เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 6 บทที่ 175 ปล่อยคน
เล่มที่ 6 บทที่ 175 ปล่อยคน
“เป็นไปไม่ได้ ในอาณาเขตวังหลวงจะมีผีอาละวาดได้อย่างไร? ไม่ถูก ใต้หล้านี้จะมีผีได้อย่างไร?”
ซูกุ้ยเฟยเมื่อได้ยินคำพูดของหัวหน้าผู้คุม ก็โมโหจนเขวี้ยงจอกชาออกไป กระแทกลงบนศีรษะของเขาอย่างแม่นยำ
ผู้คุมเรือนจำได้รับบาดเจ็บ ด้านหนึ่งกุมศีรษะ อีกด้านคุกเข่าลง “เหนียงเหนียงโปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ คำกล่าวของบ่าวเป็นจริงทุกประการพ่ะย่ะค่ะ เป็นผี หลิงมู่เอ๋อร์เป็นภูตผีจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ครู่หนึ่งปรากฏตัว อีกครู่ก็หายตัวไป พวกกระหม่อมไม่มีทางดูผิดแน่พ่ะย่ะค่ะ”
สิ่งใดเรียกว่า ครู่หนึ่งปรากฏตัว อีกครู่หายตัวไป หรือหลิงมู่เอ๋อร์สามารถเล่นกลได้?
“สรุปก็คือ พวกเจ้ามิได้สั่งสอนนาง ก็วิ่งมาขอรับรางวัลที่ข้าแล้ว?” ยังคิดว่าพวกเขาปีศาจสุราทั้งสามเกียจคร้าน ซูกุ้ยเฟยพิโรธอย่างมาก “พวกไร้ประโยชน์ นำทางเบื้องหน้า เปิ่นกงจะลองดูว่า หลิงมู่เอ๋อร์ผู้นั้นมีความสามารถใดของนางจิ้งจอกกันแน่!
เมื่อมาถึงประตูคุกหลวง ผู้คุมทั้งสามไม่ว่าจะกล่าวอย่างก็ไม่ยอมเข้าไป
“เหนียงเหนียง ไม่เช่นนั้นทรงเสด็จกลับไปทูลให้ฝ่าบาททรงส่งนักพรตมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ หลิงมู่เอ๋อร์ผู้นี้มีความเป็นผีร้ายที่หลอกคนจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ บ่าวไม่กล้าหลอกลวงเหนียงเหนียง”
“บังอาจ! ฝ่าบาททรงยุ่งกับราชกิจของราชสำนัก จะมีเวลามาฟังคำพูดเหลวไหลของบ่าวไพร่เช่นพวกเจ้าได้อย่างไร ก็ไม่กลัวจะถูกตัดหัวหรือไร!”
มุมปากของซูกุ้ยเฟยยกรอยยิ้มหยัน “เป็นถึงบุรุษอกสามศอก ดูความกล้าของพวกเจ้าสิ บนโลกนี้จะมีเรื่องผีสางได้อย่างไร? อีกอย่าง หลิงมู่เอ๋อร์ผู้นั้น หากเป็นภูตผีจริงๆ แล้วละก็ ยังจะถูกจับอยู่ที่นี่อย่างว่านอนสอนง่ายหรือ? บอกว่าพวกเจ้าเป็นตัวไร้ประโยชน์ มิได้ใส่ความพวกเจ้าเลยสักนิด”
พวกเขาไม่เข้าไป นางก็จะเข้าไปเอง
ซูกุ้ยเฟยเสด็จนวยนาดเข้าไปในคุกหลวง จากไกลๆ ก็เห็นหลิงมู่เอ๋อร์นั่งอยู่ในห้องขังอย่างสงบ
“นั่นมิใช่นั่งอยู่ตรงนั้นดีๆ หรือ? ยังมาพูดเรื่องภูตผี ข้าว่าเป็นในใจของพวกเจ้ามีเรื่องชั่วร้ายนะสิ” ซูกุ้ยเฟยพูดพึมพำกับตนเอง หยิบแส้ยาวที่อยู่ด้านข้างติดมือไปด้วย ในช่วงเวลานี้ คุกหลวงไร้ผู้คน นางจะสั่งสอนนังหญิงสารเลวที่รังแกเหลียนเอ๋อร์ของนางให้ดีๆ สักครั้ง
หลิงมู่เอ๋อร์ที่เดิมคิดว่าได้ขู่ผู้คุมจนตกใจหนีไปแล้ว กำลังคิดจะพักผ่อน คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินเสียงหนึ่งที่ชวนให้อารมณ์เสียอย่างมาก นางหลับตาลง แอบหรี่ขึ้นมาเป็นช่องแถบหนึ่ง ก็เห็นซูกุ้ยเฟยที่มีความเคียดแค้นเต็มใบหน้ากำลังเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ
เฮ้อ จะต้องวุ่นวายอีกรอบแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ถึงกับกังวลว่า มิติเทพจะเหนื่อยจนไม่เปิดประตูให้นางแล้ว
“หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้ากล้าทำร้ายเหลียนเอ๋อร์ของข้า ดูว่าวันนี้เปิ่นกงจะสั่งสอนเจ้าอย่างไร!”
