เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 6 บทที่ 169 ผู้ชายของเจ้า
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 6 บทที่ 169 ผู้ชายของเจ้า
เล่มที่ 6 บทที่ 169 ผู้ชายของเจ้า
“พี่ใหญ่?”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่เชื่อคำพูดของซูเช่อแม้แต่น้อย “นี่เป็นไปไม่ได้ ตอนนี้เขามิใช่ควรอยู่ระหว่างทางไปชายแดนหรือ เหตุใดจึงมาปรากฏกายขึ้นในเมืองหลวงอย่างกะทันหันได้?”
นอกจากนี้ ในใจของนางยังมีความรู้สึกคับแค้นต่อซั่งกวนเซ่าเฉิน พูดอย่างไรก็ไม่เชื่อ
“เอาเถอะ ทั้งที่จริงๆ แล้วข้าสามารถแอบซ่อนความลับนี้ไว้ได้ แต่ให้ข้าเป็นคนมีเมตตา มิอาจทำใจแข็งเห็นพวกเจ้าคนที่มีใจต่อกันถูกคนพรากจากได้” ซูเช่อถอนหายใจครั้งหนึ่ง หัวเราะเยาะตนเองที่ใจอ่อนถึงเพียงนี้
“แม้ข้าจะไม่รู้ว่าช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า แต่ซั่งกวนเซ่าเฉินบอกว่า เขากลับมามอบคำอธิบายให้เจ้า เพราะเขามีฐานะพิเศษ หากให้ฝ่าบาทรู้ว่าเขาออกจากขบวนทัพโดยพลการ นั่นเป็นโทษถึงตัดหัว ดังนั้นจึงไม่อาจรอจนเจ้าตื่นขึ้นมาค่อยกลับค่ายทัพแล้ว”
เขากล่าวอย่างจริงจัง มีต้นมีท้าย หลิงมู่เอ๋อร์ฟังจนตื่นตระหนก ในใจถาโถมโหมกระหน่ำ
พี่ใหญ่กลับมามอบคำอธิบายให้นาง? เป็นเพราะเรื่องที่นางเคยขอร้องให้เขามอบคำตอบให้นางหรือไม่?
ยังจำได้ว่าวันนั้นเซียวชีบอกว่า ในยามที่พี่ใหญ่จากไปนั้น ได้คิดจะมาหานาง หากมิใช่ฮ่องเต้ไปส่งกองทัพอย่างกะทันหัน เขาก็จะมาแล้ว
ดังนั้น นี่คือพี่ใหญ่เดินทางไปเดินทางมา ในใจก็รู้สึกผิดต่อนาง จึงตัดสินใจย้อนเส้นทางกลับมา และบังเอิญมาช่วยชีวิตนางไว้ครั้งหนึ่งพอดี?
“ในเมื่อเขากลับมาแล้ว เหตุใดจึงไม่ยอมรอข้าตื่นขึ้นมา?”
ดวงตาทั้งคู่ของหลิงมู่เอ๋อร์คลอไปด้วยหมอก เห็นได้ชัดว่าหวั่นไหวแล้ว “พี่ใหญ่ในตอนนั้นคงจะโมโหมากกระมัง”
เห็นท่าทางซาบซึ้งจนพร้อมจะร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อของหลิงมู่เอ๋อร์ ที่แท้ นางที่ยืนหยัดเข้มแข็งถึงเพียงนั้น ก็มีด้านที่บอบบางอ่อนแอเยี่ยงนี้เช่นกัน
ตนเองเกือบจะถูกคนเหยียดหยามล่วงเกิน ก็ไม่เห็นนางหลั่งน้ำตาแม้เพียงหยดเดียว ยามนี้ เพื่อบุรุษผู้หนึ่ง เป็นทุกข์ถึงเพียงนี้ ในใจของซูเช่อเปรี้ยวไปด้วยความอิจฉา
“เกรี้ยวโกรธมากจริงๆ หากไม่ใช่เพราะพวกเราขวางไว้ได้ทัน ตอนนี้ไท่จื่อคงจะไปพบพญายมบาลแล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราะแล้ว แม้จะมิได้เห็นด้วยตาของตน แต่นางสามารถจินตนาการได้ทั้งหมดว่า ในยามที่พี่ใหญ่พบว่านางตกอยู่ในอันตรายนั้น ร้อนใจเพียงใด กังวลเพียงใด และกริ้วโกรธเพียงใด
