เล่มที่ 6 บทที่ 172 หลงกล
ถูกพาตัวออกจากพระตำหนักเฉียนชิงอย่างงุนงง ตั้งแต่ต้นจนจบหลิงมู่เอ๋อร์ก็ยังคาดเดาไม่ออกว่า ที่แท้ฮ่องเต้ทรงต้องการสิ่งใดกันแน่
หากจะทรงไล่นางออกจากเมืองหลวงจริงๆ มีราชโองการลงมาก็ได้แล้วกระมัง? จะทำสิ่งที่ไม่จำเป็น อย่างการเรียกตัวนางเข้าวังมาทำไม? หากไม่ใช่ความหมายนี้ เหตุใดจึงทรงออกพระโอษฐ์ข่มขู่ หรือเพียงแค่การทำให้หวาดกลัวโดยไม่มีเจตนาใดแอบแฝงเท่านั้น เพื่อให้วันหลังนางรู้จักยับยั้งพฤติกรรมของตนเอง ไม่ไปมาหาสู่กับพวกซูเช่ออีก?
แต่ในสิ่งที่ฮ่องเต้ทรงตรัสออกมา มองไม่ออกถึงความใส่พระทัยซูเช่อแม้แต่น้อย แต่กลับกำลังทรงล้วงคำพูดของนาง เพื่อยืนยันว่าซั่งกวนเซ่าเฉินกลับมาเมืองหลวงจริงหรือไม่ ทรงมิได้ให้ความสำคัญกับซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างมากหรือ กลับมาหรือไม่ สำหรับฮ่องเต้แล้ว เหตุใดจึงมีความสำคัญมากถึงเพียงนั้น? ที่แท้พวกเขากำลังวางแผนคิดคำนวณสิ่งใดอยู่กันแน่?
หลิงมู่เอ๋อร์ครุ่นคิดจนตกเข้าสู่ภวังค์ เป็นเหตุให้กงกงจากไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ นางเดินอยู่บนเส้นทางสายเล็กๆ ที่ออกจากเมืองเพียงลำพัง ถนนยาวอย่างมาก ทอดสายตาออกไปมองไม่เห็นเส้นขอบ จนกระทั่งองค์หญิงเหลียนเอ๋อร์พุ่งออกมาอย่างกะทันหัน จึงได้ดึงสติของนางกลับมา
“นังสารเลวที่หน้าไม่อาย ดูว่าวันนี้เปิ่นกงจู่จะเอาชีวิตของเจ้าได้หรือไม่!” เสียงคำรามด้วยความเกรี้ยวโกรธ สตรีนางหนึ่งถือมีดสั้นพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วและรุนแรง
หลิงมู่เอ๋อร์คิดว่านางเป็นเพียงองค์หญิงที่เกเรเอาแต่ใจ คิดไม่ถึงว่ายังพอเป็นวรยุทธ์ด้วย
ในยามที่มีดสั้นที่ปกคลุมไปด้วยไอสังหารโจมตีเข้ามานั้น นางก็หลบได้อย่างพอเหมาะพอดี องค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ถือโอกาสที่ได้เปรียบบุกโจมตีต่ออีกหนึ่งมีด เห็นได้ว่ากำลังจะแทงโดนจุดสำคัญของหลิงมู่เอ๋อร์แล้ว ก็ถูกฝ่ายหลังหลบไปได้อย่างสบายอีกครั้ง
“ท่านป่วยใช่หรือไม่? ข้ามิได้ไปคิดบัญชีกับท่าน ท่านกลับเสนอตัวมาถึงที่ ท่านคิดว่าท่านเป็นคู่ต่อสู้ของข้าหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์ออกแรง เหลียนเอ๋อร์ได้รับความเจ็บปวด มีดสั้นในมือร่วงหล่นลง
“เจ้า…ล้วนเป็นเพราะนางจิ้งจอกเช่นเจ้า เริ่มจากยั่วยวนพี่เฉินของข้า จากนั้นก็ทำให้ข้าถูกเสด็จพ่อลงโทษ วันนี้ไม่ฆ่าเจ้า ข้าก็ไม่ใช่องค์หญิงเหลียนเอ๋อร์!”
ในยามที่กล่าววาจา นางก็ดึงแส้หนังที่เอวออกมา ฟาดไปที่ใบหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์
ถูกแล้ว เป็นใบหน้าที่ทำให้จิตวิญญาณของคนหลงใหลลุ่มหลงนี้ ขอเพียงถูกทำลายแล้ว เหล่าคุณชายผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวงก็จะไม่วนเวียนอยู่รอบตัวนางอีก พี่เฉินก็จะเปลี่ยนใจกลับมาแล้ว
เห็นเหลียนเอ๋อร์ลงมืออย่างเหี้ยมโหดเช่นนี้ ในเวลาเดียวกับที่หลิงมู่เอ๋อร์หมุนกายหลบนั้น มืออีกข้างหนึ่งก็จับปลายแส้ไว้อย่างแม่นยำ พลิกมือออกแรง เหลียนเอ๋อร์ที่กุมแส้อยู่ร่างกายลอยขึ้นกลางอากาศออกไปด้านหลัง ล้มฟาดลงกับพื้นอย่างแรง
“อ๋า!” เสียงร้องอย่างอนาถเสียงหนึ่งกรีดผ่านปลายฟ้า เหลียนเอ๋อร์ชี้ไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ที่กำลังได้ใจอย่างเจ็บปวด “หญิงสารเลว เจ้าถึงกับกล้าทำร้ายเปิ่นกงจู่”
โยว่ ‘คนร้ายชิงฟ้องก่อน’ ห้าคำนี้ ใช้อธิบายสถานการณ์นี้ได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งเหลือเกิน
“ท่านพุ่งออกมาลอบสังหารข้าอย่างกะทันหัน ข้าเพียงโต้ตอบโดยสัญชาตญาณเท่านั้น ตอนนี้กลับแว้งกัดคำหนึ่งบอกว่าข้ารังแกท่าน องค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ ท่านช่างทำให้ข้าได้เปิดประสบการณ์ว่า สิ่งใดเรียกว่าคน หากไม่ต้องการหน้าตาแล้ว ใต้หล้าก็ไร้ผู้ต่อกรจริงๆ”
“นังสารแล้ว ถึงกับกล้าเหยียดหยามด่าทอเปิ่นกงจู่ วันนี้หากข้าไม่สั่งสอนเจ้าให้ดี เจ้าก็ไม่มีทางรู้ว่าสิ่งใดเรียกว่า ความสูงศักดิ์ ต่ำต้อย และกฎระเบียบ!”
