เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 6 บทที่ 176 อันตราย
เล่มที่ 6 บทที่ 176 อันตราย
“พอเถอะ ผู้อื่นไม่รู้ เจิ้นยังจะไม่เข้าใจความหมายของเจ้าอีกหรือ? แม้เจิ้นจะไม่รู้ว่าเจ้าไปผิดใจกับหลิงมู่เอ๋อร์ผู้นั้นได้อย่างไร แต่เรื่องนี้เป็นเหลียนเอ๋อร์ที่ผิดก่อนจริงๆ เจ้าจงใจส่งคนเข้าไปในคุกหลวง โทษทัณฑ์ที่ควรได้รับคนเขาก็รับไปแล้ว ยังจะโมโหอะไรกับดรุณีน้อยผู้หนึ่งอีก”
ฮ่องเต้ด้านหนึ่งตรัส อีกด้านก็เสด็จลงจากบัลลังก์มังกร หวางโฮ่วรีบเข้าไปประคองพระองค์ “ฝ่าบาทก็ทรงทราบดี ที่เฉินเชี่ยอยากถามมิใช่สิ่งนี้”
ในครั้งแรกที่เห็นหลิงมู่เอ๋อร์ถูกฮ่องเต้ออกราชโองการเรียกตัวเข้าวัง นางก็ให้คนไปตรวจสอบแล้ว และได้โวยวายกับฮ่องเต้ไปรอบหนึ่งแล้วเช่นกัน ฮ่องเต้ทนความดื้อดึงของนางไม่ไหวจึงทรงอธิบายต่อนางตามจริง ที่แท้ ทุกสิ่งก็เพื่อซั่งกวนเซ่าเฉิน
นางโมโหอย่างมาก ผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์หลวงผู้หนึ่งเหตุใดจึงได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้เช่นนี้ นางคิดอยู่ทั้งคืนสุดท้ายก็คาดเดาอย่าบ้าบิ่น คิดไม่ถึงว่าจะถูกนางเดาถูกเข้าให้แล้ว
สตรีนางนั้นได้ตายไปแล้ว แต่บุตรชายของนางมิได้ตาย สตรีนางนั้นสำหรับฮ่องเต้แล้วเป็นการคงอยู่ดั่งความคะนึงหาในห้วงฝัน ลูกของนางก็อาศัยมารดาทำให้มีฐานะสูงส่งไปด้วย กลายเป็นคนพิเศษในใจของฮ่องเต้
ไม่เป็นไร เป็นผู้ใดสืบทอดบัลลังก์นางล้วนไม่สนใจ ขอเพียงมิใช่ไท่จื่อผู้นั้นก็พอ
นางไม่มีโอรสเชื้อสายมังกร มิว่าผู้ใดสืบทอดบัลลังก์นางก็ยังคงเป็นไท่โฮ่วผู้เป็นมารดาของแผ่นดิน แต่ไท่จื่อก็ไม่เหมือนกันแล้ว มารดาของเขายังอยู่ สตรีวิปลาสนางนั้นหากได้สติขึ้นมา นางจะต้องสละตำแหน่งหวางโฮ่วอย่างเชื่อฟัง และบางทีเรื่องการลอบทำร้ายในอดีตก็จะถูกเปิดเผยออกมาด้วยเช่นกัน นางเดิมพันไม่ไหว
“ฝ่าบาท ทรงปกป้องซั่งกวนเซ่าเฉินไม่ผิด พระองค์ทรงรู้สึกว่าผิดต่อเขา แต่องค์ชายหกกับองค์ชายเจ็ดเล่าเพคะ กำเนิดมาก็ไม่มีเสด็จแม่เช่นกัน มุมานะถึงเพียงนั้น โดดเด่นมากความสามารถถึงเพียงนั้น กลับทรงทำเพื่อความรู้สึกผิดเล็กๆ ในพระทัยเช่นนี้ ก็ช่างไม่ยุติธรรมอย่างยิ่งเลยเพคะ”
หวางโฮ่วไม่ชอบหลิงมู่เอ๋อร์ สาวน้อยนางนั้นแปลกประหลาดเกินไป ยังมีซั่งกวนเซ่าเฉิน ที่ใช้สายตาข่มขู่หลังจากที่เห็นนางในร้านอาหารสกุลหลิงวันนั้น ช่างขวัญกล้าบังอาจเหลือเกิน
