เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 6 บทที่ 173 คุกหลวง
เล่มที่ 6 บทที่ 173 คุกหลวง
“เหตุใดท่านจึงมาได้เล่า?”
หลิงมู่เอ๋อร์มองบุรุษผู้สง่างามและหล่อเหลาประดุจมารร้ายที่บดบังอยู่เบื้องหน้า
“หากมิใช่เพราะเจาหยางกลับจวน ข้าก็ไม่รู้ว่าเจ้าจะมาอยู่ที่นี่ เหตุใดเข้าวังจึงไม่ส่งคนมาแจ้งข้า?”
ซูเช่อไม่แม้จะหันศีรษะกลับมา คำพูดที่สงบมั่นคงและมีพลังออกมาจากริมฝีปากบาง ทำให้หลิงมู่เอ๋อร์ที่เมื่อครู่อกสั่นขวัญแขวนอยู่บ้างรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาในเสี้ยววินาที
“จวิ้นอ๋องน้อย ท่านอย่าได้นึกว่าวันนี้ท่านปกป้องนาง ก็จะสามารถยกเว้นความรับผิดชอบต่อสิ่งที่นางกระทำผิดได้ นางทำร้ายเหลียนเอ๋อร์ของข้า ไม่อาจละเว้นโดยง่าย”
ซูกุ้ยเฟยเป็นสนมรักที่ได้รับความโปรดปรานของฮ่องเต้ อยู่ในวังหลังมีตำแหน่งฐานะในระดับหนึ่ง ย่อมไม่กริ่งเกรงต่อซูเช่อแม้แต่น้อย
ซูเช่อมององค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ จากนั้นก็มองซูกุ้ยเฟยที่พรั่งพรูความไม่พอใจออกมา โค้งริมฝีปากอย่างชั่วร้าย “มิทราบว่าแม่นางหลิงทำร้ายองค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ได้อย่างไร ข้ารู้เพียงว่านางเข้าวังมาเข้าเฝ้า ไม่อาจพกอาวุธติดกาย ส่วนมีดสั้นเล่มนี้ หากข้าเดาไม่ผิดแล้วละก็ ควรเป็นของที่องค์หญิงเหลียนเอ๋อร์พกติดกายกระมัง? หรือกล่าวอีกอย่างว่า ถึงแม้ว่าเมื่อครู่แม่นางหลิงจะเพิ่งทำร้ายองค์หญิง แต่ก็เป็นองค์หญิงที่ยั่วยุก่อน!”
เขามิได้ถามสิ่งใดทั้งสิ้น และมิได้ดูด้วย เชื่อในความบริสุทธิ์ของหลิงมู่เอ๋อร์อย่างแน่วแน่
ทำให้นางรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาในเสี้ยววินาทีนั้น
“ไม่ใช่ มีดสั้นเล่มนี้ไม่ใช่ของข้า!”
โยนมีดสั้นลงบนพื้น เหลียนเอ๋อร์เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมรับ กุมคอร้องโอดโอยพูดแต่ว่าเจ็บ
“เหลียนเอ๋อร์? พวกเจ้ายังตะลึงสิ่งใดอยู่อีก ยังไม่รีบเรียกตัวหมอหลวง!” ซูกุ้ยเฟยด้านหนึ่งโอบกอดบุตรสาว อีกด้านถลึงตาใส่หลิงมู่เอ๋อร์อย่างดุร้าย “ข้าขอบอกเจ้าหลิงมู่เอ๋อร์ หากเหลียนเอ๋อร์ของข้าเป็นอะไรไปแม้แต่นิดเดียว เปิ่นกงจะต้องให้พวกเจ้าทั้งครอบครัวถูกกลบฝังไปด้วย!”
ในยามที่ย้ายสายตาไปมองซูเช่ออีกครั้ง สีหน้าของซูกุ้ยเฟยก็เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง “เหลียนเอ๋อร์ของข้าเป็นถึงองค์หญิง คุ้มค่าหรือที่จะไปพัวพันกับชาวบ้านป่าเถื่อนระดับนี้? ผู้ใดจะรู้ว่ามีดสั้นเล่มนี้เป็นนางไปขโมยมาจากที่ใด จงใจทำร้ายองค์หญิงของราชวงศ์ นั่นเป็นความผิดใหญ่หลวงถึงขั้นประหารเก้าชั่วโคตร ซูเช่อ ไม่พูดถึงว่าท่านไม่มีความสัมพันธ์ใดกับนางแม้แต่น้อย และต่อให้มี หรือท่านผู้เป็นถึงจวิ้นอ๋องยังคิดจะแทรกแซงเรื่องของราชวงศ์!”