เดินมาถึงเบื้องหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์ ซูกุ้ยเฟยด้านหนึ่งหยิบแส้ อีกด้านกลับเปิดประตูคุก ถือโอกาสที่นางกำลังก้มหัวเปิดประตู หลิงมู่เอ๋อร์ขับเคลื่อนพลังจิตอย่างคุ้นเคย มุดเข้าไปในมิติทันที
“เหนียงเหนียง ทรงกำลังตรัสกับผู้ใดอยู่หรือเพคะ” หลิงมู่เอ๋อร์ที่หลบอยู่ในมิติ จงใจเอ่ยปาก
มิติเทพก็เหมือนพื้นที่ทรงกลมที่แยกตัวออกมา นางซ่อนอยู่ด้านใน สามารถมองเห็นด้านนอกได้ แต่ด้านนอก มองไม่เห็นด้านใน เสียงด้านในขอเพียงนางเต็มใจ คนด้านนอกก็จะสามารถได้ยิน
“ไร้สาระ แน่นอนว่าพูดกับ…” คำว่าเจ้ายังไม่ทันพูดจบ ในยามที่ซูกุ้ยเฟยช้อนตาขึ้นมา ก็เห็นเบื้องหน้าเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ตกใจจนกุญแจในมือร่วงสู่พื้น นางรีบถอยไปหลายก้าว
“ไหนคน? คนเล่า!” ลมหายใจของนางกระชั้น อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น มองค้นหาไปทั่วทุกทิศทาง “หลิงมู่เอ๋อร์เจ้าอย่าได้แสร้งทำเป็นภูตผีหลอกลวงเปิ่นกง เจ้าออกมาให้ข้า!”
“เหนียงเหนียงคงมิใช่เพราะในยามปกติทรงทำเรื่องไม่ดีจนเคยชินแล้วจึงทรงรู้สึกผิดอยู่ในพระทัย พระเนตรก็ไม่ดีแล้ว หม่อมฉันก็อยู่ตรงนี้ เหตุใดจึงทรงมองไม่เห็นเล่าเพคะ?”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวจากนั้นก็ออกมาจากมิติอีกแล้ว นั่งอยู่บนพื้นอย่างว่านอนสอนง่าย มือข้างหนึ่งท้าวอยู่ใต้คาง
เมื่อมั่นใจถึงที่มาของเสียง ซูกุ้ยเฟยพลันหันศีรษะกลับมา ยังคิดว่าจะเป็นความว่างเปล่าอีกครั้ง แต่กลับพบว่าหลิงมู่เอ๋อร์นั่งอยู่เบื้องหน้า นางตกใจจนเกือบล้มลง
“เจ้า เจ้าออกมาจากที่ใดกัน?”