“ทรงเห็นแก่หน้าของซั่งกวนเซ่าเฉิน ปกป้องหลิงมู่เอ๋อร์ เฉินเชี่ยทราบ แต่ผู้อื่นไม่ทราบนี่เพคะ บัดนี้ ไท่จื่อโดนปลดเพราะนาง องค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ก็ถูกลงโทษเช่นนี้อีก ทุกคนยากนักที่จะไม่ไปตรวจสอบฐานะของหลิงมู่เอ๋อร์ ผู้ที่มีสติปัญญา ช้าเร็วก็ต้องสืบมาถึงตัวของซั่งกวนเซ่าเฉิน ฝ่าบาท มิใช่เฉินเชี่ยกำลังทำร้ายนาง แต่เป็นพระองค์ต่างหากเพคะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของหวางโฮ่ว พระวรกายของฮ่องเต้ก็ชะงัก ตะลึงอยู่กับที่มิมีความเคลื่อนไหวอยู่นาน
มิผิด ที่เรียกตัวหลิงมู่เอ๋อร์เข้าเฝ้าในคืนท้ายปี เพียงเพราะอยากรู้ว่าซั่งกวนเซ่าเฉินได้กลับมาหรือไม่เท่านั้น ที่จริงแล้วไม่ว่าจะกลับมาเมืองหลวงหรือไม่ เขาก็ล้วนไม่มีทางตำหนิ เพียงแต่อยากรู้ว่า เด็กคนนั้นปฏิบัติต่อสตรีผู้นี้อย่างให้ความสำคัญถึงเพียงนี้จริงหรือไม่ แม้แต่แผนการหลายปีของตนก็สามารถไม่สนใจได้
เมื่อรู้ว่าหลิงมู่เอ๋อร์ถูกใส่ความส่งเข้าคุกหลวง ความคิดแรกของเขาก็คือปล่อยนางออกมา เพราะหากถูกเด็กคนนั้นรู้เข้า ว่าผู้หญิงของเขาได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจเช่นนี้ ก็จะต้องโวยวายอีกรอบแน่ เขาอายุมากแล้วรับไม่ไหว
อีกอย่าง หากก่อเรื่องขึ้นมาจริงๆ ทุกสิ่งที่เขาวางแผนมาอย่างยากลำบากก็จะกลายเป็นสูญเปล่า เขาจึงปล่อยหลิงมู่เอ๋อร์ไป
หรือว่าจะเป็นดังเช่นที่หวางโฮ่วพูดจริงๆ การกระทำของเขาช่วยจนได้ผลลัพธ์ที่กลับกันแล้ว?
“ครั้งที่แล้วเป็นเพราะเรื่องนั้น เด็กคนนั้นออกจากเมืองหลวงไปถึงสองปีเต็ม หากมิใช่เพราะเจิ้นส่งคนออกไปค้นหาและข่มขู่ จนถึงบัดนี้เขาก็คงจะยังไม่กลับมา หากให้เขารู้เข้าว่าพวกเรารังแกคนที่เขาให้ความสำคัญเช่นนี้ เจ้าลองเดาดูว่า ครั้งนี้เขาจะออกไปพเนจรอีกนานเท่าใด ห้าปี สิบปี หรือว่ายี่สิบปี? เจิ้นยังจะรอไหวหรือ?”
แค่ลองคิดก็รู้สึกว่าน่ากลัว
“ฝ่าบาท แม้จะเป็นเยี่ยงนั้น หม่อมฉันก็ยังรู้สึกว่าควรทรงมอบโอกาสให้ผู้อื่นสักครั้ง ในอดีตเด็กคนนั้นจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไรก็ไม่ยอมกลับมา แล้วผลเป็นอย่างไร เพื่อมิให้เดือดร้อนไปถึงผู้หญิงบริสุทธิ์คนหนึ่ง เขากลับมาแล้ว สตรีเพียงนางเดียวก็สามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจที่แน่วแน่ของเขาได้ เยี่ยงนั้นในอนาคตเล่าเพคะ เขาจะสามารถรับภาระอันยิ่งใหญ่ดังที่ทรงคาดหวังได้หรือเพคะ?”