หมวกทรงสูง [1] ใบหนึ่งถูกครอบลงบนศีรษะของซูเช่อ
ไม่อาจไม่ยอมรับว่า ซูกุ้ยเฟยได้คิดถึงสถานการณ์ทั้งหมดที่อาจปรากฏขึ้นไว้แล้ว และได้เตรียมการรับมือไว้ล่วงหน้าแล้วด้วย
“กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงทรงยืนกรานที่จะตรัสว่า เป็นแม่นางหลิงทำร้ายองค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ เช่นนั้นก็ดี ขอทูลถามว่าแรงจูงใจที่แม่นางหลิงลงมือคือสิ่งใด? เหตุใดนางจึงต้องทำเช่นนี้ นอกจากนี้ หากเปิ่นจวิ้นอ๋องจำไม่ผิดแล้ว ยามนี้องค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ยังอยู่ในช่วงเวลาที่ฝ่าบาททรงลงพระอาญากระมัง ไม่มีราชโองการเรียกตัว แต่กลับเข้าวังโดยพลการ เหนียงเหนียงทรงทราบหรือไม่ว่า นี่ก็เป็นโทษตายเช่นเดียวกัน?”
เมื่อได้ยินคำนี้ เหลียนเอ๋อร์สั่นสะท้าน นางกัดริมฝีปากมองกุ้ยเฟยอย่างตัดสินใจไม่ถูก กระซิบว่า “เสด็จแม่ ทำอย่างไรดีเพคะ?”
เห็นได้ชัดว่า ซูกุ้ยเฟยทรงคิดไม่ถึงว่าซูเช่อจะปกป้องหลิงมู่เอ๋อร์ถึงเพียงนี้ นางแอบส่งสายตาให้เหลียนเอ๋อร์อย่างลับๆ เป็นสัญญาณให้นางวางใจ เมื่อมองซูเช่ออีกครั้ง นางหัวเราะเสียงเย็นสองสามครั้ง “จวิ้นอ๋องน้อยทรงตัดสินพระทัยเด็ดขาดที่จะเป็นปรปักษ์กับเปิ่นกงแล้ว? นางเป็นเพียงชาวบ้านป่าเถื่อน ทำร้ายองค์หญิง พวกเราล้วนเห็นเต็มตา หรือยังจะให้พวกเรากล้ำกลืนความโกรธ ถูกนางรังแกเปล่าๆหรือ?”
ซูเช่อก็ส่งใบหน้าที่มีรอยยิ้มเช่นเดียวกันกลับไป แม้จะดูอ่อนโยนแต่กลับเยียบเย็นอย่างมาก “หากแม่นางหลิงทำร้ายองค์หญิงเหลียนเอ๋อร์จริงๆ เปิ่นจวิ้นอ๋องย่อมไม่มีทางปกป้องนางเด็ดขาด ทว่านางไม่ได้ทำ วันนี้มีข้าอยู่ ย่อมไม่มีทางยอมให้พวกท่านนำความผิดที่ไม่มีอยู่จริงมาครอบลงบนตัวนางแน่”
สายตาเย็นชาของซูเช่อกวาดไป ทหารหลวงที่อยู่รายรอบก็หวาดกลัวจนถอยห่างไปไกล
“ดีเหลือเกินซูเช่อ เพื่อปกป้องสตรีสามัญชนนางหนึ่ง ถึงกับไม่สนใจความปลอดภัยของเหลียนเอ๋อร์ของข้า ดี เปิ่นกงจะบอกท่าน ว่าเพราะเหตุใดนางจึงทำร้ายเหลียนเอ๋อร์ของข้า” ในยามที่ซูกุ้ยเฟยมองหลิงมู่เอ๋อร์นั้น สายตาราวกับจะถลกหนังและกลืนกินนางทั้งเป็น