“หม่อมฉันถูกคนของพระองค์ขังไว้ที่นี่ตลอด มิเคยได้จากไปมาก่อน คำตรัสนี้ของเหนียงเหนียงทรงหมายความว่าอย่างไรเพคะ” ดวงตาทั้งคู่ของหลิงมู่เอ๋อร์เบิกจนกลมโต ใบหน้าที่งดงามใสซื่ออย่างมาก
ซูกุ้ยเฟยคิดว่าเมื่อครู่ตนได้เห็นภาพหลอนไป
ถูกแล้ว จะต้องเป็นเพราะถูกผู้คุมทั้งสามคนทำให้หวาดกลัว นางปลอบใจตนเองเช่นนั้น
ถือแส้เข้าไปใกล้หลิงมู่เอ๋อร์ แค่นเสียงเย็นชาออกมาจากโพรงจมูก “ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว ยังโอหังได้ถึงเพียงนี้อีก ดูว่าวันนี้ข้าจะโบยจนเจ้าคุกเข่าร้องวิงวอนหรือไม่”
แส้ที่ยกขึ้นกำลังจะร่วงลง หลิงมู่เอ๋อร์หายตัวไปอีกครั้ง แส้ลอยอยู่กลางอากาศ โบยลงบนกำแพงอย่างแรง ฟาดจนมือของซูกุ้ยเฟยเจ็บปวดอย่างมาก
“นี่เหนียงเหนียงทรงฟาดไปที่ใดกัน ต้องทรงเล็งให้ดีหน่อยนะเพคะ”
เสียงที่รางเลือนนั้นก็ปรากฏขึ้นมาอีกแล้ว แต่ไม่ว่าจะหาอย่างไร ก็หาเงาร่างของหลิงมู่เอ๋อร์ไม่พบ
มือที่กุมแส้ของซูกุ้ยเฟยสั่นสะท้าน ขณะกำลังคิดจะถอยหลัง ก็ชนเข้ากับบางสิ่ง นางหันศีรษะกลับไปอย่างฉับพลัน ก็เห็นหลิงมู่เอ๋อร์ก้มหน้าก้มตายืนอยู่ด้านหลัง ทำให้นางตกใจจนกรีดร้องออกมาทันที
“อ๊า! มีผี มีผี กรี๊ด!”
ไม่มีเวลาไปสนใจตรวจสอบว่าที่แท้นางเป็นคนหรือไม่ ซูกุ้ยเฟยวิ่งกระแทกตัวนางออกจากห้องขังไป วิ่งหนีไปตลอดทาง มิรู้ว่าตลอดทางนั้นล้มไปแล้วกี่ครั้ง
“เหนียงเหนียง?”
หัวหน้าผู้คุมเรือนจำเห็นซูกุ้ยเฟยออกมา ยังคิดจะอวดอ้างผลงาน “เหนียงเหนียง บ่าวมิได้กล่าวผิดกระมังพ่ะย่ะค่ะ หลิงมู่เอ๋อร์ผู้นั้นใช่วิญญาณร้ายหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“เจ้าตัวไร้ประโยชน์!” หนึ่งฝ่ามือถูกตบลงบนใบหน้าของผู้คุม รับรู้ได้ถึงความรู้สึกเจ็บ ซูกุ้ยเฟยจึงได้ตระหนักว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเรื่องจริง
“นังสารเลวผู้นั้นมิใช่คน นังสารเลวผู้นั้นใช้มนต์ของปีศาจได้ เหตุใดเจ้าจึงไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้” โยนความผิดทั้งหมดลงบนหัวของหัวหน้าผู้คุมอย่างไม่แยกแยะถูกผิด ซูกุ้ยเฟยหอบหายใจ สั่งการเหล่าข้ารับใช้ว่า “ยังเหม่ออะไรอยู่อีก พวกเราไป ที่นี่มีผี พวกเราไป!”
ยามนี้ในคุกใต้ดิน ยังสามารถได้ยินเสียงของซูกุ้ยเฟยที่หวาดกลัวจนร้องเสียงหลง หลิงมู่เอ๋อร์ที่ออกมาจากมิติอดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะออกมา
ยังคิดจะสั่งสอนนางงั้นหรือ?