ฝ่าบาททรงเงียบขรึมไปแล้ว เป็นนานกว่าจะดึงสติกลับมาได้ “ช่างเถอะ ช่างเถอะ พรุ่งนี้ให้เจ้าหกกับเจ้าเจ็ดเข้าวังมาพบเจิ้น”
ครั้งนี้ หลิงมู่เอ๋อร์มิได้ออกจากวังเพียงลำพังแล้ว ฝ่าบาททรงบัญชาสี่กงกงเป็นพิเศษให้ส่งนางออกจากประตูวังอย่างปลอดภัย
นอกประตูวัง เงาร่างสีขาวร่างหนึ่ง ที่หัวไหล่พาดไว้ด้วยเสื้อคลุมสีน้ำเงิน มือข้างหนึ่งไพล่อยู่เบื้องหลัง มืออีกข้างถือเตาพกอุ่นไว้ เมื่อเห็นนางออกมา เตาพกอุ่นในมือก็ถูกโยนเป็นเส้นโค้งที่สวยงาม หล่นลงในอ้อมอกของนางอย่างพอดิบพอดี
ซูเช่อโค้งริมฝีปากยิ้มบาง “ยินดีกับพระโพธิสัตว์หลิงที่รอดพ้นด่านเคราะห์อีกด่าน ออกจากด่านอย่างปลอดภัย”
แสงแดดอันอบอุ่นในฤดูหนาวสาดส่องลงบนใบหน้าด้านข้างของซูเช่อ องคาพยพทั้งห้าที่เย้ายวน รอยยิ้มที่เอ็นดู อ่อนโยนสง่างาม ทำให้ในก้นบึ้งจิตใจของหลิงมู่เอ๋อร์มีความอบอุ่นสายหนึ่งไหลผ่าน ทำให้รู้สึกชาและขนลุก
“เหตุใดท่านจึงมาได้เล่า?”
“ในชีวิตของเปิ่นจวิ้นอ๋องเชื่อว่าได้พบคนมานับไม่ถ้วน ยังไม่เคยพบภูตผีเทพวิญญาณมาก่อน จึงได้มาดูเป็นพิเศษว่าที่แท้เป็นเทพยดาจากที่ใด เผชิญหน้ากับเคราะห์ร้ายที่หนักหน่วงเช่นนี้ก็ยังสามารถถอยออกมาได้อย่างปลอดภัย”
“ปากมาก” ถูกคำนี้ของเขาทำให้หลิงมู่เอ๋อร์พ่นหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน
“ขอบคุณสี่กงกงมากที่ส่งข้าออกมาด้วยตัวเองเจ้าค่ะ รบกวนแล้ว”
บนร่างของหลิงมู่เอ๋อร์ไม่มีเศษเงิน จึงมอบยาเม็ดหนึ่งให้เขา “นี่เป็นของที่ข้าคิดค้นออกมาอย่างตั้งใจ สามารถกำจัดไอเย็นและไอชื้นในร่างกายได้ กงกงอายุมากแล้ว และเคียงข้างพระวรกายของฝ่าบาทมานานหลายปีต้องวิ่งไปนู่นมานี่ ร่างกายยากที่จะมิได้รับความเย็น ยังขอให้กงกงอย่าได้รังเกียจ”
มีของที่ดีเช่นนี้ จะเป็นสิ่งที่เศษเงินสามารถเปรียบได้อย่างไร
สี่กงกงพอใจจนปากหุบไม่ลง “จ๋าเจียขอบคุณแม่นางหลิงมากขอรับ”
เมื่อหมุนกายกลับไป ก็เห็นซูเช่อมองหลิงมู่เอ๋อร์ด้วยความอ่อนโยน เขาอดปิดหน้าแอบหัวเราะไม่ได้ “ในเมื่อมีจวิ้นอ๋องน้อยคอยคุ้มครองกลับไป เช่นนั้นจ๋าเจียก็กลับไปถวายรายงานต่อฝ่าบาทแล้ว แม่นางหลิงและจวิ้นอ๋องน้อยค่อยๆ เดิน”
ขึ้นไปบนรถม้าของซูเช่อราวกับรีบหนี หลิงมู่เอ๋อร์รีบสั่งการให้คนออกรถ “เร็ว กลับจวนสกุลหลิง”
