เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 7 ตอนที่ 184 เปิดโปง
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 7 ตอนที่ 184 เปิดโปง
เล่มที่ 7 ตอนที่ 184 เปิดโปง
หากดวงตาของซู่เช่อสามารถสังหารคนได้ เขารับรองว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะต้องเต็มไปด้วยรูพรุน
“หากจวิ้นอ๋องน้อยรู้สึกอับอาย เช่นนั้นก็เหลือเพียงแค่ข้าที่ต้องทำด้วยตนเองแล้ว อย่างไรเสียข้าก็เป็นแพทย์ประจำตัวของเขา” หลิงมู่เอ๋อร์เห็นเปลวไฟเล็กๆ ลุกโชนอยู่ในใจของเขา นางจึงทำการราดน้ำมันเพิ่ม ยามที่เอ่ยพูดก็ประคองถ้วยยาขึ้นทำท่าจะดื่มลงไป
“รนหาที่ตาย!”
แม้จะรู้ว่าหลิงมู่เอ๋อร์อาจจะจงใจกลั่นแกล้งเขา แต่เขาก็ยังโกรธจนทนแทบไม่ไหวอยู่ดี
ยามที่มองไปที่โจวฉี่เยี่ยนซึ่งนอนอยู่บนเตียงและไม่รู้เรื่องนี้ เปลวไฟเล็กๆ ของซู่เช่อก็ยิ่งมอดไหม้ลามเป็นทุ่งหญ้ากว้าง “หากเจ้ากล้าแตะต้องเขาแม้แต่นิดเดียวจริงๆ ล่ะก็ ข้ารับประกันได้ว่าจะรีบโยนเขากลับเข้าไปในจวนราชครูทันที”
หลิงมู่เอ๋อร์ยามนี้ถึงได้ให้ความสนใจกับคำสำคัญที่ว่า ‘ราชครู’
พระชายาแห่งองค์ชายเจ็ดมิใช่หลานสาวของราชครูหรือ?
นางอยากจะเปิดปากถาม แต่เมื่อเห็นว่าสาวใช้ยังอยู่ข้างหลัง หญิงสาวจึงอดทนเอาไว้ ก่อนจะหยิบกระบอกฉีดยาออกมาจากกล่องยา
ไม่ผิด นี่คือสิ่งประดิษฐ์ชิ้นล่าสุดของนาง นางค้นพบว่าโรคของผู้ป่วยจำนวนมากไม่สามารถรักษาได้ด้วยยา และการฉีดยาจะทำให้อาการป่วยของผู้ป่วยหายเร็วขึ้นมาก
ซู่เช่อเห็นนางลังเลอึกอักที่จะพูด ก็รู้ได้ทันทีว่านางมีเรื่องที่ต้องการจะเอ่ย แม้ว่านางจะหาข้ออ้างเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของสาวรับใช้ก็ตาม
ซู่เช่อมองดูนางป้อนยาโจวฉี่เยี่ยยนด้วยสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนอย่างอยากรู้อยากเห็น เขาชี้ไปที่ของสิ่งนั้น “นี่คืออะไร?”
“กระบอกฉีดยา ไม่เพียงแต่สามารถใช้ป้อนยาและน้ำให้กับผู้ป่วยได้เท่านั้น แต่ยังสามารถสอดเข็มเพื่อฝังเข็มให้แก่คนป่วยได้อีกด้วย นั่นช่วยลดความลำบากใจในการป้อนยาแบบปากต่อปากของจวิ้นอ๋องน้อยได้ดี จวิ้นอ๋องน้อยมิใช่ว่าต้องขอบคุณข้าหรือเจ้าคะ?” นางเอ่ยพูดติดตลก ตั้งแต่เข้าประตูมาจนถึงตอนนี้ ในที่สุดก็ผ่อนคลายลงได้เสียที
หลังจากที่นางใช้ยาสมุนไพรจากห้วงมิติวิเศษกับโจวฉี่เยี่ยนแล้ว ในตอนนี้ ชีพจรของเขาก็คงที่ขึ้นแล้ว แม้ว่าสีหน้าของนางจะสงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง แต่หัวใจยังคงแขวนอยู่ในลำคอ วิตกกังวลยิ่งนัก
ร่างกายของโจวฉี่เยี่ยน เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำยกเว้นบริเวณใบหน้า หากเขาไม่ได้พบนาง ชายหนุ่มคงจะได้เข้าเฝ้าท่านพญายมไปแล้ว
“ใช่ วันนี้ข้าก็ได้เรียนรู้เช่นกัน หลังจากนี้หากว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บ ข้าจะใช้วิธีนี้ป้อนยาให้แก่เจ้า”
ก่อนที่หลิงมู่เอ๋อร์จะโกรธ ซู่เช่อก็ยื่นผ้าขนหนูเพื่อซับเหงื่อให้นาง “เมื่อครู่นี้เจ้าอยากจะถามอะไร?”
