาตามลำพัง หลิงจือเซวียนจึงขอให้เจาหยางกลับไปพักผ่อนก่อน ก่อนที่เขาจะพาหลิงมู่เอ๋อร์ไปที่ห้องโถงด้านข้าง
“ดูใบหน้าที่ซีดเซียวนี่ของเจ้าสิ เมื่อคืนเจ้าเจอโรคภัยไข้เจ็บที่รักษายากอะไรหรือ?”
“เจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ไม่เคยคิดที่จะปิดบังเขาอยู่แล้ว “เป็นพี่ใหญ่โจว เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ชีวิตของเขาถูกแขวนไว้บนเส้นด้าย ยามนี้จะเป็นหรือตายก็สุดรู้ แต่ว่าท่านพี่ไม่ต้องรีบตอบรับข้า ท่านฟังข้ากล่าวให้ละเอียดเสียก่อน”
หลังจากอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้หลิงจือเซวียนฟังโดยละเอียดแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ก็กลัวว่าเขาจะตอบโดยไม่ไตร่ตรองเลยสักนิด นางจึงรีบอธิบายว่า “พี่ชาย ข้าไม่ได้มาหาท่านเพราะให้ท่านเห็นแก่ฐานะพี่ชาย ข้าต้องการให้ท่านคิดอย่างจริงจัง คิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากท่านคิดว่าไม่เป็นไรก็ช่วยโจวฉี่เยี่ยน หากท่านคิดไม่ว่าไหว ข้าก็ไม่โทษท่าน ให้มันเป็นชะตากรรมของพี่ใหญ่โจว”
“เจ้าเด็กโง่”
หลิงจือเซวียนลูบผมยาวของนางอย่างอ่อนโยน “เจ้ารีบมาหาข้าถึงเพียงนี้ ข้าจะไม่รีบให้คำตอบเจ้าได้อย่างไร มิเช่นนั้นจะไม่เป็นการขัดแย้งกันเองหรือ? พี่ใหญ่โจวอาศัยอยู่ในครอบครัวตระกูลหลิงของเรามานานกว่าหนึ่งปี เขามีน้ำใจต่อข้า แล้วข้าจะปฏิเสธที่จะช่วยเขาได้อย่างไร?”
“ทว่าทันทีที่ท่านติดตามองค์ชายเจ็ด จะเท่ากับว่าต้องทรยศองค์ชายหก ท่านจะต้องถูกตามสังหารอย่างแน่นอน พี่ชาย ท่านคิดเรื่องนี้ดีแล้วหรือ?”
“ที่จริงวันนี้แม้เจ้าจะไม่มา แต่ข้าก็วางแผนที่จะไปเข้าเฝ้าองค์ชายเจ็ดอยู่แล้ว ในช่วงเวลานี้ข้าคิดอย่างรอบคอบแล้ว ถ้าเปรียบเทียบองค์ชายหกกับองค์ชายเจ็ดจริงๆ การได้ติดตามองค์ชายเจ็ดย่อมมีอนาคตที่สดใสกว่า” หลิงจือเซวียนพูดอย่างจริงจัง “มู่เอ๋อร์ เจ้าจำสิ่งที่เจ้าถามข้าในตอนนั้นได้หรือไม่?”
หลิงมู่เอ๋อร์มิได้กล่าวอันใด นางมีท่าทางอย่างคนที่ตั้งใจฟัง
“เจ้าถามข้าว่า ข้าไม่อยากทำในเรื่องที่ตัวเองต้องการจะทำหรือ?” ริมฝีปากของเขาหยักโค้ง “ข้าก็เหมือนกับเจ้า ต้องการแสดงความรู้ความสามารถของตนเอง ท่านอาจารย์บอกว่าข้ามีพรสวรรค์ ดังนั้นข้าจึงไม่อยากจะให้มันเสียเปล่า ในเมื่อข้ายินดี แล้วเหตุใดข้าจะไม่นั่งในตำแหน่งที่ข้าอยากนั่งเล่า?”