เหลียนเอ๋อร์กล่าวจบก็ทำท่าจะลุกขึ้น กำหมัดแน่นราวกับเค้นแรงเต็มที่ หลิงมู่เอ๋อร์ก็ไม่กลัว ยืนอยู่ที่เดิมอย่างไม่อนาทรร้อนใจราวกับกำลังรอความตายอย่างเชื่อฟัง แต่ในเสี้ยววินาทีที่นางพุ่งเข้ามานั้นเอง นางก็กล่าวเบาๆ ว่า “วันนี้พกยาพิษชนิดหนึ่งมากับตัวพอดี หากองค์หญิงไม่ทรงกลัวตาย ก็สามารถเข้ามาได้เลยเพคะ”
ร่างที่กำลังจะถึงตัวหยุดลงอย่างฉับพลัน
เหลียนเอ๋อร์สีหน้าเคียดขึง ฟันที่ขาวราวเปลือกหอยกัดริมฝีปากล่าง ในยามที่มองหลิงมู่เอ๋อร์อีกครั้งมีความหวาดกลัวเล็กน้อย
“เจ้า เจ้าพูดจาเหลวไหล เจ้ากำลังหลอกข้า!”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ไปมองดวงตาของนาง แต่กลับหยิบขวดยาขวดหนึ่งออกมาจากด้านในของอกเสื้ออย่างระมัดระวัง จงใจเปิดออกอีกทั้งยังลองดม จากนั้นแสร้งทำท่าคล้ายจะอาเจียน “จุ๊ๆๆ กลิ่นคาวเลือดนี้ช่างแสบจมูกเหลือเกิน เกรงว่าองค์หญิงคงไม่ทราบว่ายาพิษนี้ทำมาจากสิ่งใดกระมัง สิ่งนี้คือเลือดของสิ่งมีชีวิตสิบแปดชนิดผสมรวมกัน และได้เพิ่มพิษหายากบนโลกนี้อีกเก้าสิบเก้าชนิด สกัดออกมาจนสำเร็จ ขอเพียงถูลงบนร่างกายด้วยขนาดเพียงเมล็ดข้าว ก็สามารถทำให้ทั่วทั้งร่างของท่านเน่าเปื่อย เลือดออกเจ็ดทวาร และยังจะสูญสิ้นสัมผัสทั้งหมดไปอย่างช้าๆ อีกด้วย”
ท่วงทำนองในการพูดของนาง ยิ่งพูดยิ่งช้า เฝ้าสำรวจดวงตาของเหลียนเอ๋อร์อย่างละเอียด เห็นนางหวาดหวั่นจนตัวสั่นแต่พยายามฝืนไว้ นางก็กล่าวต่อไปว่า “หนึ่งชั่วยามให้หลัง แขนขาทั้งสี่ข้างของท่านจะมิอาจเคลื่อนไหว ถึงยามนั้น โลหิตจะไหลนองดั่งลำธาร และจะดึงดูดฝูงแมลงต่างๆ มาเป็นจำนวนมาก พวกมันจะไต่ขึ้นมาบนร่างกายของท่าน กัดกินเลือดเนื้อของท่าน…”
“เจ้าหยุดพูดได้แล้ว!”
ปิดหูไว้อย่างแน่นหนา ใบหน้าที่งดงามของเหลียนเอ๋อร์ถูกทำให้ตกใจจนซีดขาว
นางนั่งยองลงกับพื้นส่ายหัวไม่หยุด “ไม่เอา อย่าทำเช่นนี้กับข้า ข้าผิดไปแล้ว เจ้าไป เจ้ารีบหายไปจากเบื้องหน้าของข้าเสียเดี๋ยวนี้ ชั่วชีวิตนี้ อย่าให้ข้าได้เห็นเจ้าอีก”
“คำนี้ควรเป็นข้าพูดกับท่านจึงจะถูก”
หลิงมู่เอ๋อร์มองนางที่อยู่เบื้องล่างจากด้านบน เดิมคิดอยากถือโอกาสมอบการสั่งสอนให้นางเล็กน้อย ให้นางได้สัมผัสถึงประสบการณ์ของหลายวันก่อนอีกครั้ง แต่สุดท้ายยังคงไม่อยากชักนำความยุ่งยากมาสู่ตนเอง
“วันนี้ข้าจะปล่อยท่านไปชั่วคราว หากภายภาคหน้าท่านยังกล้าวางแผนทำร้ายข้าอีก คำพูดเมื่อสักครู่จะเป็นจุดจบสุดท้ายของท่าน”
เก็บขวดยากลับไป หลิงมู่เอ๋อร์หมุนกาย เดินส่ายอาดๆ จากไป
เหลียนเอ๋อร์ที่นั่งยองอยู่บนพื้น ดวงตาทั้งคู่อำมหิตและเคียดแค้น มองมีดสั้นที่ส่องประกายอยู่ไม่ไกล ก็ไม่รู้ไปเอาความเชื่อมั่นมาจากที่ใด นางรีบหยิบขึ้นมา จากนั้นพุ่งไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ทันที
แม้เหลียนเอ๋อร์จะมิได้เปิดปาก แต่ทั่วทั้งร่างมีไอสังหารลุกโชน แสงจันทร์ทำให้เงาร่างของนางทอดยาวออกไป
ในยามที่มีดสั้นจะแทงทะลุแผ่นหลังของหลิงมู่เอ๋อร์นั่นเอง ฝ่ายหลังก็เบี่ยงกายหลบ คว้าจับและโยนหลิงเอ๋อร์ข้ามไหล่ไป
“รนหาที่ตาย!” หลิงมู่เอ๋อร์หลบแย่งมีดสั้นในมือของนางพาดไปที่ลำคอที่ขาวราวหิมะของเหลียนเอ๋อร์
สองคำที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเยียบเย็นไร้ไมตรี ในดวงตาทั้งคู่ที่เบิกจนกลมโต ราวกับมีเปลวเพลิงที่กำลังลุกโชนแผดเผา
เหลียนเอ๋อร์ตกใจจนขดเป็นก้อนกลม “เจ้า เจ้าจะทำอะไรกับข้า ข้าขอเตือนเจ้า เจ้าปล่อยข้านะ!”