คิดไม่ถึงว่าแม้แต่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ก็มิอาจรอดพ้นสายตาของเขาไปได้ ดังนั้นหลิงมู่เอ๋อร์ก็ไม่เกรงใจแล้ว “พระชายาแห่งองค์ชายเจ็ดคือหลานของราชครู? จวิ้นอ๋องน้อยรู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดพี่ใหญ่โจวถึงต้องการลอบสังหารท่านราชครูด้วย? ท่านรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างจวนโจวกับจวนราชครูเมื่อปีนั้นหรือไม่?”
“ไม่ผิด องค์ชายเจ็ด หลินเล่อเซิงเป็นหลานสาวคนโปรดของท่านราชครู แต่ข้าไม่รู้ว่าตกลงแล้วเขาเป็นศัตรูของโจวฉี่เยี่ยนหรือไม่ เรื่องที่เกิดขึ้นกับจวนตระกูลโจวในปีนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับจวนราชครู ทว่ายามที่มองให้ละเอียดในตอนนี้ การคาดเดาของเจ้าน่าจะถูกต้อง”
ซู่เช่อเอ่ยต่อ “ในตอนนั้น ตระกูลโจวถูกประหารชีวิตตัดศีรษะทั้งตระกูล แม้ว่าคนที่กล่าวโทษตระกูลโจวในตอนแรกจะเป็นขุนนางกรมพิธีการ ทว่าหลังจากที่ข้าตรวจสอบก็พบว่าเป็นศิษย์คนสุดท้ายของท่านราชครู”
มิน่าเล่า โจวฉี่เยี่ยนถึงค้นหาศัตรูไม่พบมาตลอด ที่แท้แล้วก็อยู่ใต้ตำตอนี่เอง
มิน่าเล่า ในมือขององค์ชายเจ็ดถึงมีหลักฐานการฆ่าล้างตระกูลโจว ที่แท้แล้วเขาก็เป็นศาลาใกล้น้ำ ย่อมต้องเจอเบาะแสก่อน
“เจ้ากำลังทำอันใดอีก?”
เมื่อเห็นว่าหลิงมู่เอ๋อร์กำลังหยิบสิ่งของบางอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนออกมา ซู่เช่อก็ก้าวเข้าไปช่วย
“การห้ามเลือดและการฝังเข็มเพียงอย่างเดียวไม่อาจกำจัดพิษได้ทั้งหมด สิ่งที่สำคัญที่สุดในคืนนี้คือเกรงว่าเขาจะมีไข้ ดังนั้นตอนนี้เราต้องให้ยาต้านการอักเสบแก่เขา”
นางพูดไปพลาง หาเส้นเลือดของเขาไปพลาง หลังจากนั้นก็ใช้เข็มแหลมทิ่มเข้าไป คนบนเตียงคร่ำครวญขึ้นมาหนึ่งเสียง ไม่นานก็หลับไปอีกครั้ง
หลิงมู่เอ๋อร์ป้อนยาให้เขาอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดสามขวด หากอิงตามความเร็วนี้ กว่าจะเสร็จคงเป็นเวลาดึกดื่นแล้ว
“เจ้ากำลังเทยาลงในไปในเส้นลมปราณพิเศษทั้งแปดเส้นหรือ?” ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความสงสัยของซู่เช่อ ราวกับศิษย์ที่กำลังศึกษาจริงจัง
“ท่านจะเข้าใจเช่นนั้นก็ไม่ผิด” นางวางขวดยาอีกสองขวดอย่างระมัดระวัง “ดูเหมือนว่าคืนนี้ข้าจะต้องค้างอยู่ที่นี่ชั่วคราว จวิ้นอ๋องน้อยคงไม่ว่ากระไร”
ครั้งนี้สีหน้าของนางเคร่งเครียดจริงจังเป็นอย่างยิ่ง นางไม่ได้จงใจแกล้งเขาอีกต่อไป ซู่เช่อเองก็ตอบรับทันที “เจ้าต้องการความช่วยเหลืออันใดอีกหรือไม่?”