เขาวิเคราะห์อย่างระมัดระวัง น้ำเสียงของพี่ชายอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง หลิงมู่เอ๋อร์ตระหนักได้ทันที ไม่น่าแปลกใจที่เหตุใดเจาหยางถึงได้วิ่งไล่ตามจีบเขาทั้งวัน พี่ชายยามนี้หล่อเหลาและมีเสน่ห์มากจริงๆ
“องค์ชายเจ็ดมีพรสวรรค์ในด้านนี้ เขาต้องการข้า และข้าก็ต้องการความช่วยเหลือจากเขาเช่นกัน ไม่ต้องกังวล มู่เอ๋อร์ จงฝากเรื่องนี้ไว้กับข้า”
หลิงจือเซวียนไปที่จวนขององค์ชายเจ็ดในวันนั้น ไม่รู้ว่าทั้งสองคนคุยกันนานแค่ไหน คนที่ออกไปตั้งแต่เช้าก็ไม่กลับมาจนกระทั่งเย็น
เพื่อไม่ให้คนของจวนราชครูสังเกตเห็น หลิงมู่เอ๋อร์จึงรออยู่ที่โรงหมอ รอจนกระทั่งหลิงจือเซวียนส่งหลักฐานที่เกี่ยวกับการสังหารตระกูลโจวมาถึงมือ นางก็เกือบจะร้องไห้ออกมาด้วยความซาบซึ้งใจ “ขอบคุณท่าน พี่ชาย”
“เด็กโง่ พี่ต่างหากที่ต้องขอบคุณเจ้า” หลังจากผ่านวันที่เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน หลิงจือเซวียนรู้สึกว่าทุกอย่างคุ้มค่าเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของหลิงมู่เอ๋อร์ “ขอบคุณมู่เอ๋อร์ของข้าที่ในที่สุดก็ให้โอกาสข้าได้ปกป้องเจ้า เจ้ารู้หรือไม่? เจ้าเป็นคนที่คอยค้ำจุนครอบครัวนี้มามากกว่าสองปี ในฐานะพี่ชาย ข้ารู้สึกโทษตัวเองเหลือเกิน ยามนี้ข้าสามารถช่วยเจ้าได้แล้ว คราวหน้าก็จงอย่าลังเลกับเรื่องแบบนี้ เข้าใจหรือไม่?”
หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้าอย่างหนักแน่น “เช่นนั้นพี่ชายก็ควรระวังให้มากนะเจ้าคะ” จากนั้นนางก็ยื่นกล่องผ้าให้แก่เขา “ยาเหล่านี้เป็นยาเพิ่มความแข็งแรงให้ทารกในครรภ์และดีต่อสุขภาพ ให้เจาหยางกินวันละเม็ด รับประกันว่าในเก้าเดือนนี้ นางจะคลอดลูกชายตัวขาวๆ อ้วนๆ ออกมาแน่นอน”
หลังจากที่หลิงจือเซวียนจากไป หลิงมู่เอ๋อร์ก็เก็บหลักฐาน และไม่รีบร้อนไปที่จวนจวิ้นอ๋อง แต่กลับนัดพบกับองค์ชายเจ็ดก่อน
เมื่อเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขององค์ชายเจ็ด หลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกไม่ใคร่จะสบายใจนัก “ใครๆ ก็บอกว่าองค์ชายหกจะแก้แค้นและจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ข้าคิดว่าประโยคนี้เหมาะกับองค์ชายเจ็ดมากกว่ากระมัง”
“เจ้าไม่ต้องเกลียดข้ามากขนาดนี้ คนที่ไม่ทำเพื่อตนเองถึงจะเรียกว่าโง่เขลา นอกจากนี้ เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าหลิงจือเซวียนอยู่ใต้อำนาจของข้าเพื่อเจ้า”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่อนุญาตให้ใครก็ตามมาใส่ร้ายพี่ชายของนาง “ขอให้องค์ชายเจ็ดอย่าได้คิดอันใดสกปรก มิฉะนั้นข้าอาจจะกลับคำไม่ตกลง พี่ชายของข้ารักข้า หากเขาคิดเสียใจในภายหลังกลับคำขึ้นมา สิ่งที่องค์ชายเจ็ดทำก็ถือว่าเสียเปล่าแล้ว”
อย่างไรก็ตามตอนนี้ผู้คนนั้นอยู่ข้างเขาแล้ว องค์ชายเจ็ดก็ไม่กลัวคำขู่ของหลิงมู่เอ๋อร์ “เจ้าเป็นคนเดียวที่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยที่องค์รัชทายาทจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ครอบครองเจ้า นิสัยของเจ้าน่าดึงดูดยิ่งนัก บอกข้าสิ เจ้าเรียกข้าออกมา มีเรื่องอะไรจะแลกเปลี่ยนหรือ?”