ก็ไม่รู้จักวัดดูว่าตนมีความสามารถเท่าใด
หึ
นางสูดลมหายใจเข้าลึกครั้งหนึ่งอย่างภาคภูมิใจ พลันนึกถึงปัญหาหนึ่งขึ้นมาได้ ใบหน้าที่งดงามก็หม่นหมองลงอีกครั้ง “แย่แล้ว เมื่อครู่รีบร้อนจนลืมถามซูเช่อว่าท่านพ่อท่านแม่เป็นห่วงหรือไม่”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวพึมพำกับตนเอง ฟันที่ขาวราวเปลือกหอยกัดริมฝีปากล่างแน่น
ถูกราชโองการเรียกตัวเข้าวังในคืนส่งท้ายปีก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนเป็นห่วงแล้ว ครานี้ถูกกุมตัวอยู่ในคุกหลวงอีก มิรู้ว่าหลังจากท่านพ่อท่านแม่ได้รู้ข่าว จะโมโหจนล้มป่วยหรือไม่
วังหลวงที่ลึกล้ำจนไม่เห็นก้นบึ้งแห่งนี้ ไม่เหมาะกับนางจริงๆ
ไม่นาน เรื่องที่ในคุกหลวงมีผีอาละวาดก็แพร่ไปทั่ววังหลัง เพราะเรื่องนี้ ซูกุ้ยเฟยทรงประชวรจนลุกไม่ขึ้น ฮ่องเต้ที่ทรงกักพระองค์เป็นเวลาสามวัน จึงเพิ่งทราบข่าวที่หลิงมู่เอ๋อร์ถูกจับเข้าคุกหลวง รีบมีรับสั่งให้คนตรวจสอบทันที
หวางโฮ่วเหนียงเหนียงทรงถือโอกาสนี้ป้ายสีหลิงมู่เอ๋อร์ และทรงชี้การเป็นพยานว่าเป็นนางทำร้ายองค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ ฝ่าบาททรงพิโรธอย่างหนัก ตรัสถามกลับในทันทีว่า แล้วมีดสั้นเล่มนั้นมาจากที่ใด และทรงกริ้วว่าเหตุใดองค์หญิงเหลียนเอ๋อร์จึงเข้าวังโดยไม่มีราชโองการเรียกตัว มีพระบัญชาให้กักบริเวณต่ออีกสามเดือน แม้แต่ประตูห้องก็ไม่อนุญาตให้ออกมา
หวางโฮ่วทรงตรัสถามฮ่องเต้อย่างตื่นตะลึง ว่าเหตุใดจึงทรงปกป้องหลิงมู่เอ๋อร์เช่นนี้ ฮ่องเต้มิได้ทรงอธิบาย เพียงส่งสี่กงกงไปปล่อยคน
หลิงมู่เอ๋อร์ที่อยู่ในห้องขังได้ยินว่ามีคนเข้ามาใกล้อีกแล้ว ยังคิดว่าเป็นซูกุ้ยเฟยที่ไม่ยอมตัดใจ ส่งคนมาสั่งสอนอีก ขณะกำลังคิดจะซ่อนตัวเข้าไปในมิติ แสร้งทำเป็นภูตผีต่อไป ก็เห็นว่าเป็นสี่กงกง นางรีบแสร้งทำเป็นได้รับบาดเจ็บ นอนอยู่บนพื้น โอดโอยช้าๆ เสียงเบา
“โอ้ นี่เป็นเรื่องใดกัน เป็นผู้ใดช่างกล้าถึงเพียงนี้ ถึงกับลงทัณฑ์โดยพลการ?”