“เริ่มจากนางแย่งบุรุษของเหลียนเอ๋อร์ของพวกเราไม่พอ ยังบังอาจคิดสังหารคนปิดปาก ส่วนเหตุใดเหลียนเอ๋อร์ของข้าจึงมาปรากฏตัวในวังเวลานี้ ก็เป็นเพราะคิดถึงข้าเสด็จแม่ผู้นี้! ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาไม่อนุญาตให้นางเข้าวัง แต่มิได้หมายความว่าไม่อนุญาตให้นางพบหน้ามารดา”
“หากข้าคิดฆ่าคนปิดปาก วางยาอะไรนางก็ได้แล้ว เหตุใดจึงต้องลอบสังหารอย่างโจ่งแจ้งในวังหลวง นอกจากนี้ เมื่อครู่เป็นนางพุ่งเข้ามาจะฆ่าข้า บาดแผลบนคอของนาง ก็เป็นนางกรีดด้วยตัวเอง” หลิงมู่เอ๋อร์อธิบาย
“เหลียนเอ๋อร์ของพวกเราอยู่ดีๆ จะไปวางแผนทำร้ายเจ้าทำไม เจ้าเป็นเพียงสามัญชนตัวเล็กๆ คู่ควรให้องค์หญิงลงมือกับเจ้าด้วยตนเองหรือ? กล่าวอีกอย่าง เจ้าบอกว่าเป็นเหลียนเอ๋อร์ของพวกเราที่ลงมือก่อน มีผู้ใดเห็นแล้วหรือ ส่วนที่เมื่อครู่เจ้าถือมีดสั้นจะสังหารเหลียนเอ๋อร์นั้น เปิ่นกงกับเหล่าข้ารับใช้ล้วนเห็นด้วยตาตนเอง”
ซูกุ้ยเฟยเอ่ยปากกดดันผู้คน คิ้วกระบี่ของซูเช่อขมวดแน่น เมื่อพบกับคนที่ไร้เหตุผลเช่นนี้ มีแต่ต้องหน้าด้านยิ่งกว่าพวกเขาจึงจะได้
“เปิ่นจวิ้นอ๋องเห็นแล้ว” เขาเอ่ยปากอย่างช้าๆ กล่าวคำพูดเหลวไหลออกมา ใบหน้าไม่แดงหัวใจไม่สั่น
“ท่าน…” ซูกุ้ยเฟยโมโหอย่างมาก คิดไม่ถึงแม้แต่เศษเสี้ยวว่า ซูเช่อที่สูงส่งเย่อหยิ่งในอดีตจะปกป้องหลิงมู่เอ๋อร์ถึงเพียงนี้
“ท่านพูดเหลวไหล ท่านเพิ่งมาถึงเมื่อครู่แท้ๆ แล้วจะเห็นเรื่องก่อนหน้านี้ได้อย่างไร” เหลียนเอ๋อร์ชี้หน้าซูเช่อด่าทออย่างเกรี้ยวโกรธ หากสายตาของนางสามารถฆ่าคนได้แล้วละก็ คิดอยากจะจับจวิ้นอ๋องน้อยผู้นี้ประหาร ณ ที่แห่งนี้เลย
“เปิ่นอ๋องบอกว่าเห็นก็คือได้เห็นแล้ว หรือว่าข้าผู้เป็นถึงจวิ้นอ๋องน้อยยังจะพูดปด?” ซูเช่อยักไหล่อย่างหน้าไม่อาย ในยามที่มองหลิงมู่เอ๋อร์อีกครั้ง ก็มอบสายตาให้นางวางใจ
“องค์หญิงเหลียนเอ๋อร์เป็นเพราะเรื่องที่ร่วมมือกับไท่จื่อวางแผนทำร้ายหลิงมู่เอ๋อร์ถูกฝ่าบาทลงโทษ องค์หญิงทรงไม่อาจระงับโทษจึงคิดมาหาหลิงมู่เอ๋อร์เพื่อแก้แค้น ดังนั้นเมื่อครู่จึงเป็นองค์หญิงที่ยั่วยุก่อน ข้าพูดถูกหรือไม่?”