“ในเมื่อพี่ชายของข้าเป็นของท่านแล้ว ข้าหวังว่ายามคับขันท่านจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเขา ไม่ใช่แค่เขาแต่รวมถึงเจาหยางด้วย”
องค์ชายเจ็ดไม่แปลกใจกับคำพูดของนาง “แค่นี้หรือ?”
เขาพ่นเสียงหัวเราะเย็นชา วางมือไพล่หลัง และให้สัญญากับนางอย่างเคร่งขรึมก่อนจากไปว่า “จงวางใจ ตราบใดที่เขายังเป็นคนของข้า ข้าจะไม่ยอมให้ใครก็ตามมาทำร้ายเขา ทันทีที่เขาเดินออกจากจวนองค์ชายเจ็ดของข้า ข้าก็สั่งการให้องครักษ์เงาคอยคุ้มกันเขาอยู่เสมอแล้ว แม้แต่พี่หก เขาก็ไม่อาจทำอะไรพี่ชายของเจ้าได้”
เชิงอรรถ
[1] ตราบใดที่ขุนเขาเขียวขจียังอยู่ อย่าได้กลัวไม่มีฟืน 留 得青山在,不怕没柴烧 หมายถึง ตราบใดมีชีวิต ย่อมต้องมีความหวัง
โจว ตื่นแล้วหรือ?”
ในยามนั้นโจวฉี่เยี่ยนทั้งร่างอ่อนแรงไร้ซึ่งกำลัง ใบหน้าซีดเซียว เนื่องจากบาดแผลหลายแห่งบนร่างกายของเขา หลังจากตื่นจึงรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกมีดกรีดเถือ ทุกคราที่เขาหายใจ หน้าผากของเขาจะปรากฏเม็ดเหงื่อผุดพราย ชายหนุ่มมองไปทางหลิงมู่เอ๋อร์ จากนั้นก็มองไปที่ซู่เช่อ เขาก็น่าจะเดาเรื่องราวทั้งหมดออกจึงพยักหน้าด้วยความยากลำบาก “ขอบ ขอบใจพวกเจ้าทั้งสองคนมากที่ช่วยข้า บุญคุณครั้งนี้…”
เขาต้องการที่จะพูดอะไรต่ออีก ทว่าหลิงมู่เอ๋อร์รีบปิดปากของเขา “พี่ใหญ่โจว ท่านไม่ต้องพูดอะไรแล้ว วางใจเถิด ข้าจะคิดหาทางช่วยท่านอย่างแน่นอน ท่านจงรออยู่ที่นี่อย่างสบายใจเถิดเจ้าค่ะ”
นางกำลังจะจากไปอีกครั้ง แต่โจวฉี่เยี่ยนกลับคว้ามือของนางแล้วบีบเอาไว้แน่น “ไม่มีประโยชน์ ข้า… ข้ารู้จักร่างกายของตัวเองเป็นอย่างดี น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถฆ่าตาเฒ่านั่นให้สำเร็จด้วยมือของตนเอง”
เพราะความปั่นป่วนทางอารมณ์ โจวฉี่เยี่ยนจึงกระอักเลือดที่คั่งคาออกมาเต็มปาก หลิงมู่เอ๋อร์รีบชีพจรของเขาทันที
ใบหน้าที่เมื่อครู่ยังโศกเศร้าตอนนี้ ยามนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด “อาเจียนได้ดี นั่นคือเลือดคั่งที่อุดตันหัวใจ มันทำให้ท่านตกอยู่ในอาการคลุ้มคลั่งไม่ได้สติ พี่ใหญ่โจว เชื่อข้าสิ ข้าจะต้องหาวิธีได้อย่างแน่นอน”
โจวฉี่เยี่ยนมิอาจหักใจปล่อยหลิงมู่เอ๋อร์ไป เขากลัวว่าหากจากไปครั้งนี้ก็จะไม่ได้พบนางอีกแล้ว “มู่เอ๋อร์ อย่าได้… อย่าได้เสียเวลาอีกเลย องครักษ์ที่คุ้มกันตาเฒ่านั่นมีฝีมือไม่ธรรมดา ข้าสามารถรักษาชีวิตตนเองไว้เพื่อพบหน้าเจ้าในวันนี้ได้ก็นับเป็นพรจากสวรรค์แล้ว พวกเขาตัดเอ็นร้อยหวายของข้า ทำให้ขยับไม่ได้ และต่อให้เจ้าช่วยข้าชีวิตของข้าได้ ข้าก็จะกลายเป็นคนขาพิการนับจากนี้ไป”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ โจวฉี่เยี่ยนพลันรู้สึกเจ็บปวดเหลือคนา “เสียดายเพียงอย่างเดียว ข้า… ข้าไม่สามารถสังหารตาเฒ่าผู้นั้นเพื่อล้างแค้นให้กับครอบครัวของข้าได้ด้วยมือของข้าเอง!”