“ข้าเข้าใจว่าคำพูดเมื่อครู่ข้าได้พูดไปอย่างชัดเจนมากแล้ว คิดไม่ถึงว่าองค์หญิงเหลียนเอ๋อร์จะเป็นผู้ที่ไม่รู้จักสถานการณ์เช่นนี้ เยี่ยงนี้ก็ดี พวกเรามาคิดบัญชีเก่าและบัญชีใหม่พร้อมกันเสียเลย”
พาดมีดสั้นไปที่ใบหน้านุ่มลื่นของนาง หลิงมู่เอ๋อร์โค้งริมฝีปากอย่างชั่วร้าย “ข้าได้ยินว่ายามปกติองค์หญิงทรงรักถนอมใบหน้าเป็นที่สุด มิทราบว่าหากถูกกรีดเป็นแผลแล้ว จะยังทรงมีหน้าไปพบผู้คนได้หรือไม่?”
ได้ยินว่าตนจะถูกทำลายโฉม เหลียนเอ๋อร์ตกใจอย่างมากแล้ว “ไม่เอา! อย่ากรีดหน้าข้า หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้าไม่อาจปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ เจ้าดูตัวเจ้ามิใช่ไม่ได้รับบาดเจ็บหรือ มิใช่ปลอดภัยไร้ปัญหาหรือ ดังนั้นเจ้าไม่อาจทำร้ายข้า”
นางไม่ได้รับบาดเจ็บ ก็มิอาจลงทัณฑ์ผู้ที่วางแผนทำร้ายนางได้งั้นหรือ? นี่เป็นตรรกะที่สุนัขตัวใดผายลมออกมากัน?
หลิงมู่เอ๋อร์จ้องด้วยหางตาอย่างเหยียดหยาม หางตามีประกายเย็นยะเยือกวาบผ่าน “เป็นท่านออกความคิดให้ไท่จื่อ ขังข้าไว้ที่เรือนตากอากาศนอกเมือง และเป็นท่านที่ยุยงให้เขาคิดมิดีมิร้ายกับข้า ท่านรู้หรือไม่ เพียงแค่เรื่องนี้ ข้าก็สามารถทำให้ท่านจ่ายค่าตอบแทนที่ทุกข์ทรมานแสนสาหัสได้แล้ว”
น้ำเสียงของนางคล้ายจะสามารถกินคนได้ ราวกับภูตผีปีศาจกำลังวนเวียนอยู่ข้างหู เหลียนเอ๋อร์หวาดกลัวอย่างยิ่งยวด เริ่มสั่นสะท้านโดยสัญชาตญาณ “แต่ แต่เจ้ามิใช่ไม่เป็นไรหรือ? อีกทั้งเพราะเรื่องนี้ ทำให้เสด็จพี่รัชทายาทถูกปลด ข้าก็พลอยได้รับความเดือดร้อนไปด้วยไม่อาจเข้าวัง เจ้ายังคิดจะทำเช่นใดอีก?”
“ท่านพลอยเดือดร้อน? ผู้ที่ยุยงให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ก็คือท่าน นี่เดิมก็เป็นบทลงโทษที่ท่านควรได้รับ!”
หลิงมู่เอ๋อร์โมโหอย่างยิ่ง มือที่กุมมีดสั้นอยู่ออกแรง “ในความเข้าใจของท่าน ข้าปลอดภัยก็ถือว่าไม่เป็นไรแล้ว? องค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ ท่านก็เป็นสตรี ท่านควรรู้ว่า ชื่อเสียงเรื่องความบริสุทธิ์สำหรับสตรีแล้วมีความสำคัญเพียงใด หรือจะกล่าวว่า ที่แท้ท่านมิได้ใส่ใจในสิ่งนั้น ก็ดี ยามนี้ข้าจะพาท่านออกจากวัง จากนั้นติดต่อแม่เล้าขายท่านเข้าไปในหอคณิกา ท่านใช่จะยังคุกเข่าโขกศีรษะขอบพระคุณข้าด้วยหรือไม่!”
“ไม่เอา ข้าไม่ต้องการไปสถานที่เช่นนั้น ข้าเป็นถึงองค์หญิง เจ้าไม่อาจทำ!” มือทั้งคู่ของเหลียนเอ๋อร์กอดมือของนางไว้แน่น ส่ายศีรษะไม่หยุด
“ไม่ไปหอนางโลม ก็กรีดหน้าเจ้าให้เป็นแผล นี่เป็นสิ่งที่เจ้าเลือกเอง”
กล่าวจบ มีดสั้นในมือของหลิงมู่เอ๋อร์ก็จะกรีดลง
“หยุดมือ!”
น้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดสายหนึ่งตะโกนมาจากเบื้องหลัง มือที่กุมมีดสั้นไว้ของหลิงมู่เอ๋อร์ออกแรง หลังจากดวงตาทั้งคู่ปิดสนิทก็ลืมขึ้นอีกครั้ง เห็นซูกุ้ยเฟยพาคนจำนวนหนึ่งเดินมาทางเบื้องหน้าอย่างเอิกเกริก
ในขณะที่หลิงมู่เอ๋อร์กำลังขมวดคิ้วนั่นเอง เหลียนเอ๋อร์ที่เมื่อครู่หวาดกลัวจนตัวสั่นก็พลันลุกขึ้นอย่างกะทันหัน มือทั้งสองจับมีดสั้นของนางกรีดลงบนคอของนาง เห็นนางขยับเพียงเล็กน้อย ก็มีเลือดไหลซึมออกมา
การกระทำที่ต่อเนื่องกันเป็นชุดเกิดขึ้นในชั่วพริบตาเท่านั้น ต่อให้หลิงมู่เอ๋อร์จะเคยเห็นกลอุบายมาทุกชนิด ก็ถูกฉากเบื้องหน้าทำให้ตะลึงงันแล้ว
“องค์หญิงลงมือกับพระองค์เองได้หนักหน่วงเหลือเกินนะเพคะ”
เหลียนเอ๋อร์ไม่ไปมองนาง แต่กลับหลับตาแน่นสนิท “อ๋า เสด็จแม่ช่วยชีวิตด้วย เสด็จแม่ช่วยชีวิตด้วยเพคะ นังหญิงสารเลวคนนั้นจะฆ่าข้า”
“บังอาจหลิงมู่เอ๋อร์ เจ้ากล้าลอบสังหารองค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ในวัง ใครเข้ามา จับตัวนางไว้!”