คนขับรถม้ามองซูเช่อครั้งหนึ่ง หลังจากได้รับสายตาอนุญาตจากเขา ก็สะบัดแส้เร่งม้ามุ่งหน้าไปยังจวนสกุลหลิง
“ที่นี่คือวังหลวงผู้คนมากมายล้วนใฝ่ฝันที่จะเข้ามา ก็มิใช่สถานที่กินคนไม่คายกระดูก ต้องหวาดกลัวถึงเพียงนี้หรือ?” ยากนักที่จะเห็นหลิงมู่เอ๋อร์มีเวลาหวาดกลัวเช่นกัน ซูเช่ออดที่จะกระเซ้าเย้าแหย่มิได้
มองไปนอกหน้าต่างอย่างระมัดระวังอยู่ตลอด จนกระทั่งเงาของประตูวังเล็กลงเรื่อยๆ หลิงมู่เอ๋อร์จึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“กินคนไม่คายกระดูก? เพ้ย ที่นั่นราวกับเป็นอเวจีบนโลกมนุษย์! เปิ่นเสียวเจี่ยขอสาบานว่าจะไม่มายังที่แห่งนี้อีกเด็ดขาด”
ครั้งแรกมาก็บังเอิญพบเข้ากับคนที่ไม่อยากเจอ ครั้งที่สองก็ถึงกับโดนคนผู้นั้นจับขังเข้าคุกหลวงไปแล้ว หากมิใช่เพราะนางมีมิติอยู่ในมือ ยังไม่รู้ว่าจะต้องประสบกับความทุกข์ทรมานเช่นใด
หลิงมู่เอ๋อร์ปัดฝุ่นที่อยู่บนร่าง จากนั้นมองซูเช่อที่อยู่ด้านข้าง “มองข้าเช่นนี้ทำไม? วันนี้เป็นถึงวันแรกของปี หรือว่าจวนจวิ้นอ๋องไม่ยุ่งหรือ?”
“ต่อให้จะยุ่งอย่างไร ก็ไม่สำคัญเท่าเรื่องของเจ้า เจ้าเป็นหญิงสาวบอบบางตัวคนเดียวตกอยู่ในกำแพงวัง อาศัยกำลังของตนหลุดรอดออกมาได้สำเร็จ หากประสบอันตรายใดเข้าด้านนอก ข้ายากที่จะให้อภัยตนเองได้” เพราะตอนนั้นเป็นเขาที่โน้มน้าวให้นางมาเมืองหลวง
เขาไม่มีทางบอกหลิงมู่เอ๋อร์ว่า เมื่อคืนหลังจากออกจากคุกหลวงมา เขาก็มิได้ออกจากวังแม้สักนิด หากแต่รออยู่ตรงนี้อย่างเป็นทุกข์ตลอดทั้งคืน
มองดูดวงตาของซูเช่อที่ยิ่งลุ่มหลงและเด็ดเดี่ยว หลิงมู่เอ๋อร์หันศีรษะไปอย่างขวยเขินเล็กน้อย ไม่กล้าสบตากับเขา
มิน่า จึงได้ถูกผู้คนขนานนามว่าคุณชายอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ในยามที่เขาเคลื่อนไหวอย่างง่ายๆ ก็มีความสามารถที่ทำให้คนสูญเสียสติทำเรื่องคลุ้มคลั่งได้อย่างแท้จริง
“จวิ้นอ๋องน้อยเป็นคนที่เปิดเผยตรงไปตรงมา ในชีวิตนี้มีโอกาสได้รู้จักกับจวิ้นอ๋องน้อยคราหนึ่ง ถือเป็นโชคของหลิงมู่เอ๋อร์”
หากผู้อื่นกล่าวเช่นนี้ เขาก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไร แต่เมื่อหลิงมู่เอ๋อร์กล่าวเช่นนี้ กลับทำให้ซูเช่อรู้สึกว่ากำลังดูหมิ่นเขา
“เมื่อใดกันที่เจ้าไปเรียนรู้วิธีการการประจบสอพลอพวกนั้นมาด้วย กล้าพูดกับเปิ่นหวางว่า เจ้าพูดมาจากใจจริงหรือไม่?”