แต่ไหนแต่ไรมาพี่ใหญ่ก็คอยปกป้องนาง มิว่าจะเป็นเรื่องเล็กเท่าเมล็ดงา หรือเป็นเรื่องใหญ่ดุจฟ้าถล่มลงมา ขอเพียงเกี่ยวข้องกับนาง เขาก็จะพุ่งออกมาโดยไม่คำนึงถึงผลตอบแทนใดๆ
บุรุษผู้นั้นแม้จะเคร่งขรึมพูดน้อย และเอ่ยคำหวานไม่ค่อยเป็นนัก แต่ก็เป็นเพราะความซื่อสัตย์ที่ทื่อๆ นั่น ความจริงใจนั้นที่ทำให้นางลุ่มหลงรักอย่างลึกซึ้ง
“ขอบคุณมาก หากมิใช่เพราะท่านขวางไว้ได้ทันเวลา พี่ใหญ่ต้องทำความผิดใหญ่เทียมฟ้าไปแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ขอพระขอบคุณจวิ้นอ๋องน้อยไว้ ณ ที่นี้แล้ว!”
ในใจของซูเช่อมีเหตุผลเป็นหมื่นข้อในการประคองนางขึ้นมา แต่กลับขาดส่วนของฐานะที่จะประคองนางขึ้นมา
เขาก็กลับไปเย่อหยิ่งไม่เชื่อฟังอีกครั้ง นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานที่สูงส่ง “ช่างเถอะ แม่นางหลิงไม่ต้องเกรงใจข้าเช่นนี้”
“มิทราบว่าจวิ้นอ๋องน้อยท่านทราบหรือไม่ อาศัยความเร็วฝีเท้าของพี่ใหญ่ ต้องใช้เวลานานเท่าใดจึงจะกลับไปเข้าร่วมกับกองทัพได้”
“หากเร่งลงแส้ควบม้าแล้วละก็ สามวันก็เพียงพอแล้ว”
ในใจของหลิงมู่เอ๋อร์คำนวณเวลาที่ซั่งกวนเซ่าเฉินจากไปอย่างเงียบๆ เป็นเวลาสามวันพอดี หรือจะกล่าวว่า เขาออกเดินทางไปได้ไม่นานก็วกกลับมาทางเดิมแล้ว?
“หากถูกคนทูลฟ้องว่าออกจากค่ายทหารโดยพลการ นั่นเป็นโทษถึงประหารด้วยการตัดหัว”
“แม้ข้าจะไม่แน่ใจว่า ฝ่าบาทจะทรงแข็งพระทัยตัดหัวของเขาได้หรือไม่ แต่สำหรับคนธรรมดาแล้ว ไม่เพียงเป็นโทษตาย ยังต้องประหารสามชั่วโคตรด้วย”
หลิงมู่เอ๋อร์สั่นสะท้านขึ้นมา ดังนั้น สุดท้ายแล้วในใจของพี่ใหญ่ยังคงมีนาง ไม่เช่นนั้นก็จะไม่เสี่ยงต่อความเสี่ยงที่ใหญ่หลวงเช่นนี้
นางโค้งมุมปากอย่างไม่รู้ตัว จากมุมของซูเช่อมองไป รอยยิ้มของหญิงงามเบื้องหน้าชวนให้คนเคลิบเคลิ้มลุ่มหลง ราวจะเปรียบภูเขา สายน้ำ และทะเลดอกไม้ลงไปแล้ว
“เช่นนั้นไท่จื่อได้พบพี่ใหญ่แล้ว ฝ่าบาทจะทรงมีพระบัญชาให้ไปจับตัวเขาหรือไม่?” เป็นครั้งแรกที่หลิงมู่เอ๋อร์ได้สัมผัสรสชาติของการเป็นห่วงบุรุษผู้หนึ่ง ช่างทรมานเช่นนี้
“ไท่จื่อย่อมไม่มีทางปล่อยโอกาสที่จะลากซั่งกวนเซ่าเฉินลงน้ำไป แต่…” เขาคิดจะพูดว่าฮ่องเต้ทรงปฏิบัติต่อซั่งกวนเซ่าเฉินไม่ธรรมดา ไม่มีทางเอาความ แต่ก็กลัวหลิงมู่เอ๋อร์ไล่ถาม จึงเปลี่ยนคำพูด “ข้ากับโจวฉี่เยี่ยนยืนกรานว่าไท่จื่อพูดจาเหลวไหลเพื่อปัดความเกี่ยวข้อง ไม่ว่าฝ่าบาทจะทรงเชื่อหรือไม่ ยามนี้ ซั่งกวนเซ่าเฉินได้ออกจากเมืองหลวงไปแล้ว ต่อให้มีพระบัญชาให้ไล่ตรวจสอบก็หาคนไม่เจอ”
“เช่นนั้นในค่ายทัพเล่า? ปากคนมากมายถึงเพียงนั้น หากมีคนถือโอกาสถวายฎีกาฟ้องร้องเขาสักเล่มหนึ่ง?”