เนื่องจากไฟที่เผาผลาญจิตใจ โจวฉี่เยี่ยนพ่นเลือดออกมาอีกคำหนึ่งคำ ทว่าคราวนี้มันเป็นเลือดสีแดงสด
หากหัวใจของเขายังคงถกกระตุ้นด้วยอารมณ์รุนแรงเช่นนี้ต่อไป ชายหนุ่มจะสูญเสียพละกำลังไปอย่างแน่นอน
“พี่ใหญ่โจว ถือว่ามู่เอ๋อร์ขอร้องก็ได้เจ้าค่ะ ท่านอย่าได้โมโหอีกเลย ทักษะทางการแพทย์ของข้า ท่านมิอาจเชื่อใจได้เลยหรือ?”” แน่นอน แม้ว่าเอ็นร้อยหวายของเขาจะถูกตัด ในอนาคตอาจจะมีปัญหาเรื่องการเคลื่อนไหวที่ไม่สะดวก ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องสังหารคน แค่เดินมากหน่อยก็เจ็บแล้ว
แม้ว่านางจะเข้าใจความโศกเศร้าของโจวฉี่เยี่ยนในขณะนี้ ทว่าตราบใดที่ขุนเขายังเขียวขจีอยู่ ยังต้องกลัวว่าจะไม่มีฟืนอีกหรือ [1]?
“แม่นางหลิงเอ่ยได้ถูกต้อง เจ้าควรจะเชื่อในทักษะทางการแพทย์ของนาง นอกจากนี้ หากไม่ใช่เพราะนาง เจ้าคงตายไปนานแล้ว ถ้าเจ้าต้องการขอบใจจริงๆ ในยามนี้ก็ควรให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี อย่าทำให้แม่นางหลิงความลำบากของแม่นางหลิงต้องเสียเปล่า”
ซู่เช่อนำสองมือไพล่หลัง โจวฉี่เยี่ยนไม่เห็นแขนของเขาที่ถูกตนเองกัด แต่เมื่อได้ยินจวิ้นอ๋องน้อยเอ่ยเช่นนั้น แม้อยากจะระเบิดโทสะมากเท่าไร เขาก็เก็บกลั้นเอาไว้ ทว่าความเจ็บปวดบนใบหน้าของเขายังคงชัดเจนนัก
“พี่ใหญ่โจว จงอย่าได้ยอมแพ้ อย่าได้ท้อแท้ ท่านอดทนมานานถึงเพียงนี้ ลงทุนลงแรงไปมากมายถึงขนาดนั้น มิใช่เพียงเพื่อการล้างแค้นหรือ? เป็นท่านราชครูใช่หรือไม่? ข้าจะช่วยท่านเอง ตราบใดที่ท่านสามารถปลุกใจตนเองขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะเป็นร่างกายของท่านหรือศัตรูของท่าน ข้าล้วนสามารถช่วยท่านได้เจ้าค่ะ”
“ไม่ได้!” โจวฉี่เยี่ยนเอาแต่ส่ายศีรษะซ้ำไปซ้ำมา “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า มู่เอ๋อร์ เจ้าแบกรับความเสี่ยงแทนข้าไม่ได้”
เขาได้สูญเสียโจวฉี่รุ่ยซึ่งเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาไปแล้ว และเขาไม่สามารถสูญเสียสตรีที่สำคัญที่สุดได้อีกคน