ในยามที่ซูกุ้ยเฟยพาคนทั้งกลุ่มเดินเข้ามาอย่างไม่เร็วไม่ช้า หลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้ว่า นางติดกับดักของสองแม่ลูกคู่นี้แล้ว
บุตรสาวแท้ๆ ที่ตนให้กำเนิดเป็นทัพหน้า จงใจทำให้ตนเองได้รับบาดเจ็บ ต่อให้หลิงมู่เอ๋อร์อธิบายก็น้ำท่วมปาก
ลอบสังหารองค์หญิง โทษประหารด้วยการตัดหัว ครั้งนี้ต่อให้กระโดดลงแม่น้ำฮวงโหก็ล้างไม่สะอาดแล้ว
ทหารหลวงสองสามนายบุกเข้ามาจับนางไว้ มัวมัวสองสามคนกลับวิ่งเข้าไปประคองเหลียนเอ๋อร์ขึ้นมา หนึ่งในนั้นตกใจจนหน้าซีด “ไอ๊หยา เหตุใดพระศอขององค์หญิงจึงทรงเลือดออกแล้ว เหนียงเหนียงองค์หญิงทรงเลือดออกแล้วเพคะ”
“อะไรนะ?” เมื่อซูกุ้ยเฟยได้ยินคำว่า ‘เลือด’ นี้ ก็รีบซอยเท้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว มองบุตรสาวของตนอย่างประหม่ากังวลยิ่ง “เหลียนเอ๋อร์ของข้า เจ้าเจ็บหรือไม่ รีบให้เสด็จแม่ดู สวรรค์ บาดแผลยาวถึงเพียงนี้ หลิงมู่เอ๋อร์เจ้ามันหญิงสารเลวที่มีจิตใจดุจอสรพิษ!”
กล่าวจบ หมุนกาย เงื้อมือขึ้นได้ก็ฟาดลงมาหนึ่งฝ่ามือ
หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกเพียงว่า ใบหน้าด้านข้างเป็นความเจ็บปวดที่แสบร้อน นางอยากจะตบกลับไป แขนทั้งสองข้างกับถูกคนยึดไว้
เหลียนเอ๋อร์เห็นเช่นนั้นก็รีบพุ่งเข้าไปในอ้อมกอดของซูกุ้ยเฟย “เสด็จแม่ เจ็บเหลือเกินเพคะ ข้าใกล้จะตายแล้วใช่หรือไม่ ข้าจะตายแล้วใช่หรือไม่ เสด็จแม่จะต้องช่วยข้าแก้แค้นนะเพคะ ฆ่านังหญิงสารเลวคนนี้ซะ ฆ่านางซะ!”
คนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ ช่างเป็นละครพากย์ที่แสดงได้ดีจริงๆ หลิงมู่เอ๋อร์มองอยู่ในสายตา โกรธาอยู่ในจิตใจ
“ข้ามิได้ลงมือสังหารนาง นอกจากนี้ เป็นนางที่ลงมือลอบสังหารข้าก่อน ตัวข้าเพียงแค่ป้องกันตัว”
เหลียนเอ๋อร์ไม่สนใจว่านางจะกล่าวสิ่งใด ชี้หน้านางทันที “เจ้าไม่ได้ลงมือ แล้วบาดแผลบนคอของเป็นเรื่องใด เจ้าดู นี่ถึงขนาดเลือดออกแล้ว! ยังมี ยังมีในมือของเจ้ายังกุมมีดสั้นอยู่เลย เจ้ามันมารร้ายที่ฆ่าคน เปิ่นกงจู่จะต้องให้เสด็จพ่อแล่เจ้าเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น เจ้าก็รอถูกพวกเราประหารเถอะ!”
ซูกุ้ยเฟยปกป้องเหลียนเอ๋อร์ไว้ในอ้อมกอดอย่างทะนุถนอม “เหลียนเอ๋อร์ที่น่าสงสารของข้า”
เมื่อมองหลิงมู่เอ๋อร์อีกครั้ง ในดวงตาของซูกุ้ยเฟยเปี่ยมไปด้วยไอสังหารเข้มข้น “เมื่อครู่เปิ่นกงเพิ่งเห็นด้วยตาของตนเอง เป็นเจ้าถือมีดสั้นปาดคอเหลียนเอ๋อร์ หากมีใช่ข้าขัดขวางได้ทันเวลา เกรงว่าเหลียนเอ๋อร์คงจะสิ้นชีพอยู่ตรงนั้นแล้ว ใครเข้ามา จับตัวสตรีนางนี้ไว้”
“ช้าก่อน”
คนยังมาไม่ถึง เสียงก็ถูกส่งมาก่อน ในยามที่หลิงมู่เอ๋อร์กำลังจะถูกคนจับออกไปนั้น เงาร่างสายหนึ่งก็เหินมาจากท้องฟ้า กระโดดขึ้นลงไม่กี่ครั้งก็หยุดลงเบื้องหน้าคนทั้งหมด
ลงมือไม่กี่กระบวนท่า องครักษ์ที่กุมตัวหลิงมู่เอ๋อร์อยู่ก็ถูกตีจนล้มลงบนพื้น ผู้ที่มาปกป้องนางไว้เบื้องหลังอย่างเผด็จการ
ถูกพาตัวออกจากพระตำหนักเฉียนชิงอย่างงุนงง ตั้งแต่ต้นจนจบหลิงมู่เอ๋อร์ก็ยังคาดเดาไม่ออกว่า ที่แท้ฮ่องเต้ทรงต้องการสิ่งใดกันแน่
หากจะทรงไล่นางออกจากเมืองหลวงจริงๆ มีราชโองการลงมาก็ได้แล้วกระมัง? จะทำสิ่งที่ไม่จำเป็น อย่างการเรียกตัวนางเข้าวังมาทำไม? หากไม่ใช่ความหมายนี้ เหตุใดจึงทรงออกพระโอษฐ์ข่มขู่ หรือเพียงแค่การทำให้หวาดกลัวโดยไม่มีเจตนาใดแอบแฝงเท่านั้น เพื่อให้วันหลังนางรู้จักยับยั้งพฤติกรรมของตนเอง ไม่ไปมาหาสู่กับพวกซูเช่ออีก?