ซูเช่อพลันรู้สึกโมโหขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว หัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันน้อยๆ เอนกายไปเบื้องหน้า “แม่นางหลิง หากมีวันใดที่เปิ่นจวิ้นอ๋องตกอยู่ในอันตราย เจ้าจะเป็นห่วงข้าเช่นนี้หรือไม่?”
จึงพี่งจะรู้ตัวว่าอารมณ์ของตนสูญเสียการควบคุมเพียงใด หลิงมู่เอ๋อร์กระแอม ไม่ไปสบดวงตาของเขา
ซูเช่อแม้จะทรงเสน่ห์ร้ายกาจ แต่ดวงตาของเขาใสกระจ่างเป็นอย่างยิ่ง ทำให้คนมองแล้วถูกดึงดูดลงไปไม่อาจถอนตัว
ซูเช่อไม่อาจแข็งใจรังแกนางอีก “ไม่พูดถึงว่าคนสนิทของซั่งกวนเซ่าเฉิน แต่ละคนล้วนจงรักภักดีต่อเขาด้วยชีวิต ต่อให้มีบางคนคิดจะทำร้ายเขา ก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยปาก ผู้ชายของเจ้าก็จัดการไปแล้ว”
“ใคร ผู้ชายของใคร ท่านอย่าได้พูดจาเหลวไหล”
ใบหน้าที่ขวยเขินของหลิงมู่เอ๋อร์มีรอยแดงสองรอยพาดผ่าน ท่าทางแรกรักนั้น แม้ซูเช่อจะพึงใจ แต่ในใจก็รู้สึกเปรี้ยว
ไม่มีอารมณ์จะอยู่กินมะนาวที่นี่แล้วจริงๆ สะบัดชายเสื้อด้านล่างยืนขึ้น “วางใจเถอะ ต่อให้ฝ่าบาททรงไต่ถามขึ้นมา ข้ากับโจวฉี่เยี่ยนก็ไม่มีทางเปิดเผยร่องรอยของซั่งกวนเซ่าเฉินเป็นอันขาด ยังมี จวนตากอากาศนี้เป็นหลายปีก่อนข้าเบื่อที่ไม่มีสิ่งใดทำจึงได้ซื้อมา ไม่มีผู้ใดพักอาศัย และข้าก็จะไม่มาตามใจ ในอนาคต หากเจ้าต้องการอยู่คนเดียวอย่างสงบและไม่มีที่ไป ก็สามารถมาผ่อนคลายจิตใจที่นี่ได้ทุกเมื่อ”
ในยามที่หมุนกายนั้น เขาโยนกุญแจพวงหนึ่งมา
หลิงมู่เอ๋อร์กำลังคิดจะเอ่ยขอบคุณ ซูเช่อก็ได้เปิดประตูห้อง ครึ่งร่างก็ก้าวออกไปแล้ว “โอ้ถูกแล้ว ไท่จื่อเฟยนั้นข้าจะรีบช่วยเจ้านัดออกมา น่าจะเป็นพรุ่งนี้ยามเที่ยง”
ความเร็วของซูเช่อนั้นว่องไวมาก ยามเที่ยงของวันถัดมา นางก็ได้รับข้อความส่งต่อจากผู้ติดตามของเขา คนทั้งสองนับพบกันที่ห้องรับรองส่วนตัวของร้านอาหารสกุลหลิง
ไท่จื่อเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ในราตรีเดียวก็ครึกโครมไปทั่วเมืองหลวง ในยามที่หลิงมู่เอ๋อร์พึ่งเข้าไปในร้านอาหารนั้น ก็ได้ยินแขกที่อยู่เบื้องล่างพากันวิพากษ์วิจารณ์