“จะผ่านไปได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับคืนนี้ ตราบใดที่เขาไม่มีไข้ในตอนดึก ทั้งหมดจะกลับเป็นปกติดี ดังนั้นแล้วต้องมีคนคอยเฝ้าดูแลเขาอยู่ตลอดเวลา อีกอย่างคือต้องมีคนคอยเปลี่ยนยาให้เขา” หลิงมู่เอ๋อร์ครุ่นคิด นางรู้สึกไม่ไว้ใจหากจะฝากเรื่องนี้ไว้กับใคร “จวิ้นอ๋องน้อยก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ มู่เอ๋อร์ต้องขอบคุณจวิ้นอ๋องน้อยสำหรับความเมตตาในวันนี้แทนพี่ใหญ่โจวแล้ว”
“เขาต่างหากที่ต้องขอบคุณเจ้า เจ้ากับเขาไม่เกี่ยวข้องกัน แล้วเจ้ามีฐานะอันใดที่ต้องขอบคุณข้าแทน?” ซู่เช่อไม่ยอมรับคำขอบคุณของนาง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คืนนี้ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเอง”
ขณะที่เขาพูดนั้น เขาก็นั่งห่างออกไปในมุมที่อยู่ตรงข้ามกับนาง ไม่รบกวน ไม่พูดมาก ได้แต่มองดูเงียบๆ
เดิมทีหลิงมู่เอ๋อร์ต้องการจะบอกเขาว่านางรู้สึกไม่สบายใจที่ต้องถูกจับจ้องมองตาม แต่เมื่อเห็นว่าซู่เช่อตั้งใจซ่อนตัวให้ไกล นางจึงไม่คิดจะเกรงใจอันใด
เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วนัก กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว
บ่าวรับใช้นำอาหารมาให้ หลิงมู่เอ๋อร์ไร้ซึ่งความอยากอาหาร ไม่ต้องการกิน เมื่อเห็นว่าซู่เช่อกำลังจะระเบิดโทสะ นางจึงอธิบายด้วยรอยยิ้มตาหยีว่า “ข้าเงมีโรคประจำตัวเล็กน้อย หากมีคนไข้นอนอยู่ใต้จมูกของข้า ข้าจะไม่มีแม้แต่ความอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าจะเขาหลับใหลอยู่ก็ตาม ดังนั้นจวิ้นอ๋องไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับข้า เชิญท่านทานให้มากๆ ”
คำว่า ‘ท่าน’ ของนางทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองทันที
แท้จริงแล้วในใจของนาง หาได้มีความสนิทชิดเชื้อกับเขาเลยสักนิดไม่?