ราวกับเมื่อครู่อยู่ในเหตุการณ์ก็ไม่ปาน จึงได้กล่าวอย่างละเอียดถึงเพียงนี้ ในใจของเหลียนเอ๋อร์ตื่นตะลึง ถอยหลังไปหลายก้าวอย่างขลาดกลัว หลบอยู่ด้านหลังของซูกุ้ยเฟย
“ไม่ถูก! จวิ้นอ๋องน้อยชื่นชอบแม่นางหลิง ในวังหลวงแห่งนี้มีผู้ใดไม่รู้บ้าง? ตัวท่านทั้งวันเอาแต่วนเวียนอยู่รอบตัวสตรีสามัญชนนางนี้ แน่นอนว่าจะต้องปกป้องนาง” ขิงยังคงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด ซูกุ้ยเฟยหาวิธีรับมือกับซูเช่อพบอย่างรวดเร็ว “ท่านบอกว่าท่านเห็นเหลียนเอ๋อร์ของข้ารังแกหลิงมู่เอ๋อร์ เช่นนั้นท่านลองบอกมาว่า แล้วผู้ใดสามารถเป็นพยานให้ท่านได้ พิสูจน์ว่าคำพูดของท่านเป็นความจริง?”
“ข้าสามารถ!”
ราวกับเสียงพูดเพิ่งจบลง จากที่ไกล เสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังเสียงหนึ่งก็ดังมาจากเบื้องหลัง
เมื่อคนทั้งหมดหันไปมองก็ตะลึงงัน เห็นเพียงหวางโฮ่วเหนียงเหนียงนำข้ารับใช้ขบวนหนึ่งเสด็จเข้ามาอย่างยิ่งใหญ่
“ช้าไปแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์กลอกตาให้ตนเองอยู่ในใจ
ซูกุ้ยเฟยคิดไม่ถึงว่าหวางโฮ่วจะทรงปรากฏกายอย่างกะทันหัน เกรงว่าพระนางจะพูดแทนหลิงมู่เอ๋อร์ รีบนำเหลียนเอ๋อร์คุกเข่าลงบนพื้น “เฉินเชี่ยคารวะพี่หญิงเพคะ พี่หญิงทรงต้องมอบความเป็นธรรมกับเหลียนเอ๋อร์นะเพคะ ทรงทอดพระเนตรสิเพคะ คอของเหลียนเอ๋อร์ถึงขนาดถูกหญิงชาวบ้านคนนี้กรีดเป็นแผลแล้ว หากมิใช่เมื่อครู่หม่อมฉันมาได้ทัน เหลียนเอ๋อร์ของหม่อมฉันก็จะต้องแยกจากกันไปคนละภพตลอดกาลแล้วเพคะ”
ซูเช่อมิได้คุกเข่า แต่คารวะนางครั้งหนึ่ง กล่าวอย่างสงบมั่นคงว่า “ขอเหนียงเหนียงทรงโปรดพิจารณา มีดสั้นบนพื้นเป็นมีดพกประจำกายขององค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ หลิงมู่เอ๋อร์มีฐานะเป็นสามัญชน เข้าวังมาเข้าเฝ้ามิอาจพกอาวุธติดกายได้ เมื่อครู่ก็เป็นองค์หญิงที่ยั่วยุก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ใช่หม่อมฉัน ไม่ใช่หม่อมฉันเพคะ หวางโฮ่วเหนียงเหนียทรงเชื่อเหลียนเอ๋อร์ มีดสั้นเล่มนี้ไม่ใช่ของข้าเพคะ!” เหลียนเอ๋อร์รีบเงยศีรษะขึ้นมามองหวางโฮ่วอย่างกระวนกระวาย
คนที่อยู่ในที่นั้นเจ้าหนึ่งคำข้าหนึ่งคำ มีแต่หลิงมู่เอ๋อร์ที่ยืนนิ่งๆ อยู่ที่เดิม ท่าทีลอยตัวอยู่เหนือปัญหา ราวเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตนกระนั้น
หวางโฮ่วหันพระเนตรมา สายพระเนตรสบเข้ากับหลิงมู่เอ๋อร์ “เจ้ามีคำพูดใดจะกล่าวหรือไม่?” ตรัสจบก็กะพริบตาให้นาง
ดวงตาดุจอัญมณีทั้งคู่ของหลิงมู่เอ๋อร์เพ่งสมาธิมองหวางโฮ่ว ก็อ่านถึงความหมายในคำพูดของนางออกอย่างรวดเร็ว
หวางโฮ่วทรงต้องการให้นางละทิ้งสตรีในเรือนร้างในจวนจวิ้นอ๋อง แต่นางเป็นแพทย์ การช่วยคนเป็นหน้าที่ที่สวรรค์ประทานให้นาง อีกอย่าง ในเรื่องนี้เดิมนางก็เป็นผู้บริสุทธิ์ นางเชื่อว่าความยุติธรรมย่อมสถิตอยู่ในใจของมนุษย์
“ขอเหนียงเหนียงทรงโปรดพิจารณาอย่างละเอียดเพคะ หม่อมฉันเชื่อว่าเหนียงเหนียงจะทรงไม่ปรักปรำคนดี”
ความหมายนี้ก็คือ ไม่ยอมรับเงื่อนไขการแลกเปลี่ยน?