“ท่านลองเดาดูสิ?” หลิงมู่เอ๋อร์เลิกคิ้วยิ้มบาง เมื่อมองซูเช่ออีกครั้ง นางทางหนึ่งยิ้มอย่างซุกซน อีกทางก็มองออกไปนอกหน้าต่าง ความรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติเมื่อครู่ก็หายไปกว่าครึ่ง
เจ้ากำลังหาเรื่อง ข้ากำลังหัวเราะ
ซูเช่อชอบท่าทางที่นางเป็นตัวของตัวเองในยามที่อยู่กับเขาสองต่อสองอย่างยิ่ง
“ข่าวลือเรื่องผีอาละวาดในวังมีที่มาอย่างไร? อีกทั้ง เจ้ากับหวางโฮ่วได้ก่อความบาดหมางขึ้นตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
ซูเช่อจำเป็นที่จะต้องรู้ทุกเรื่องของนางอย่างละเอียด จึงจะสามารถรับรองได้ว่าจะปกป้องนางได้อย่างทันการณ์
“หากมิใช่เพราะในใจมีความผิด จะกลัวภูตผีวิญญาณได้อย่างไร หรือจวิ้นอ๋องน้อยเชื่อว่าบนโลกใบนี้มีวิญญาณหรือ?”
“เจ้าก็มิใช่วิญญาณดวงนั้นในใจของเปิ่นหวางหรือ?”
หากเป็นผู้อื่นกล่าวคำพูดนี้ออกมาจะต้องดูเปรี้ยวจี๊ดเต็มไปด้วยความอิจฉา แต่จวิ้นอ๋องน้อยกลับพูดออกมาอย่างเปิดเผยสง่างาม คำพูดที่น่าขนลุกแบบนี้ถูกเขาพูดได้อย่างใจกว้างและเหมาะสม
หลิงมู่เอ๋อร์เบะปาก “ตอนนั้นหวางโฮ่วเหนียงเหนียงปลอมกายเป็นเฉินต้าเหนียงล้มป่วยอยู่บนท้องถนน ถูกซางจือและเจี้ยงเซียงพากลับมาที่โรงหมอ ผลคือรั้งอยู่ไม่ยอมจากไป เพียงอยู่ก็ยาวนานถึงครึ่งปี ข้าคิดว่านางจะระลึกถึงไมตรีในอดีต คิดไม่ถึงว่านางจะตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น จวิ้นอ๋องน้อยท่านลองเดาดู ที่แท้เป็นข้าช่วยจวนจวิ้นอ๋องของท่าน หรือถูกจวนจวิ้นอ๋องของท่านทำร้ายเข้าแล้วกันแน่?”
แต่ไรมาซูเช่อก็ฉลาดล้ำ ครุ่นคิดอยู่ไม่กี่ครั้งก็เข้าใจความหมายที่หลิงมู่เอ๋อร์แฝงไว้ในคำพูดอย่างลับๆ
“การที่หวางโฮ่วจงใจเป็นปรปักษ์กับเจ้า เกี่ยวข้องกับสตรีวิปลาสในเรือนร้างจริงๆ เจ้าก็เดาได้แล้วว่า นั่นเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของไท่จื่อ ปีนั้นหวางโฮ่วทรงใช้แผนการทำร้ายจนคนผู้นั้นเกือบสิ้นชีพอยู่ข้างทาง เป็นท่านย่าเห็นว่าน่าเวทนาจึงช่วยนางไว้ สกุลซูของพวกเราติดค้างหนี้น้ำใจของไท่จื่อ บุญคุณครั้งนั้นจำเป็นจะต้องทดแทน ท่านย่าจึงใช้การช่วยเหลือสตรีวิปลาสเป็นการตอบแทน แต่ข้าขอโทษจริงๆ ที่ดึงเจ้าเข้ามาในคลื่นลมนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ”
ซูเช่อรู้สึกผิดจากใจจริง
หากเขารู้ว่า การแนะนำหลิงมู่เอ๋อร์ให้ท่านย่า จะนำปัญหาใหญ่เช่นนี้มาสู่นาง ยามนั้น เขาไม่มีทางตัดสินใจเช่นนั้นเด็ดขาด
“ไท่จื่อถูกปลด เขาจะต้องไม่ยินยอมอย่างแน่นอน สตรีในเรือนร้างพร้อมจะมีอันตรายได้ตลอดเวลาถูกต้องหรือไม่”