ซู่เช่อรู้สึกอิจฉาโจวฉี่เยี่ยนเป็นอย่างยิ่ง โจวฉี่เยี่ยนเก็บซ่อนความรู้สึกของตนเพื่อแลกมากับการดูแลอย่างเอาใจใส่ของหลิงมู่เอ๋อร์ ทว่าตัวเขาเองกลับไม่เสียใจในภายหลัง เพราะว่าเขาเชื่อมั่นจากใจจริงว่าหากวันเวลาผ่านไปจะต้องได้รับความสนใจจากสตรีคนนี้อย่างแน่นอน แม้ว่าจะเป็นเพียงในนามของสหายก็ตาม ซู่เช่อมิได้บังคับ ทว่าหากนางไม่กิน เขาก็ไม่มีความอยากอาหารเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงโบกมือเป็นสัญญาณให้คนรับใช้นำอาหารออกไป
เขานั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้ มือซ้ายวางอยู่บนโต๊ะ ข้อมือวางเท้าศีรษะไว้ สายตาจับจ้องไปทางหลิงมู่เอ๋อร์ ก่อนจะผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
ยามที่ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เวลาก็ล่วงเลยไปยามดึกดื่นค่อนคืนแล้ว มือลดลงพลันชนเข้ากับถ้วยชาอย่างไม่ทันระวัง เมื่อตระหนักได้ว่าอาจรบกวนหญิงสาวที่หลับอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาจึงรีบร้อนคว้าถ้วยชาเอาไว้มั่น ในช่วงเวลานั้นแขนของเขาพลันกระแทกกับมุมโต๊ะ เขาอดทนต่อความเจ็บปวด ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ ออกไป
ชายหนุ่มเดินอย่างระมัดระวังไปข้างกายของหลิงมู่เอ๋อร์ นางผล็อยหลับไปบนเตียงของโจวฉี่เยี่ยน ท่าทางว่านอนสอนง่ายราวกับแมวตัวน้อย คิ้วเรียวของนางขมวดแน่น หญิงสาวนอนหลับไม่สนิท มือข้างหนึ่งจับข้อมือของโจวฉี่เยี่ยนไว้เพื่อที่จะสามารถจับชีพจรของเขาได้ตลอดเวลา
มิใช่เป็นแค่หมอที่มีความสามารถทางการแพทย์หรอกหรือ จะทำงานหนักขนาดนี้เพื่ออันใด?
ซู่เช่อรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย เขาหยิบเสื้อคลุมมาสวมให้นาง การเคลื่อนไหวนุ่มนวลนักเพราะกลัวว่าจะทำให้นางตื่น ทว่าผู้ใดจะรู้ว่านางก็ยังตื่นอยู่ดี
“หากว่าข้าเองก็ได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนี้เช่นกัน เจ้าจะเฝ้าข้าทั้งคืนโดยไม่หลับไม่นอนเช่นนี้หรือไม่?”
“จวิ้นอ๋องน้อยก็ลองบาดเจ็บสาหัสสักหน่อยก็จะรู้ได้เอง” หลิง มู่เอ๋อร์ขยี้ตาที่เพิ่งตื่นจากการหลับใหล นางรับรู้ในวินาทีต่อมาว่าแขนที่นางเพิ่งปล่อยไปนั้นร้อนจัด
“ไม่ดีแล้ว สิ่งที่น่ากังวลที่สุดยังคงเกิดขึ้นอยู่ดี”
ร่างกายของโจวฉี่เยี่ยนนั้นร้อนดั่งไฟเผา หากเขายังเป็นแบบนี้ต่อไป ความร้อนจะทำลายสมองของเขา
หลิงมู่เอ๋อร์รีบหยุดการให้น้ำเกลือทันที เนื่องจากว่าเขามีไข้ นั่นย่อมหมายความว่ายาไร้ผล ในห้องไม่มีใครอื่นอีก นางจึงรีบขอให้ซู่เช่อไปเอาอ่างน้ำเย็นมาเพื่อทำให้ร่างกายของคนป่วยเย็นลง
เกือบชั่วครู่ต่อมา โจวฉี่เยี่ยนซึ่งกำลังหลับสนิทก็เริ่มสั่นกระตุก ร่างกายของเขาสั่นเทาไม่หยุด