แต่ในสิ่งที่ฮ่องเต้ทรงตรัสออกมา มองไม่ออกถึงความใส่พระทัยซูเช่อแม้แต่น้อย แต่กลับกำลังทรงล้วงคำพูดของนาง เพื่อยืนยันว่าซั่งกวนเซ่าเฉินกลับมาเมืองหลวงจริงหรือไม่ ทรงมิได้ให้ความสำคัญกับซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างมากหรือ กลับมาหรือไม่ สำหรับฮ่องเต้แล้ว เหตุใดจึงมีความสำคัญมากถึงเพียงนั้น? ที่แท้พวกเขากำลังวางแผนคิดคำนวณสิ่งใดอยู่กันแน่?
หลิงมู่เอ๋อร์ครุ่นคิดจนตกเข้าสู่ภวังค์ เป็นเหตุให้กงกงจากไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ นางเดินอยู่บนเส้นทางสายเล็กๆ ที่ออกจากเมืองเพียงลำพัง ถนนยาวอย่างมาก ทอดสายตาออกไปมองไม่เห็นเส้นขอบ จนกระทั่งองค์หญิงเหลียนเอ๋อร์พุ่งออกมาอย่างกะทันหัน จึงได้ดึงสติของนางกลับมา
“นังสารเลวที่หน้าไม่อาย ดูว่าวันนี้เปิ่นกงจู่จะเอาชีวิตของเจ้าได้หรือไม่!” เสียงคำรามด้วยความเกรี้ยวโกรธ สตรีนางหนึ่งถือมีดสั้นพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วและรุนแรง
หลิงมู่เอ๋อร์คิดว่านางเป็นเพียงองค์หญิงที่เกเรเอาแต่ใจ คิดไม่ถึงว่ายังพอเป็นวรยุทธ์ด้วย
ในยามที่มีดสั้นที่ปกคลุมไปด้วยไอสังหารโจมตีเข้ามานั้น นางก็หลบได้อย่างพอเหมาะพอดี องค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ถือโอกาสที่ได้เปรียบบุกโจมตีต่ออีกหนึ่งมีด เห็นได้ว่ากำลังจะแทงโดนจุดสำคัญของหลิงมู่เอ๋อร์แล้ว ก็ถูกฝ่ายหลังหลบไปได้อย่างสบายอีกครั้ง
“ท่านป่วยใช่หรือไม่? ข้ามิได้ไปคิดบัญชีกับท่าน ท่านกลับเสนอตัวมาถึงที่ ท่านคิดว่าท่านเป็นคู่ต่อสู้ของข้าหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์ออกแรง เหลียนเอ๋อร์ได้รับความเจ็บปวด มีดสั้นในมือร่วงหล่นลง
“เจ้า…ล้วนเป็นเพราะนางจิ้งจอกเช่นเจ้า เริ่มจากยั่วยวนพี่เฉินของข้า จากนั้นก็ทำให้ข้าถูกเสด็จพ่อลงโทษ วันนี้ไม่ฆ่าเจ้า ข้าก็ไม่ใช่องค์หญิงเหลียนเอ๋อร์!”
ในยามที่กล่าววาจา นางก็ดึงแส้หนังที่เอวออกมา ฟาดไปที่ใบหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์
ถูกแล้ว เป็นใบหน้าที่ทำให้จิตวิญญาณของคนหลงใหลลุ่มหลงนี้ ขอเพียงถูกทำลายแล้ว เหล่าคุณชายผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวงก็จะไม่วนเวียนอยู่รอบตัวนางอีก พี่เฉินก็จะเปลี่ยนใจกลับมาแล้ว
เห็นเหลียนเอ๋อร์ลงมืออย่างเหี้ยมโหดเช่นนี้ ในเวลาเดียวกับที่หลิงมู่เอ๋อร์หมุนกายหลบนั้น มืออีกข้างหนึ่งก็จับปลายแส้ไว้อย่างแม่นยำ พลิกมือออกแรง เหลียนเอ๋อร์ที่กุมแส้อยู่ร่างกายลอยขึ้นกลางอากาศออกไปด้านหลัง ล้มฟาดลงกับพื้นอย่างแรง
“อ๋า!” เสียงร้องอย่างอนาถเสียงหนึ่งกรีดผ่านปลายฟ้า เหลียนเอ๋อร์ชี้ไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ที่กำลังได้ใจอย่างเจ็บปวด “หญิงสารเลว เจ้าถึงกับกล้าทำร้ายเปิ่นกงจู่”
โยว่ ‘คนร้ายชิงฟ้องก่อน’ ห้าคำนี้ ใช้อธิบายสถานการณ์นี้ได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งเหลือเกิน
“ท่านพุ่งออกมาลอบสังหารข้าอย่างกะทันหัน ข้าเพียงโต้ตอบโดยสัญชาตญาณเท่านั้น ตอนนี้กลับแว้งกัดคำหนึ่งบอกว่าข้ารังแกท่าน องค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ ท่านช่างทำให้ข้าได้เปิดประสบการณ์ว่า สิ่งใดเรียกว่าคน หากไม่ต้องการหน้าตาแล้ว ใต้หล้าก็ไร้ผู้ต่อกรจริงๆ”
“นังสารแล้ว ถึงกับกล้าเหยียดหยามด่าทอเปิ่นกงจู่ วันนี้หากข้าไม่สั่งสอนเจ้าให้ดี เจ้าก็ไม่มีทางรู้ว่าสิ่งใดเรียกว่า ความสูงศักดิ์ ต่ำต้อย และกฎระเบียบ!”