สี่กงกงนำราชโองการของฮ่องเต้มา เหล่าผู้คุมมิกล้าไม่ตามเข้ามา เมื่อได้ยินคำถาม แต่ละคนรีบคุกเข่าลงกับพื้น “กงกงโปรดระงับโทสะขอรับ พวกข้า พวกข้ามิได้ใช้ทัณฑ์ทรมานกับนางจริงๆ นะขอรับ”
“มิได้ลงมือใช้ทัณฑ์ทรมานแล้วของบนพื้นพวกนั้นคือสิ่งใด? ยังมี แม่นางหลิงเดินเข้ามาดีๆ ยามนี้เหตุใดจึงล้มลงนอนได้? ยังบอกผีอาละวาดอะไรอีก ข้าว่าเป็นพวกเจ้าใช้การทรมานโดยพลการ เกรงว่าฝ่าบาทจะทรงทราบ เห็นได้ชัดว่าเป็นใจของพวกเจ้าที่มีปัญหา ก็รอหัวหลุดจากบ่าเถิด”
ดุด่าสาปแช่งไปประโยคหนึ่ง สี่กงกงออกคำสั่งให้คนทั้งหมดเปิดประตูห้องขัง เขายืนอยู่หน้าประตูห้องขังอย่างเคารพ “แม่นางหลิงได้รับความลำบากแล้ว ฝ่าบาททรงทราบถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว และทรงมั่นพระทัยว่าแม่นางมิได้ทำร้ายองค์หญิง ขอเชิญแม่นางตามข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
รู้แต่แรกแล้วว่าต้องเป็นผลลัพธ์เช่นนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ปัดฝุ่นดินบนร่างออก “ขอบคุณกงกงมากเจ้าค่ะ”
มาถึงพระราชตำหนักเฉียนชิงอีกครั้ง ฮ่องเต้มิได้เมามายอีก เมื่อเห็นนางอยู่ในชุดนักโทษตลอดร่างใบหน้าซูบเซียวทุลักทุเล พระขนงของฮ่องเต้ก็ขมวดแน่น
“พวกเขาใช้ทัณฑ์ทรมานกับเจ้าแล้ว?”
“หรือฝ่าบาทมิควรตรัสถามว่า หม่อมฉันได้แสร้งเป็นภูตผีปีศาจหลอกให้กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงตกพระทัยหรือไม่ เพคะ?”
คุกเข่าอยู่บนพื้น หลิงมู่เอ๋อร์เชิดศีรษะ สบตากับฮ่องเต้อย่างไร้ความกลัวเกรงแม้แต่น้อย ราวกับผู้ที่นั่งอยู่เบื้องหน้ามิใช่ประมุขของแคว้น แต่เป็นเพียงมิตรสหายทั่วไปเท่านั้น
“หึ ใต้หล้านี้จะมีเรื่องภูตผีวิญญาณได้อย่างไร จากที่เจิ้นมอง เป็นในใจของพวกนางที่มีภูตผี”
ฮ่องเต้ทรงพิโรธอย่างหนัก “เจิ้นได้ตรวจสอบจนกระจ่างแล้วว่า เป็นเหลียนเอ๋อร์ในใจไม่ยินยอมจึงไปหาเจ้าเพื่อแก้แค้น ลำบากเจ้าแล้ว ต้องอยู่ในคุกหลวงทั้งคืน มิใช่จะรีบกลับไปหาคนในครอบครัวหรือ กลับไปเถิด”
โบกพระหัตถ์ ราวกับไล่ขอทานก็ไม่ปาน แต่หลิงมู่เอ๋อร์แทบอยากจะให้ถือว่านางเป็นขอทานจริงๆ
ยังคิดว่าฮ่องเต้จะทรงถามให้กระจ่างว่าเหตุใดจึงการพูดถึงเรื่องผีหลอกได้ ในเมื่อทรงไม่ถือสา นางย่อมคร้านที่จะอยู่ที่นี่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว
“ขอบพระทัยฝ่าบาทมากเพคะ สำหรับพระมหากรุณาธิคุณที่ได้ทรงช่วยชีวิต หม่อมฉันขอถวายพระพรให้ปีนี้ ฝ่าบาททรงเปี่ยมด้วยวาสนา ทุกเรื่องสมพระทัย หม่อมฉันทูลลาเพคะ”
หลังโขกศีรษะอย่างเคารพเสร็จ หลิงมู่เอ๋อร์รีบลุกออกจากพระราชตำหนักเฉียนชิงไป