“จับเขาไว้” ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน หลิงมู่เอ๋อร์ตะโกนอย่างเร่งรีบ นางตั้งใจจะเอาเข็มเงินออกและฝังเข็มให้เขา
“เหตุใดจู่ๆ ถึงเป็นเช่นนี้ไปได้?” ซู่เช่อคิดว่าตนเองมีพละกำลังแรงแล้ว แต่เขาไม่สามารถจับเอาไว้ได้เลย เขากลัวว่าโจวฉี่เยี่ยนจะทำให้หลิงมู่เอ๋อร์บาดเจ็บ ร่างกายครึ่งหนึ่งของเขาจึงบังหน้านางเอาไว้
ผลปรากฏว่า อาการป่วยหนักของโจวฉี่เยี่ยนพลันระเบิดออกมา จู่ๆ เขาก็เบิกตาถลน อ้าปากที่แดงก่ำ ทำท่าจะกัดลง
เป้าหมายของเขาก็คือหลิงมู่เอ๋อร์ที่กำลังฝังเข็มให้กับเขา ทันทีที่ซู่เช่อเห็นเข้า เขาก็ยื่นมือออกไปเพื่อขัดขวางโดยไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นใด
เดิมทีโจวฉี่เยี่ยนไม่รู้ว่าตัวเองแข็งแกร่งเพียงใดยามที่เขาป่วยหนัก เห็นเพียงซู่เช่อขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวด บนหน้าผากของเขาปรากฏเม็ดเหงื่อไหลหยดทันที
หลิงมู่เอ๋อร์ตกใจเป็นอย่างยิ่ง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป โจวฉี่เยี่ยนไม่ได้รับการช่วยเหลือ แขนของจวิ้นอ๋องน้อยที่ยังคงถูกกัดก็คงจะพิการแล้ว นางไม่สนใจแล้วว่าซู่เช่อจะล่วงรู้ความลับของนางหรือไม่ หญิงสาวพลันหยิบไม้กระบองออกมาจากมิติวิเศษก่อนจะทุบลงไปที่ศีรษะของโจวฉี่เยี่ยนอย่างรุนแรง
ผู้ป่วยล้มลงและเข้าสู่อาการหมดสติ ปากของเขาย่อมคลายออก ในยามนั้นแขนของซู่เช่อมีเลือดไหลหยดซึม บาดแผลช่างน่าตกใจนัก
“ท่านโง่ใช่หรือไม่ คนที่เขาต้องการจะกัดก็คือข้า ท่านจะพุ่งเข้ามาเพื่ออันใด?”
หลังจากที่ทำให้โจวฉี่เยี่ยนสงบลงได้แล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ก็รีบพันผ้าพันแผลเข้าที่บาดแผลของซู่เช่อทันที ไม่รู้ว่าซู่เช่อจะติดพิษไปด้วยหรือไม่ “ท่านต้องรู้ก่อนว่ายามนี้เขาเหมือนหมาบ้า พิษของเขาเองก็สามารถแพร่ติดต่อกันได้ หากว่าท่านถูกพิษไปด้วยก็นับว่าซวยแล้ว”
“ก็เพราะคนที่เขาต้องการจะกัดคือเจ้าอย่างไรเล่า ข้าถึงได้พุ่งเข้าไป หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ข้าก็ไม่ทำ เจ้าคิดว่าข้ามีอายุยืนยาวนับพันปีหรือ?” เขาพูดอย่างไม่ใส่ใจ ทว่าหัวใจของหลิงมู่เอ๋อร์กลับอบอุ่นยิ่งนัก ทว่าไม่นานก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
“กินเจ้านี่เข้าไปเสีย หวังว่าพิษของเขาจะไม่ติดต่อไปถึงท่าน” นางหยิบขวดยาออกมาจากแขนเสื้อ
ซู่เช่อไม่ได้ยื่นมือออกไปรับ แต่กลับอ้าปากเป็นสัญญาณให้นางป้อน เดิมทีหลิงมู่เอ๋อร์ไม่เต็มใจ ทว่ามือของเขาเปรอะเลือด นางจึงค่อยๆ ป้อนยาเข้าไปในปากของเขาด้วยความอ่อนโยน อีกทั้งยังป้อนน้ำให้เขาด้วย
จากมุมหางตา ซู่เช่อมองเห็นไม้กระบองบนพื้นที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาจากอากาศ คิ้วของชายหนุ่มขมวดแน่นยิ่งขึ้น
“เหตุใดจู่ๆ เขาถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?”