เหลียนเอ๋อร์กล่าวจบก็ทำท่าจะลุกขึ้น กำหมัดแน่นราวกับเค้นแรงเต็มที่ หลิงมู่เอ๋อร์ก็ไม่กลัว ยืนอยู่ที่เดิมอย่างไม่อนาทรร้อนใจราวกับกำลังรอความตายอย่างเชื่อฟัง แต่ในเสี้ยววินาทีที่นางพุ่งเข้ามานั้นเอง นางก็กล่าวเบาๆ ว่า “วันนี้พกยาพิษชนิดหนึ่งมากับตัวพอดี หากองค์หญิงไม่ทรงกลัวตาย ก็สามารถเข้ามาได้เลยเพคะ”
ร่างที่กำลังจะถึงตัวหยุดลงอย่างฉับพลัน
เหลียนเอ๋อร์สีหน้าเคียดขึง ฟันที่ขาวราวเปลือกหอยกัดริมฝีปากล่าง ในยามที่มองหลิงมู่เอ๋อร์อีกครั้งมีความหวาดกลัวเล็กน้อย
“เจ้า เจ้าพูดจาเหลวไหล เจ้ากำลังหลอกข้า!”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ไปมองดวงตาของนาง แต่กลับหยิบขวดยาขวดหนึ่งออกมาจากด้านในของอกเสื้ออย่างระมัดระวัง จงใจเปิดออกอีกทั้งยังลองดม จากนั้นแสร้งทำท่าคล้ายจะอาเจียน “จุ๊ๆๆ กลิ่นคาวเลือดนี้ช่างแสบจมูกเหลือเกิน เกรงว่าองค์หญิงคงไม่ทราบว่ายาพิษนี้ทำมาจากสิ่งใดกระมัง สิ่งนี้คือเลือดของสิ่งมีชีวิตสิบแปดชนิดผสมรวมกัน และได้เพิ่มพิษหายากบนโลกนี้อีกเก้าสิบเก้าชนิด สกัดออกมาจนสำเร็จ ขอเพียงถูลงบนร่างกายด้วยขนาดเพียงเมล็ดข้าว ก็สามารถทำให้ทั่วทั้งร่างของท่านเน่าเปื่อย เลือดออกเจ็ดทวาร และยังจะสูญสิ้นสัมผัสทั้งหมดไปอย่างช้าๆ อีกด้วย”
ท่วงทำนองในการพูดของนาง ยิ่งพูดยิ่งช้า เฝ้าสำรวจดวงตาของเหลียนเอ๋อร์อย่างละเอียด เห็นนางหวาดหวั่นจนตัวสั่นแต่พยายามฝืนไว้ นางก็กล่าวต่อไปว่า “หนึ่งชั่วยามให้หลัง แขนขาทั้งสี่ข้างของท่านจะมิอาจเคลื่อนไหว ถึงยามนั้น โลหิตจะไหลนองดั่งลำธาร และจะดึงดูดฝูงแมลงต่างๆ มาเป็นจำนวนมาก พวกมันจะไต่ขึ้นมาบนร่างกายของท่าน กัดกินเลือดเนื้อของท่าน…”
“เจ้าหยุดพูดได้แล้ว!”
ปิดหูไว้อย่างแน่นหนา ใบหน้าที่งดงามของเหลียนเอ๋อร์ถูกทำให้ตกใจจนซีดขาว
นางนั่งยองลงกับพื้นส่ายหัวไม่หยุด “ไม่เอา อย่าทำเช่นนี้กับข้า ข้าผิดไปแล้ว เจ้าไป เจ้ารีบหายไปจากเบื้องหน้าของข้าเสียเดี๋ยวนี้ ชั่วชีวิตนี้ อย่าให้ข้าได้เห็นเจ้าอีก”
“คำนี้ควรเป็นข้าพูดกับท่านจึงจะถูก”
หลิงมู่เอ๋อร์มองนางที่อยู่เบื้องล่างจากด้านบน เดิมคิดอยากถือโอกาสมอบการสั่งสอนให้นางเล็กน้อย ให้นางได้สัมผัสถึงประสบการณ์ของหลายวันก่อนอีกครั้ง แต่สุดท้ายยังคงไม่อยากชักนำความยุ่งยากมาสู่ตนเอง
“วันนี้ข้าจะปล่อยท่านไปชั่วคราว หากภายภาคหน้าท่านยังกล้าวางแผนทำร้ายข้าอีก คำพูดเมื่อสักครู่จะเป็นจุดจบสุดท้ายของท่าน”
เก็บขวดยากลับไป หลิงมู่เอ๋อร์หมุนกาย เดินส่ายอาดๆ จากไป
เหลียนเอ๋อร์ที่นั่งยองอยู่บนพื้น ดวงตาทั้งคู่อำมหิตและเคียดแค้น มองมีดสั้นที่ส่องประกายอยู่ไม่ไกล ก็ไม่รู้ไปเอาความเชื่อมั่นมาจากที่ใด นางรีบหยิบขึ้นมา จากนั้นพุ่งไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ทันที
แม้เหลียนเอ๋อร์จะมิได้เปิดปาก แต่ทั่วทั้งร่างมีไอสังหารลุกโชน แสงจันทร์ทำให้เงาร่างของนางทอดยาวออกไป
ในยามที่มีดสั้นจะแทงทะลุแผ่นหลังของหลิงมู่เอ๋อร์นั่นเอง ฝ่ายหลังก็เบี่ยงกายหลบ คว้าจับและโยนหลิงเอ๋อร์ข้ามไหล่ไป
“รนหาที่ตาย!” หลิงมู่เอ๋อร์หลบแย่งมีดสั้นในมือของนางพาดไปที่ลำคอที่ขาวราวหิมะของเหลียนเอ๋อร์
สองคำที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเยียบเย็นไร้ไมตรี ในดวงตาทั้งคู่ที่เบิกจนกลมโต ราวกับมีเปลวเพลิงที่กำลังลุกโชนแผดเผา
เหลียนเอ๋อร์ตกใจจนขดเป็นก้อนกลม “เจ้า เจ้าจะทำอะไรกับข้า ข้าขอเตือนเจ้า เจ้าปล่อยข้านะ!”