คิดไม่ถึงว่าที่หลิงมู่เอ๋อร์กังวลมิใช่ตนเอง แต่เป็นผู้ป่วยของนาง
หัวคิ้วของซูเช่อขมวดเล็กน้อย “หลิงมู่เอ๋อร์ อย่าได้สนใจเลย สตรีวิปลาสในเรือนร้างมิใช่ความทรงจำค่อยๆ ฟื้นฟูแล้วหรือ ข้าจะเข้าวังไปเชิญหมอหลวงมารักษานาง วันหลังข้าค่อยไปอธิบายกับท่านย่า ว่าร่างกายของเจ้าไม่สบาย ไม่อาจรักษาอาการให้นางได้อีก ออกจากพายุและคลื่นลมสายนี้ไปเถิด”
เขาไม่ต้องการให้ผู้ที่เขาเป็นห่วงได้รับบาดเจ็บอีก
เขาสามารถช่วยนางได้หนึ่งครั้ง สองครั้ง แต่ไปอาจปกป้องนางได้ตลอดชีวิต ดั่งเช่นความขัดแย้งในวังหลวงเมื่อคืนนี้ หากมิใช่เพราะเขาไม่แข็งแกร่งพอ ก็มิมีทางให้นางต้องตกอยู่ในสายฝน
“ดูท่าเป็นข้าเดาได้ถูกต้องแล้ว ไท่จื่อเพื่อตำแหน่ง เพื่ออนาคต จะต้องฟื้นขึ้นจากความล้มเหลวอีกครั้ง ดังนั้นเขาจะต้องทำให้สตรีวิปลาสจำทุกสิ่งได้ในช่วงเวลาที่สั้นที่สุด จากนั้นพานางเข้าวัง หากฝ่าบาททรงเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีต ก็จะต้องทรงคืนตำแหน่งของไท่จื่อ ถูกต้องหรือไม่?”
เมื่อถึงเวลานั้น ไท่จื่อก็จะแก้แค้นต่อทุกสิ่ง ซูเช่อ โจวฉี่เยี่ยน ซั่งกวนเซ่าเฉิน เขาไม่มีทางปล่อยไปแม้คนเดียว แน่นอนว่า ที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นนาง หลิงมู่เอ๋อร์
“แม้ไท่จื่อจะมีความสามารถธรรมดาสามัญ แต่ก็เป็นพวกเจ้าคิดเจ้าแค้น ทันทีที่เขาได้คืนฐานะ เจ้าเป็นศัตรูคนแรกที่เขาจะจัดการด้วย ยังมีหวางโฮ่ว สตรีนางนั้นมีอารมณ์แปรปรวน เพื่อที่จะปกป้องตำแหน่งหวางโฮ่วของนางแล้ว วิธีการโหดเหี้ยมอย่างมาก หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้ามิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา”
นางเป็นเพียงสตรีสามัญชนคนหนึ่ง ต่อให้ในอนาคตแต่งกับซั่งกวนเซ่าเฉิน บางทีก็ยากที่จะหนีจากด่านเคราะห์ไปได้
แต่ใจนางไม่ยินยอม เหตุใดการต่อสู้แย่งชิงของพวกเขาจึงต้องมาเกี่ยวข้องกับนางซึ่งเป็นเพียงราษฎรผู้บริสุทธิ์
“ขอบคุณจวิ้นอ๋องน้อยมากที่เตือน แต่ว่า ไม่ทราบว่าจวิ้นอ๋องน้อยได้ช่วยข้าหาอาคารที่ข้าต้องการหรือยัง?”
เมื่อครู่เพิ่งพูดเรื่องความเป็นตาย ยามนี้ก็มาวิเคราะห์เรื่องการทำธุรกิจอีกแล้ว ซูเช่อโมโหจนคันฟันไปหมด
“หลิงมู่เอ๋อร์ ถึงเวลาไหนแล้วเจ้ายังคิดเปิดร้านอาหารหาเงินอยู่อีกหรือ? เจ้าขาดเงินถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? หากเป็นเช่นนั้นแล้วละก็ ทรัพย์สินทั้งหมดของเปิ่นจวิ้นหวางล้วนสามารถมอบให้เจ้าได้ เจ้าสามารถจริงจังหน่อยได้หรือไม่ ตอนนี้เจ้าอันตรายมากเจ้ารู้หรือไม่?”