“ข้างกายราชครูมีจอมยุทธ์ระดับสูงมากมาย แม้ว่าเจ้าจะมีทักษะทางด้านการแพทย์กับยาพิษ แต่เจ้าก็มิใช่คู่ต่อสู้ของเขา มู่เอ๋อร์ ข้าดีใจที่ได้พบเจ้าในชาตินี้ จงอย่าได้สิ้นเปลืองกำลังไปเปล่าๆ เลย แม้ว่าเจ้าจะช่วยข้าไว้ได้ แต่ข้าก็ยังเป็นคนพิการที่มิอาจแก้แค้นได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าช่วยข้าไปเพื่ออันใด”
โจวฉี่เยี่ยนมีใบหน้าที่เศร้าหมองและปรารถนาถึงความตายอย่างสุดหัวใจ ในสายตาของหลิงมู่เอ๋อร์ หัวใจของนางสูญสิ้นความหวังตามไปด้วยตามเช่นกัน ทว่าในยามที่ไม่รู้ตัวนั่นเอง นางพลันนึกถึงสิ่งที่องค์ชายเจ็ดตรัสเมื่อตอนกลางวัน เขามีหลักฐานอยู่ในมือ ตราบใดที่สามารถครอบครองหลักฐานชิ้นนั้นได้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามในการลอบสังหารอีกต่อไป นามไม่เที่ยง วาจาย่อมไม่ราบรื่น เมื่อวาจาไม่ราบรื่น การงานย่อมไม่สำเร็จ แม้ว่าต้องการจะแก้แค้นแล้วอย่างไร ความแค้นของตระกูลโจวในปีนั้นจะยังมิอาจสะสางได้อีกหรือ?
“เป็นเพราะท่านคือสหายของข้า ข้าจะต้องช่วยท่านได้อย่างแน่นอน วางใจเถิด ตราบใดที่ข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้ท่านต้องตาย ส่วนศัตรูของท่าน ความตายของเขาไม่ถือว่าเป็นการแก้แค้น”
น้ำเสียงของหลิงมู่เอ๋อร์เย็นชากระจ่างใส นางเอ่ยจบและไม่รอให้โจวฉี่เยี่ยนได้โต้ตอบก็พลันฝังเข็มเข้าที่จุดนิทราของเขาทันที
หลังจากรักษาบาดแผลที่เกิดจากความตื่นตระหนกอีกครั้ง และมั่นใจว่าชีวิตของเขาจะไม่ตกอยู่ในอันตราย หลิงมู่เอ๋อร์ก็มอบเขาให้กับซู่เช่อ “ลำบากจวิ้นอ๋องน้อยจัดคนมาเฝ้าเขาแล้ว ข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็จะกลับมาเจ้าค่ะ”
“เจ้าจะไปที่ใด?”
ซู่เช่อไม่คิดว่าความเร็วของนางจะมีมากได้ขนาดนี้ เพราะทันทีที่เขาพูดจบ ร่างของนางก็หายวับไปกับแสงจันทร์ทันที
ยามที่หลิงมู่เอ๋อร์เดินทางมาถึงที่พักในเฉาหยาง ท้องฟ้าก็เพิ่งจะทอแสงสว่างพอดี เพราะหลิงจื่อเซวียนได้กำชับทุกคนไว้ก่อนหน้านี้ว่าหากนางมา ไม่มีอนุญาตให้ผู้ใดเหนี่ยวรั้งนางไว้ ดังนั้นสาวใช้จึงพานางตรงไปที่ห้องโถงด้านหน้า
นางไม่เคยมาเร็วขนาดนี้มาก่อน หลิงจื่อเซวียนคิดว่านางเจอปัญหาร้ายแรงจึงรีบออกมาพบโดยไม่แม้แต่จะแต่งตัวให้ดี
“มู่เอ๋อร์ เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?”