ถึงแม้ว่าไท่จื่อเฟยจะหันหลังให้ตน หลิงมู่เอ๋อร์ก็ยังมองออกถึงความสูญเสียและเศร้าโศกของนาง
“หลิงมู่เอ๋อร์คารวะไท่จื่อเฟย”
เมื่อได้ยินเสียง สตรีที่สวมผ้าคลุมหน้าหันกลับมา ในยามที่ปลดผ้าคลุมหน้า เผยใบหน้าที่ซูบโทรมออกมานั้น หลิงมู่เอ๋อร์ก็ตะลึงงันไปแล้ว
นี่พึ่งผ่านไปแค่คืนเดียวเท่านั้น ทั่วทั้งร่างของนางราวกับผ่ายผอมลงไปรอบหนึ่ง
หลิงมู่เอ๋อร์รีบก้าวเข้าไปตรวจชีพจรให้นาง ยังดีที่ทารกน้อยในครรภ์ปลอดภัย
“ไท่จื่อเฟยโปรดให้ความสำคัญกับตนเองด้วย ถือว่าเพื่อทารกในท้องก็ได้เพคะ”
เดิมคิดว่าไท่จื่อเฟยจะโทษนาง คิดแค้นนาง แต่นางกลับยิ้มแล้ว
“เจ้าก็ไม่ต้องรู้สึกโทษตัวเอง ในเมื่อข้ารับปากมาพบเจ้า ในใจก็ย่อมไม่มีความรู้สึกเคียดแค้นใดต่อเจ้า เรื่องนี้พูดถึงต้นเหตุแล้วล้วนเป็นความผิดของเขา”
ไท่จื่อเฟยสะท้อนอารมณ์ เนตรหงส์ที่งดงามทอดออกไปนอกหน้าต่าง จากนั้นก็ยกมุมปากเป็นระยะ “ที่จริงแล้วเป็นเช่นนี้ก็ดี ไท่จื่อไม่ต้องทำเพื่อตำแหน่งผู้สืบทอดบัลลังก์ ครุ่นคิดจนพระเศียรแตกเพื่อชักจูงเหล่าขุนนางข้าราชบริพาร ข้ากับเขาในที่สุดก็สามารถใช้ชีวิตอย่างที่เคยคาดหวังไว้ในยามเป็นเด็กได้แล้ว”
ไท่จื่อเฟยที่ล้างเครื่องประทินโฉมหนาออกไป ไม่มีสิ่งใดต่างจากสตรีทั่วไป กระทั่งยังดูอ่อนเยาว์กว่าเมื่อก่อนลงอีกหลายปี หลิงมู่เอ๋อร์จึงได้สังเกตว่า ใบหน้าเปลือยเปล่าที่แหงนมองฟ้าของนาง ที่จริงแล้วงดงาม
ยามนี้ นางด้านหนึ่งทอดสายตาไปนอกหน้าต่างอย่างสะท้อนใจ อีกด้านก็ลูบท้องที่นูนขึ้นมาน้อยๆ อย่างมารดาผู้เมตตา บนใบหน้าแม้จะมีความโศกเศร้า แต่ก็เป็นสุข
“หลิงมู่เอ๋อร์ขอบพระทัยบุญคุณช่วยชีวิตของไท่จื่อเฟย หากมิใช่ยามนั้นไท่จื่อเฟยทรงส่งข่าวให้จวิ้นอ๋องน้อย ยามนี้เกรงว่าหม่อมฉันคงจะล่วงลับไปแล้ว แต่หม่อมฉันยังคงอยากจะกล่าวขออภัยต่อพระองค์สักคำ หากมิใช่เพราะหม่อมฉัน ไท่จื่อก็คงไม่ทรงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ไท่จื่อเฟย…”
“ยังจะเรียกไท่จื่อเฟยอะไรอีก ล้วนกล่าวแล้วว่าข้าไม่มีความคิดที่จะโทษเจ้า เหตุใดเจ้ากลับคิดมากขึ้นมาแล้ว” ไท่จื่อเฟยกวักมือ เป็นสัญญาณให้นางนั่งลงข้างกาย