“ข้าเข้าใจว่าคำพูดเมื่อครู่ข้าได้พูดไปอย่างชัดเจนมากแล้ว คิดไม่ถึงว่าองค์หญิงเหลียนเอ๋อร์จะเป็นผู้ที่ไม่รู้จักสถานการณ์เช่นนี้ เยี่ยงนี้ก็ดี พวกเรามาคิดบัญชีเก่าและบัญชีใหม่พร้อมกันเสียเลย”
พาดมีดสั้นไปที่ใบหน้านุ่มลื่นของนาง หลิงมู่เอ๋อร์โค้งริมฝีปากอย่างชั่วร้าย “ข้าได้ยินว่ายามปกติองค์หญิงทรงรักถนอมใบหน้าเป็นที่สุด มิทราบว่าหากถูกกรีดเป็นแผลแล้ว จะยังทรงมีหน้าไปพบผู้คนได้หรือไม่?”
ได้ยินว่าตนจะถูกทำลายโฉม เหลียนเอ๋อร์ตกใจอย่างมากแล้ว “ไม่เอา! อย่ากรีดหน้าข้า หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้าไม่อาจปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ เจ้าดูตัวเจ้ามิใช่ไม่ได้รับบาดเจ็บหรือ มิใช่ปลอดภัยไร้ปัญหาหรือ ดังนั้นเจ้าไม่อาจทำร้ายข้า”
นางไม่ได้รับบาดเจ็บ ก็มิอาจลงทัณฑ์ผู้ที่วางแผนทำร้ายนางได้งั้นหรือ? นี่เป็นตรรกะที่สุนัขตัวใดผายลมออกมากัน?
หลิงมู่เอ๋อร์จ้องด้วยหางตาอย่างเหยียดหยาม หางตามีประกายเย็นยะเยือกวาบผ่าน “เป็นท่านออกความคิดให้ไท่จื่อ ขังข้าไว้ที่เรือนตากอากาศนอกเมือง และเป็นท่านที่ยุยงให้เขาคิดมิดีมิร้ายกับข้า ท่านรู้หรือไม่ เพียงแค่เรื่องนี้ ข้าก็สามารถทำให้ท่านจ่ายค่าตอบแทนที่ทุกข์ทรมานแสนสาหัสได้แล้ว”
น้ำเสียงของนางคล้ายจะสามารถกินคนได้ ราวกับภูตผีปีศาจกำลังวนเวียนอยู่ข้างหู เหลียนเอ๋อร์หวาดกลัวอย่างยิ่งยวด เริ่มสั่นสะท้านโดยสัญชาตญาณ “แต่ แต่เจ้ามิใช่ไม่เป็นไรหรือ? อีกทั้งเพราะเรื่องนี้ ทำให้เสด็จพี่รัชทายาทถูกปลด ข้าก็พลอยได้รับความเดือดร้อนไปด้วยไม่อาจเข้าวัง เจ้ายังคิดจะทำเช่นใดอีก?”
“ท่านพลอยเดือดร้อน? ผู้ที่ยุยงให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ก็คือท่าน นี่เดิมก็เป็นบทลงโทษที่ท่านควรได้รับ!”
หลิงมู่เอ๋อร์โมโหอย่างยิ่ง มือที่กุมมีดสั้นอยู่ออกแรง “ในความเข้าใจของท่าน ข้าปลอดภัยก็ถือว่าไม่เป็นไรแล้ว? องค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ ท่านก็เป็นสตรี ท่านควรรู้ว่า ชื่อเสียงเรื่องความบริสุทธิ์สำหรับสตรีแล้วมีความสำคัญเพียงใด หรือจะกล่าวว่า ที่แท้ท่านมิได้ใส่ใจในสิ่งนั้น ก็ดี ยามนี้ข้าจะพาท่านออกจากวัง จากนั้นติดต่อแม่เล้าขายท่านเข้าไปในหอคณิกา ท่านใช่จะยังคุกเข่าโขกศีรษะขอบพระคุณข้าด้วยหรือไม่!”
“ไม่เอา ข้าไม่ต้องการไปสถานที่เช่นนั้น ข้าเป็นถึงองค์หญิง เจ้าไม่อาจทำ!” มือทั้งคู่ของเหลียนเอ๋อร์กอดมือของนางไว้แน่น ส่ายศีรษะไม่หยุด
“ไม่ไปหอนางโลม ก็กรีดหน้าเจ้าให้เป็นแผล นี่เป็นสิ่งที่เจ้าเลือกเอง”
กล่าวจบ มีดสั้นในมือของหลิงมู่เอ๋อร์ก็จะกรีดลง
“หยุดมือ!”
น้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดสายหนึ่งตะโกนมาจากเบื้องหลัง มือที่กุมมีดสั้นไว้ของหลิงมู่เอ๋อร์ออกแรง หลังจากดวงตาทั้งคู่ปิดสนิทก็ลืมขึ้นอีกครั้ง เห็นซูกุ้ยเฟยพาคนจำนวนหนึ่งเดินมาทางเบื้องหน้าอย่างเอิกเกริก
ในขณะที่หลิงมู่เอ๋อร์กำลังขมวดคิ้วนั่นเอง เหลียนเอ๋อร์ที่เมื่อครู่หวาดกลัวจนตัวสั่นก็พลันลุกขึ้นอย่างกะทันหัน มือทั้งสองจับมีดสั้นของนางกรีดลงบนคอของนาง เห็นนางขยับเพียงเล็กน้อย ก็มีเลือดไหลซึมออกมา
การกระทำที่ต่อเนื่องกันเป็นชุดเกิดขึ้นในชั่วพริบตาเท่านั้น ต่อให้หลิงมู่เอ๋อร์จะเคยเห็นกลอุบายมาทุกชนิด ก็ถูกฉากเบื้องหน้าทำให้ตะลึงงันแล้ว
“องค์หญิงลงมือกับพระองค์เองได้หนักหน่วงเหลือเกินนะเพคะ”
เหลียนเอ๋อร์ไม่ไปมองนาง แต่กลับหลับตาแน่นสนิท “อ๋า เสด็จแม่ช่วยชีวิตด้วย เสด็จแม่ช่วยชีวิตด้วยเพคะ นังหญิงสารเลวคนนั้นจะฆ่าข้า”
“บังอาจหลิงมู่เอ๋อร์ เจ้ากล้าลอบสังหารองค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ในวัง ใครเข้ามา จับตัวนางไว้!”