หวางโฮ่วทรงพยักหน้าอย่างเบาบาง จากนั้นหมุนพระวรกาย “เมื่อครู่ เปิ่นกงเห็นจากไกลๆ หลิงมู่เอ๋อร์มีเจตนาร้ายต่อองค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ บาดแผลบนลำคอขององค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ ก็คือหลักฐานที่ดีอย่างมาก”
ซูกุ้ยเฟยและเหลียนเอ๋อร์ตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงว่า หวางโฮ่วเหนียงเหนียงจะทรงช่วยพวกนาง
ซูเช่อร้อนใจจะแย่แล้ว “เหนียงเหนียง…”
“อย่างไร? เปิ่นกงเห็นด้วยตาของตนเอง หรือยังจะเป็นเท็จไปได้!” นางหันศีรษะไปส่งสายตาให้ทหารหลวง “ยังเหม่ออะไรอยู่อีก ลอบสังหารองค์หญิงในรัชกาลปัจจุบันภายในวัง เป็นโทษมหันต์ จับตัวนางไว้ คุมตัวไปเข้าคุกหลวง”
“เหนียงเหนียง…”
ซูเช่อคุ้มครองหลิงมู่เอ๋อร์ไว้เบื้องหลัง เสียดายที่คนที่หวางโฮ่วนำมามีจำนวนมาก เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะลงมือ หลิงมู่เอ๋อร์ก็รีบเอ่ยปาก “จวิ้นอ๋องน้อย ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ ข้าเชื่อว่าฝ่าบาทจะต้องทรงพิจารณาอย่างรอบคอบแน่ ที่นี่เป็นวังหลวง ท่านอย่าได้เสียสละอย่างไร้ประโยชน์เพื่อข้า”
อ้างอิงตามวรยุทธ์ของซูเช่อ พานางจากไปด้วยกำลังมีโอกาสชนะอยู่แปดส่วน แต่ไม่นาน เขาก็อ่านความหมายของหลิงมู่เอ๋อร์เข้าใจ
ถูกแล้ว เป็นฮ่องเต้มีราชโองการเรียกตัวหลิงมู่เอ๋อร์เข้าวัง เรื่องนี้ย่อมต้องไปหาฮ่องเต้จึงจะสามารถแก้ไขได้
“แม้แต่หวางโฮ่วเหนียงเหนียงก็ทรงออกพระโอษฐ์แล้ว ยังจะเหม่ออะไรกันอีก นำตัวนังสารเลวคนนี้ไปซะ!”