“พูดออกไปแล้วเจ้าอาจไม่เชื่อ คืนวานก่อน หลังจากข้าได้ยินแผนการของเขาอย่างไม่ตั้งใจ ก็คิดจะไปแจ้งเจ้าในทันที แต่ตอนนั้นเป็นช่วงเวลากลางดึก ข้าไม่มีเหตุผลที่จะออกจากจวน จึงได้คิดจะแจ้งจวิ้นอ๋องน้อย แม้บทลงโทษของเสด็จพ่อจะนอกเหนือความคิดของข้า แต่ก็ถือว่าเป็นกรรมสนองเถิด ไท่จื่อ ไม่สิ พระสวามีในที่สุดก็สามารถนำสายตาทั้งหมดมาบนวางตัวข้าแล้ว คาดว่าหลังจากนี้คงไม่ผิดต่อข้าอีก”
แม้พระดำรัสของไท่จื่อเฟยจะตรัสออกมาเช่นนี้ แต่ในใจไม่เป็นทุกข์นั้นเป็นไปไม่ได้
เป็นหงสาจนเคยชินแล้ว จะทนต่อชีวิตของอีกาได้อย่างไร?
แต่เมื่อพระราชโองการของเสด็จพ่อประกาศลงมาแล้ว ความผิดก็อยู่ที่พวกเขา พวกเขาไร้กำลังที่จะต่อต้าน แม้จะกล่าวว่าสำหรับไท่จื่อแล้วนี่เป็นการลงโทษ แต่เมื่อคิดอีกทาง นี่มิใช่การปลดปล่อยอย่างหนึ่งหรือ
ทุกคนต่างกล่าวว่าไท่จื่อมีความสามารถสามัญ คำกล่าวลือนี้ได้ลอยไปเข้าหูของไท่จื่อนานแล้ว เขาคิดนานแล้วว่า จะต้องมีสักวันที่ตนเองจะถูกแทนที่ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า จะมาถึงเร็วเพียงนี้เท่านั้น
เมื่อคิดอย่างละเอียด หากไม่มีสัญญาณใดล่วงหน้าก็ถูกปลดจากตำแหน่งไท่จื่อ มิสู้หาเหตุผลมาอย่างหนึ่งเช่นนี้ อย่างน้อยเขาก็มิได้หลอกลวงมโนธรรมในใจตน
“ข้ามิใช่เคยรับปากเจ้า ว่าหลังจากเจ้าทำให้ข้าตั้งครรภ์ได้สำเร็จ ภายหน้าข้าจะไม่มีทางสร้างความลำบากให้เจ้าอีก และไม่ว่าเรื่องใดก็จะคอยคุ้มครองสนับสนุนหรือ? หลิงมู่เอ๋อร์ คำพูดของเปิ่นกงทำได้แล้ว นับจากบัดนี้ ข้าก็ไม่ติดค้างเจ้าแล้ว”
หากพูดถึงติดค้าง ควรเป็นนางที่เป็นฝ่ายมาขอโทษ
นี่เป็นครั้งแรกที่หลิงมู่เอ๋อร์ก้มหัวให้สตรีนางหนึ่ง “ผิดที่ไท่จื่อ แต่กลับพัวพันมาถึงเหนียงเหนียง ต่อให้เหนียงเหนียงไม่ทรงเอาความ แต่ในใจของมู่เอ๋อร์มีความรู้สึกผิด ในภายภาคหน้า หากเหนียงเหนียงทรงมีปัญหาใดสามารถมาหาหม่อมฉันได้ทุกเมื่อ พระคุณนี้หม่อมฉันจะไม่ลืมไปชั่วชีวิต”
“อย่า ข้ามิใช่คนใจดีมีเมตตาอะไร อย่าคิดว่าข้าช่วยเจ้าเพียงครั้งเดียวข้าก็เป็นคนดีแล้ว” ไท่จื่อเฟยลุกขึ้น หว่างคิ้วที่เย่อหยิ่งนั้น แต่ต้นจนจบมิได้มองหลิงมู่เอ๋อร์แม้แต่ครั้งเดียว “ข้าเพียงไม่ต้องการติดค้างเจ้าเท่านั้น เพราะข้ารู้ว่า ต่อให้ไม่มีซูเช่อช่วยเจ้า เมื่อซั่งกวนเซ่าเฉินกลับมา ก็ไม่มีทางปล่อยไท่จือไป ในเมื่อจุดจบล้วนเป็นเช่นเดียวกัน แล้วจะให้เจ้าซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ต้องบาดเจ็บเพื่อการใด”