เจาหยางปิดปากหาว พลางกุมหน้าท้องขณะที่เดินออกไปอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นท่าทางนี้ หลิงมู่เอ๋อร์อยากจะถามแต่ไม่แน่ใจ หลิงจื่อเซวียนเห็นความสงสัยของนางจึงพยักหน้า
“ข้าเพิ่งวางแผนที่จะพาเจาหยางไปหามู่เอ๋อร์ที่โรงหมอในวันนี้พอดี มู่เอ๋อร์ก็มา ไม่ผิด เจาหยางมีเรื่องน่ายินดีแล้ว”
เรื่องแรกเขาสอบผ่านการคัดเลือกขุนนาง ยามนี้ก็มีเรื่องน่ายินดี หากว่าท่านพ่อท่านแม่ทราบเข้า ไม่รู้เลยว่าจะยินดีเพียงใด
หลิงมู่เอ๋อร์ซึ่งมีใบหน้าเศร้าหมองพลันแย้มริมฝีปากยิ้มทันที “ยินดีด้วยเจ้าค่ะท่านพี่ใหญ่ ขอแสดงความยินดีกับพี่สะใภ้ด้วย”
“ยินดีอันใดกัน มิใช่ว่าต้องขอบใจเจ้าที่ยอมสละเวลามา ไม่อย่างนั้น ท้องที่ใหญ่ขึ้นก่อนแต่งเช่นนี้ของข้า คงพาให้ขายหน้าแล้ว”
เจาหยางรีบดึงนางไปที่เก้าอี้ข้างๆ ก่อนจะให้นางนั่งลงดีๆ “สาวใช้บอกว่าเจ้ารีบร้อนยิ่งนัก ที่บ้านเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ? ชีพจรของข้าไม่ใช่เรื่องรีบร้อน”
หลิงมู่เอ๋อร์กวาดสายตาไปมองหลิงจื่อเซวียน “ท่านพี่ใหญ่ ข้ามีคำวอนขอจากใจ ไม่รู้ว่าท่านจะเต็มใจช่วยหรือไม่?”
“มู่เอ๋อร์พูดเรื่องอันใด เจ้าเป็นน้องสาวแท้ๆ ของข้า เรื่องของเจ้าก็เป็นเรื่องของข้า”
เมื่อตระหนักได้ว่านางต้องการคุยกับเขาตามลำพัง หลิงจื่อเซวียนจึงขอให้เจาหยางกลับไปพักผ่อนก่อน ก่อนที่เขาจะพาหลิงมู่เอ๋อร์ไปที่ห้องโถงด้านข้าง
“ดูใบหน้าที่ซีดเซียวนี่ของเจ้าสิ เมื่อคืนเจ้าเจอโรคภัยไข้เจ็บที่รักษายากอะไรหรือ?”
“เจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ไม่เคยคิดที่จะปิดบังเขาอยู่แล้ว “เป็นพี่ใหญ่โจว เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ชีวิตของเขาถูกแขวนไว้บนเส้นด้าย ยามจะเป็นหรือตายก็สุดรู้ แต่ว่าท่านพี่ไม่ต้องรีบตอบรับข้า ท่านฟังข้ากล่าวให้ละเอียดเสียก่อน”
หลังจากอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้หลิงจื่อเซวียนฟังโดยละเอียดแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ก็กลัวว่าเขาจะตอบโดยไม่ไตร่ตรองเลยสักนิด นางจึงรีบอธิบายว่า “พี่ชาย ข้าไม่ได้มาหาท่านเพราะให้ท่านเห็นแก่ฐานะพี่ชาย ข้าต้องการให้ท่านคิดอย่างจริงจัง คิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากท่านคิดว่าไม่เป็นไรก็ช่วยโจวฉี่เยี่ยน หากท่านคิดไม่ว่าไหว ข้าก็ไม่โทษท่าน ให้มันเป็นชะตากรรมของพี่ใหญ่โจว”
“เจ้าเด็กโง่”
หลิงจื่อเซวียนลูบผมยาวของนางอย่างอ่อนโยน “เจ้ารีบมาหาข้าถึงอย่างนี้ ข้าจะไม่รีบให้คำตอบเจ้าได้อย่างไร มิเช่นนั้นจะไม่เป็นการขัดแย้งกันเองหรือ? พี่ใหญ่โจวอาศัยอยู่ในครอบครัวตระกูลหลิงของเรามานานกว่าหนึ่งปี เขามีน้ำใจต่อข้า แล้วข้าจะปฏิเสธที่จะช่วยเขาได้อย่างไร?”