นางจับสังเกตเห็นถึงแววตาที่งุนงงยามที่เห็นไม้กระบองของซู่เช่อ ทว่าสุดท้ายแล้วเขาก็มิได้เอ่ยถามอันใด หลิงมู่เอ๋อร์ถอนหายใจ
“อาจเป็นเพราะพิษไม่ได้ถูกกำจัดออกไปจนหมด ยามนี้เขามีไข้ขึ้นสูง ข้าไม่รู้ว่าเขาจะทนได้นานแค่ไหน สิ่งที่ข้าสามารถทำได้ล้วนทำไปจนหมดสิ้นแล้ว ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเขาแล้ว”
หลิงมู่เอ๋อเป็นเหมือนดอกเหม่ยกุ้ยที่เหี่ยวเฉา สูญเสียพลังงานทั้งหมดในชั่วพริบตา
ยามนี้ซู่เช่อรู้แล้วว่าเหตุใดคนที่มีความรักถึงได้โง่เขลา และเพราะเหตุใดเพื่อสตรีที่รักแล้ว พวกเขาถึงกับยอมหักใจทิ้งแม้แต่ศีรษะของตนเอง
เขาชอบที่จะเห็นหลิงมู่เอ๋อร์เบิกบาน การที่ได้เห็นนางไม่มีความสุขทำให้เขารู้สึกอึดอัด ชายหนุ่มหันมองไปรอบๆ ตัวของโจวฉี่เยี่ยน ก่อนจะก้มศีรษะลงเพื่อทำอะไรบางอย่าง หลิงมู่เอ๋อร์รีบร้อนหยุดเขาทันที
“ท่านกำลังจะทำอะไร?”
“ช่วยเขาดูดพิษออกมา ทำเช่นนี้จะได้รู้ว่าพิษคืออะไร แล้วจะได้วิเคราะห์พัฒนาสูตรยาถอนพิษ”
จวิ้นอ๋องน้อยผู้สูงส่งสง่างาม เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถเมินเฉยต่อเรื่องนี้ได้ ไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง ทว่ายามนี้เขากลับช่วยนางจนถึงจุดนี้ ในใจของหลิงมู่เอ๋อร์ซาบซึ้งยิ่งนัก ทว่านางกลับยิ้มก่อนส่ายศีรษะ “ไม่มีประโยชน์ พิษได้เข้าสู่อวัยวะภายในของเขาหมดแล้ว แม้ท่านช่วยเขา นั่นก็มีแต่จะเป็นการทำร้ายตัวท่านเองเท่านั้น”
“ดังนั้น ตอนนี้เราทำได้แค่ดูเขาตายอย่างนั้นหรือ?”
ซู่เช่อเอ่ยถามออกมาเช่นนี้ ทว่าแท้จริงแล้วข้อความในใจของเขาก็คือ “จะให้ข้ายืนดูเจ้าเศร้าโศกเช่นนี้หรือ?”
เขาไม่อาจทำได้
“เมื่อครู่ข้าได้ปรับอารมณ์ของเขาให้คงที่แล้ว ภายในสามวันนี้จะไม่มีอันตรายใดๆ อีก ข้าจะพยายามคิดหาวิธีให้ได้”
หลิงมู่เอ๋อร์ลุกขึ้น วางแผนที่จะจากไป ยามนี้นางต้องกลับไปที่มิติวิเศษเพื่อศึกษาทักษะในทางการแพทย์ให้ดี
นางเชื่อเสมอว่าในเมื่อโลกนี้มียาพิษก็ต้องมียาถอนพิษ ทว่าวินาทีที่นางหันกายกลับมา คนที่นอนอยู่บนเตียงกลับตื่นขึ้นมาแล้ว
“มู่ มู่เอ๋อร์…”