ในขณะที่ไท่จื่อเฟยตรัส คนก็ได้ไปถึงทางออกประตูแล้ว “ข้าก็มิใช่ไท่จื่อเฟยแล้ว เจ้าก็มิใช่หมอประจำตัวของข้าอีก แม้ข้าจะช่วยเจ้า แต่ก็เป็นเจ้าที่ทำให้ข้าตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ นับแต่นี้ต่อไป ในชีวิตของข้าจะไม่รู้จักหลิงมู่เอ๋อร์อะไรอีก เจ้ากับข้าก็ลาจากกันนับแต่บัดนี้เถิด”
แม้จะเคยช่วยนาง แต่ท้ายที่สุดแล้วในใจก็มิอาจข้ามผ่านด่านนี้ไปได้ ในอนาคต ทุกครั้งที่ได้เห็นหลิงมู่เอ๋อร์ครั้งหนึ่ง ก็จะทำให้นางนึกถึงเรื่องที่ตนเคยตกจากฟากฟ้าลงมาสู่พื้นโคลน ความรู้สึกนี้เปรียบกับการทิ่มแทงหัวใจแล้วยังเจ็บปวดเสียยิ่งกว่า
“เหนียงเหนียง…”
หลิงมู่เอ๋อร์คิดจะไล่ตามออกไป แต่กลับถูกซูเช่อยื่นมือออกมาขวางไว้ ฉากพูดคุยนี้เป็นเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป แต่กลับตัดความสัมพันธ์ของคนหลายคนจนขาดไปตลอดชีวิต
“นางตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว เจ้าไล่ตามออกไปกลับจะทำให้นางลำบากใจ อย่าได้ลืมว่า ไท่จื่อยังคงตรวจสอบอย่างลับๆ อยู่ตลอดว่าเป็นผู้ใดที่แอบส่งข่าว หากเจ้าไม่อยากทำร้ายนาง ตัดขาดกับนางจึงเป็นการตอบแทนที่ดีที่สุด”
คำพูดของซูเช่อดั่งหยาดฝนหนึ่งหยดที่ปลุกใจผู้อยู่ในห้วงฝันตื่นขึ้น หลิงมู่เอ๋อร์จึงได้ตระหนักว่า เมื่อครู่ตนเกือบจะทำร้ายผู้มีพระคุณที่เป็นผู้บริสุทธิ์ผู้หนึ่งเพราะความหุนหันพลันแล่นของตน
นางพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว แต่ว่าไท่จื่อตรวจสอบออกมาไม่พบจริงหรือ? หากให้เขารู้เข้า ว่าเป็นฝีมือของไท่จื่อเฟย เช่นนั้นนางมิใช่…?”
“ในยามที่ไท่จื่อเฟยตัดสินใจมาพบเจ้าในวันนี้ ก็ได้วางแผนเรื่องนั้นไว้เรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่า ในเมื่อนางช่วยเจ้า ข้าย่อมจะช่วยนางเช่นกัน ไม่ว่าผู้ใดเป็นคนถาม ผู้ที่ข้าพบในวันนั้นเป็นเพียงสาวใช้ธรรมดาในตำหนักรัชทายาทที่ถูกข้าซื้อตัวไว้นานแล้วเท่านั้น”