เห็นทหารหลวงไม่ยอมขยับเสียที เหลียนเอ๋อร์ใช้ขนไก่แทนป้ายคำสั่ง [2] ใบหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
ในคุกหลวง
หลิงมู่เอ๋อร์ถูกบังคับให้เปลี่ยนมาใส่ชุดนักโทษสีขาว ในห้องขังที่ทั้งอับชื้นและมืดมิดมีหนูสองสามตัววิ่งผ่าน นางกลับนั่งอยู่บนพื้นฟางอย่างสบายอกสบายใจราวกับกำลังนั่งสมาธิ และก็คล้ายกับหลับไปแล้ว
หวางโฮ่วเหนียงเหนียงยืนอยู่ที่หัวมุมเลี้ยว ทอดพระเนตรนางอยู่เนิ่นนาน พบว่านางไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย ก็ทรงกริ้วจนมุมพระโอษฐ์กระตุกไม่หยุด
“หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่า เมื่อครู่ขอเพียงเจ้าคล้อยตามความต้องการของข้า เจ้าย่อมไม่มีทางตกมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ เจ้าเคยช่วยชีวิตข้า ข้าไม่อยากสร้างความลำบากให้เจ้า” ดวงพระเนตรทั้งคู่ของหวางโฮ่วแหลมคม “เปิ่นกงให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง เจ้ารู้ว่าคำตอบที่ข้าต้องการคือสิ่งใด”
หลิงมู่เอ๋อร์ลืมตาอย่างช้าๆ แต่แล้วก็ปิดลงอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงแจ่มใสไร้กังวล มิได้ใส่ใจเรื่องที่ตนอยู่ในคุกใต้ดินแม้แต่น้อย
“เหนียงเหนียงโปรดเสด็จกลับเถิดเพคะ คุกใต้ดินอับชื้นและมีหนู หากทำรองพระบาทของพระองค์สกปรกก็ไม่ดีแล้ว”
“สุราคารวะไม่ดื่ม จะดื่มสุราจับกรอก เปิ่นกงจะรอดูว่า เจ้าจะยืนหยัดอยู่ได้นานเท่าใด!”
หวางโฮ่วทรงสะบัดชายแขนเสื้อ เสด็จจากไปอย่างพิโรธ ข้ารับใช้สองสามคนที่อยู่นอกคุกหลวง หิ้วชะลอมไม้ไผ่รออยู่อย่างนอบน้อม
“มองสิ่งใด โยนของข้างในเข้าไปให้หมด ข้าไม่เชื่อว่า เด็กสาวตัวเล็กๆ เช่นนางจะไม่กลัว”
แม้จะเป็นเช่นนั้น หวางโฮ่วก็ยังทรงรักษาเศษเสี้ยวแห่งความหวังที่มีต่อหลิงมู่เอ๋อร์ไว้ “หาคนเฝ้าไว้ หากนางวิงวอนขอความเมตตา ให้มารายงานเปิ่นกงในทันที”
“พ่ะย่ะค่ะ เหนียงเหนียง” ข้ารับใช้รับคำสั่ง รีบเดินเข้าไปทันที
หลิงมู่เอ๋อร์ยังคงทำสมาธิกำหนดลมหายใจต่อไป คลับคล้ายคลับคลาจะได้ยินเสียงที่แปลกประหลาด ในยามที่นางเชิดสายตาขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจนั้น เบื้องหน้า หัวของงูตัวหนึ่งก็ฉกเข้ามาอย่างกะทันหัน นางถอยหลังตามสัญชาตญาณ แต่ในดวงตากลับไร้ซึ่งความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
ภายใต้ความเร็วที่สายตามิอาจมองเห็นได้ นางสาดผงสีขาวบางอย่างออกไปอย่างรวดเร็ว งูพิษแววตาเลื่อนลอย ก่อนจะสลบไป
ทันทีหลังจากนั้น เจ้าตัวน้อยที่น่ารักชนิดต่างๆ ก็พากันไหลทะลักเข้ามา
หนู แมลงสาบ มีแม้กระทั่งกบ
นึกถึงอดีต ยามที่นางถูกฝึกฝนอย่างลับๆ ในสถานที่ที่ยากลำบากและย่ำแย่ยิ่งกว่านี้ นางก็อดทนผ่านมาได้แล้ว นี่นับเป็นอะไรได้?
หลิงมู่เอ๋อร์อดหัวเราะออกมาไม่ได้ สามารถหาของพวกนี้ออกมาในฤดูกาลนี้ได้ ช่างเป็นการสร้างความลำบากให้พวกเขาแล้วจริงๆ
เชิงอรรถ
[1] สวมหมวกทรงสูงให้ หมายถึง การยกยอ
[2] ใช้ขนไก่แทนป้ายคำสั่ง เป็นสำนวน สื่อถึงการที่บางคนนำคำพูดของเจ้านายหรือผู้มีอำนาจมาใช้ออกคำสั่งต่อผู้อื่นอย่างเย่อหยิ่ง