ในยามที่ซูกุ้ยเฟยพาคนทั้งกลุ่มเดินเข้ามาอย่างไม่เร็วไม่ช้า หลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้ว่า นางติดกับดักของสองแม่ลูกคู่นี้แล้ว
บุตรสาวแท้ๆ ที่ตนให้กำเนิดเป็นทัพหน้า จงใจทำให้ตนเองได้รับบาดเจ็บ ต่อให้หลิงมู่เอ๋อร์อธิบายก็น้ำท่วมปาก
ลอบสังหารองค์หญิง โทษประหารด้วยการตัดหัว ครั้งนี้ต่อให้กระโดดลงแม่น้ำฮวงโหก็ล้างไม่สะอาดแล้ว
ทหารหลวงสองสามนายบุกเข้ามาจับนางไว้ มัวมัวสองสามคนกลับวิ่งเข้าไปประคองเหลียนเอ๋อร์ขึ้นมา หนึ่งในนั้นตกใจจนหน้าซีด “ไอ๊หยา เหตุใดพระศอขององค์หญิงจึงทรงเลือดออกแล้ว เหนียงเหนียงองค์หญิงทรงเลือดออกแล้วเพคะ”
“อะไรนะ?” เมื่อซูกุ้ยเฟยได้ยินคำว่า ‘เลือด’ นี้ ก็รีบซอยเท้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว มองบุตรสาวของตนอย่างประหม่ากังวลยิ่ง “เหลียนเอ๋อร์ของข้า เจ้าเจ็บหรือไม่ รีบให้เสด็จแม่ดู สวรรค์ บาดแผลยาวถึงเพียงนี้ หลิงมู่เอ๋อร์เจ้ามันหญิงสารเลวที่มีจิตใจดุจอสรพิษ!”
กล่าวจบ หมุนกาย เงื้อมือขึ้นได้ก็ฟาดลงมาหนึ่งฝ่ามือ
หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกเพียงว่า ใบหน้าด้านข้างเป็นความเจ็บปวดที่แสบร้อน นางอยากจะตบกลับไป แขนทั้งสองข้างกับถูกคนยึดไว้
เหลียนเอ๋อร์เห็นเช่นนั้นก็รีบพุ่งเข้าไปในอ้อมกอดของซูกุ้ยเฟย “เสด็จแม่ เจ็บเหลือเกินเพคะ ข้าใกล้จะตายแล้วใช่หรือไม่ ข้าจะตายแล้วใช่หรือไม่ เสด็จแม่จะต้องช่วยข้าแก้แค้นนะเพคะ ฆ่านังหญิงสารเลวคนนี้ซะ ฆ่านางซะ!”
คนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ ช่างเป็นละครพากย์ที่แสดงได้ดีจริงๆ หลิงมู่เอ๋อร์มองอยู่ในสายตา โกรธาอยู่ในจิตใจ
“ข้ามิได้ลงมือสังหารนาง นอกจากนี้ เป็นนางที่ลงมือลอบสังหารข้าก่อน ตัวข้าเพียงแค่ป้องกันตัว”
เหลียนเอ๋อร์ไม่สนใจว่านางจะกล่าวสิ่งใด ชี้หน้านางทันที “เจ้าไม่ได้ลงมือ แล้วบาดแผลบนคอของเป็นเรื่องใด เจ้าดู นี่ถึงขนาดเลือดออกแล้ว! ยังมี ยังมีในมือของเจ้ายังกุมมีดสั้นอยู่เลย เจ้ามันมารร้ายที่ฆ่าคน เปิ่นกงจู่จะต้องให้เสด็จพ่อแล่เจ้าเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น เจ้าก็รอถูกพวกเราประหารเถอะ!”
ซูกุ้ยเฟยปกป้องเหลียนเอ๋อร์ไว้ในอ้อมกอดอย่างทะนุถนอม “เหลียนเอ๋อร์ที่น่าสงสารของข้า”
เมื่อมองหลิงมู่เอ๋อร์อีกครั้ง ในดวงตาของซูกุ้ยเฟยเปี่ยมไปด้วยไอสังหารเข้มข้น “เมื่อครู่เปิ่นกงเพิ่งเห็นด้วยตาของตนเอง เป็นเจ้าถือมีดสั้นปาดคอเหลียนเอ๋อร์ หากมีใช่ข้าขัดขวางได้ทันเวลา เกรงว่าเหลียนเอ๋อร์คงจะสิ้นชีพอยู่ตรงนั้นแล้ว ใครเข้ามา จับตัวสตรีนางนี้ไว้”
“ช้าก่อน”
คนยังมาไม่ถึง เสียงก็ถูกส่งมาก่อน ในยามที่หลิงมู่เอ๋อร์กำลังจะถูกคนจับออกไปนั้น เงาร่างสายหนึ่งก็เหินมาจากท้องฟ้า กระโดดขึ้นลงไม่กี่ครั้งก็หยุดลงเบื้องหน้าคนทั้งหมด
ลงมือไม่กี่กระบวนท่า องครักษ์ที่กุมตัวหลิงมู่เอ๋อร์อยู่ก็ถูกตีจนล้มลงบนพื้น ผู้ที่มาปกป้องนางไว้เบื้องหลังอย่างเผด็จการ
MANGA DISCUSSION