ร่างกายเพิ่งมาถึงประตู พระสุรเสียงของฮ่องเต้ก็ดังมาทางเบื้องหลังอย่างช้าๆ “หากจะขอบคุณเจิ้นจริงๆ ก็ออกจากเมืองหลวงไป จึงจะเป็นการขอบคุณที่ดีที่สุด”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดฮ่องเต้ไม่ชอบนางถึงเพียงนี้ แต่ก็ยังทรงต้องการช่วยนาง
ในยามที่หมุนกาย แม้ทั่วร่างของนางจะดูไม่จืด แต่ยังคงมิอาจปกปิดพลังวิญญาณที่อยู่ทั่วกายของนาง “ฝ่าบาท มิว่าทรงเชื่อหรือไม่ หม่อมฉันมิเคยกระทำเรื่องเช่นการยั่วยวนผู้สูงศักดิ์มีอำนาจแม้แต่น้อย หม่อมฉันกับจวิ้นอ๋องน้อยซูเช่อเป็นสหาย กับองค์ชายเจ็ดก็มีความสัมพันธ์เช่นผู้ป่วยกับแพทย์ กับผู้สูงศักดิ์ทรงอำนาจท่านอื่นในเมืองหลวง ก็เป็นเพราะพวกเขาชอบทานอาหารของร้านอาหารสกุลหลิงของหม่อมฉันเท่านั้นเพคะ มิว่าจะเป็นในอดีต ปัจจุบัน หรือในอนาคต ความสัมพันธ์นี้ตั้งแต่ต้นจนจบจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเพคะ”
น้ำเสียงของนางแน่วแน่ ในยามเผชิญหน้ากับฮ่องเต้ก็ยังคงสงบมั่นคงไม่ร้อนรนดั่งเช่นที่เคยเป็นมา “หม่อมฉันมิมีทางจากเมืองหลวงไปเด็ดขาดเพคะ ที่นี่มีปณิธานของหม่อมฉัน มีเป้าหมายของหม่อมฉัน ไม่ง่ายเลยที่หม่อมฉันจะปักหลักที่นี่ได้ อาศัยสิ่งใดมาให้หม่อมฉันจากไปเพราะความชอบพอของพวกเขา หากฝ่าบาททรงไม่วางพระทัย ทรงสามารถจับหม่อมฉันกลับเข้าไปในคุกอีกได้ หม่อมฉันยังคงยืนกรานคำเดิม หม่อมฉันเพียงต้องการเผยแพร่วิชาแพทย์ของตนให้กว้างไกล ช่วยเหลือผู้ป่วยให้ได้มากกว่านี้ และเพียงต้องการใช้ครึ่งชีวิตที่เหลือกับซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างสงบสุขเท่านั้นเพคะ”
เชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็จับไปขังเสีย เช่นนี้ก็สามารถป้องกันไม่ให้เรื่องแย่ๆทั้งหมดเกิดขึ้นแล้ว
ดวงพระเนตรที่ลึกล้ำของฮ่องเต้เพ่งไปที่หลิงมู่เอ๋อร์โดยไม่กะพริบ ความดื้อรั้นส่วนนั้นในตัวของนาง ความไม่ยอมแพ้ส่วนนั้น ความที่แม้เผชิญหน้ากับฮ่องเต้ก็ไม่หวาดกลัว ไม่นอบน้อมไม่ต่อต้าน ช่างเหมือนเด็กคนนั้นเหลือเกิน
เขาอยากถือโอกาสนี้กำจัดหลิงมู่เอ๋อร์ทิ้งไปอย่างถาวรจริงๆ แต่เขาก็กังวลอย่างมากว่า หากหลังจากเด็กคนนั้นกลับมาแล้วทำตัวเป็นปรปักษ์กับเขาจะทำเยี่ยงไร?
ช่างเถอะ
หลังจากฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรนางอยู่นาน ก็ทรงสูดพระอัสสาสะเข้าลึกครั้งหนึ่ง มิได้ทรงตรัสแม้แต่ครึ่งคำ โบกพระหัตถ์เป็นสัญญาณว่านางสามารถไปได้แล้ว
รอจนคนจากไปไกลแล้ว หวางโฮ่วที่ซ่อนอยู่ในที่ลับมาโดยตลอด ก็ทรงเยื้องกรายเข้ามา “ฝ่าบาท เหตุใดจึงทรงปล่อยนางไปเพคะ?”