“ทว่าทันทีที่ท่านติดตามองค์ชายเจ็ด จะเท่ากับว่าต้องทรยศองค์ชายหก ท่านจะต้องถูกตามสังหารอย่างแน่นอน พี่ชาย ท่านคิดเรื่องนี้ดีแล้วหรือ?”
“ที่จริงวันนี้แม้เจ้าจะไม่มา แต่ข้าก็วางแผนที่จะไปเข้าเฝ้าองค์ชายเจ็ดอยู่แล้ว ในช่วงเวลานี้ข้าคิดอย่างรอบคอบแล้ว ถ้าเปรียบเทียบองค์ชายหกกับองค์ชายเจ็ดจริงๆ การได้ติดตามองค์ชายเจ็ดย่อมมีอนาคตที่สดใสกว่า” หลิงจื่อเซวียนพูดอย่างจริงจัง “มู่เอ๋อร์ เจ้าจำสิ่งที่เจ้าถามข้าในตอนนั้นได้หรือไม่?”
หลิงมู่เอ๋อร์มิได้กล่าวอันใด นางมีท่าทางอย่างคนที่ตั้งใจฟัง
“เจ้าถามข้าว่า ข้าไม่อยากทำในเรื่องที่ตัวเองต้องการจะทำหรือ?” ริมฝีปากของเขาหยักโค้ง “ข้าก็เหมือนกับเจ้า ต้องการแสดงความรู้ความสามารถของตนเอง ท่านอาจารย์บอกว่าข้ามีพรสวรรค์ ดังนั้นข้าจึงไม่อยากจะให้มันเสียเปล่า ในเมื่อข้ายินดี แล้วเหตุใดข้าจะไม่นั่งในตำแหน่งที่ข้าอยากนั่งเล่า?”
เขาวิเคราะห์อย่างระมัดระวัง น้ำเสียงของพี่ชายอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง หลิงมู่เอ๋อร์ตระหนักได้ทันที ไม่น่าแปลกใจที่เหตุใดเจาหยางถึงได้วิ่งไล่ตามจีบเขาทั้งวัน พี่ชายยามนี้หล่อเหลาและมีเสน่ห์มากจริงๆ
“องค์ชายเจ็ดมีพรสวรรค์ในด้านนี้ เขาต้องการข้า และข้าก็ต้องการความช่วยเหลือจากเขาเช่นกัน ไม่ต้องกังวล มู่เอ๋อร์ จงฝากเรื่องนี้ไว้กับข้า”
หลิงจื่อเซวียนไปที่จวนขององค์ชายเจ็ดในวันนั้น ไม่รู้ว่าทั้งสองคนคุยกันนานแค่ไหน คนที่ออกไปตั้งแต่เช้าก็ไม่กลับมาจนกระทั่งเย็น
เพื่อไม่ให้คนของจวนราชครูสังเกตเห็น หลิงมู่เอ๋อร์จึงรออยู่ที่โรงหมอ รอจนกระทั่งหลิงจื่อเซวียนส่งหลักฐานที่เกี่ยวกับการสังหารตระกูลโจมมาถึงมือ นางก็เกือบจะร้องไห้ออกมาด้วยความซาบซึ้งใจ “ขอบคุณท่าน พี่ชาย”
“เด็กโง่ พี่ต่างหากที่ต้องขอบคุณเจ้า” หลังจากผ่านวันที่เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน หลิงจื่อเซวียนรู้สึกว่าทุกอย่างคุ้มค่าเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของหลิงมู่เอ๋อร์ “ขอบคุณมู่เอ๋อร์ของข้าที่ในที่สุดก็ให้โอกาสข้าได้ปกป้องเจ้า เจ้ารู้หรือไม่? เจ้าเป็นคนที่คอยค้ำจุนครอบครัวนี้มามากกว่าสองปี ในฐานะพี่ชาย ข้ารู้สึกโทษตัวเองเหลือเกิน ยามนี้ข้าสามารถช่วยเจ้าได้แล้ว คราวหน้าก็จงอย่าลังเลกับเรื่องแบบนี้ เข้าใจหรือไม่?”
หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้าอย่างหนักแน่น “เช่นนั้นพี่ชายก็ควรระวังให้มากนะเจ้าคะ” จากนั้นนางก็ยื่นกล่องผ้าให้แก่เขา “ยาเหล่านี้เป็นยาเพิ่มความแข็งแรงในทารกในครรภ์และดีต่อสุขภาพ ให้เจาหยางกินวันละเม็ด รับประกันว่าในเก้าเดือนนี้ นางจะคลอดลูกชายตัวขาวๆ อ้วนๆ ออกมาแน่นอน”
หลังจากที่หลิงจื่อเซวียนจากไป หลิงมู่เอ๋อร์ก็เก็บหลักฐาน และไม่รีบร้อนไปที่จวนจวิ้นอ๋อง แต่กลับนัดพบกับองค์ชายเจ็ดก่อน
เมื่อเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขององค์ชายเจ็ด หลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกไม่ใครจะสบายใจนัก “ใครๆ ก็บอกว่าองค์ชายหกจะแก้แค้นและจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ข้าคิดว่าประโยคนี้เหมาะกับองค์ชายเจ็ดมากกว่า”
“เจ้าไม่ต้องเกลียดข้ามากขนาดนี้ คนที่ไม่ทำเพื่อตนเองถึงจะเรียกว่าโง่เขลา นอกจากนี้ เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าหลิงจื่อเซวียนอยู่ใต้อำนาจของข้าเพื่อเจ้า”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่อนุญาตให้ใครก็ตามมาใส่ร้ายพี่ชายของนาง “ขอให้องค์ชายเจ็ดอย่าได้คิดอันใดสกปรก มิฉะนั้นข้าอาจจะกลับคำไม่ตกลง พี่ชายของข้ารักข้า หากเขาคิดเสียใจในภายหลังกลับคำขึ้นมา สิ่งที่องค์ชายเจ็ดทำก็ถือว่าเสียเปล่าแล้ว”
อย่างไรก็ตามตอนนี้ผู้คนนั้นอยู่ข้างเขาแล้ว องค์ชายเจ็ดก็ไม่กลัวคำขู่ของหลิงมู่เอ๋อร์ “เจ้าเป็นคนเดียวที่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยที่องค์รัชทายาทจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ครอบครองเจ้า นิสัยของเจ้าน่าดึงดูดยิ่งนัก บอกข้าสิ เจ้าเรียกข้าออกมา มีเรื่องอะไรจะแลกเปลี่ยนหรือ?”
“ในเมื่อพี่ชายของข้าเป็นของท่านแล้ว ข้าหวังว่ายามคับขันท่านจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเขา ไม่ใช่แค่เขาแต่รวมถึงเจาหยางด้วย”
องค์ชายเจ็ดไม่แปลกใจกับคำพูดของนาง “แค่นี้หรือ?”
เขาพ่นเสียงหัวเราะเย็นชา วางมือไพล่หลัง และให้สัญญากับนางอย่างเคร่งขรึมก่อนจากไปว่า “จงวางใจ ตราบใดที่เขายังเป็นของข้า ข้าจะไม่ยอมให้ใครก็ตามมาทำร้ายเขา ทันทีที่เขาเดินออกจากจวนองค์ชายเจ็ดของข้า ข้าก็สั่งการให้องครักษ์เงาคอยคุ้มกันเขาอยู่เสมอแล้ว แม้แต่พี่หก เขาก็ไม่อาจทำอะไรพี่ชายของเจ้าได้”
เชิงอรรถ
[1] ตราบใดที่ขุนเขาเขียวขจียังอยู่ อย่าได้กลัวไม่มีฟืน (留 得青山在,不怕没柴烧) หมายถึง ตราบใดมีชีวิต ย่อมต้องมีความหวัง