เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 6 บทที่ 161 ดีขึ้น
เล่มที่ 6 บทที่ 161 ดีขึ้น
แสงอาทิตย์ส่องผ่านกระดาษหน้าต่าง ส่องผ่านผ้าม่านเตียง ตกลงบนใบหน้าขาว อ่อนเยาว์ และงดงามของหลิงมู่เอ๋อร์ ในห้องจุดเตาผิงไว้ กอปรกับแสงแดดอันอบอุ่นในฤดูหนาว บนหน้าผากกลับมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มไปหมด
พลิกตัวครั้งหนึ่ง ร้อนเหลือเกิน ปวดหัวเหลือเกิน นางค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างแผ่วเบา ปากลิ้นแห้งผากไปหมด ขณะที่คิดจะหยิบน้ำชาที่วางไว้บนหัวเตียงด้วยความเคยชิน ก็พบว่า ที่นี่มิใช่ห้องนอนของตน
กระแสความคิดย้อนกลับ จึงค่อยๆ จำได้อย่างคลับคล้ายคลับคลาว่า เมื่อคืนนางดื่มคนเดียวมากเกินไป จึงได้นอนหลับอยู่ที่ร้านอาหารเช่นนี้?
เมื่อนวดขมับ จึงได้เห็นว่าในฝ่ามือกำถุงหอมที่มีสีฟ้าของทะเลสาบไว้ ด้านบนตกแต่งด้วยเป็นอินทรีที่โบยบิน ที่มุมล่างสุดยังมีอักษร ‘เช่อ’ อีกตัวหนึ่ง
มิน่า เมื่อคืนนางจึงได้หลับสนิท ในถุงหอมใบนี้ใส่เครื่องหอมสงบจิตไว้ ด้วยความอยากรู้ของผู้เป็นแพทย์ นางเปิดถุงเครื่องหอมออกตรวจสอบปริมาณของเครื่องหอม กลับพบว่าด้านในมีกระดาษข้อความแผ่นหนึ่งนอนอยู่อย่างสงบ
“อย่างสั้นครึ่งปี อย่างนานสองสามปี ในระหว่างที่คนผู้นั้นไม่อยู่ในเมืองหลวง มิว่าเป็นเรื่องใดสามารถมาหาข้าได้ทุกเมื่อ ถือเสียว่าเป็นสหาย ข้าจะปกป้องเจ้าให้ปลอดภัยสุดความสามารถ”
ลายอักษรราวหงส์เหินมังกรบิน แข็งแกร่งเปี่ยมพลัง ไม่เข้ากับใบหน้าที่งามดั่งมารร้ายของเขาอย่างยิ่ง
โค้งริมฝีปาก ยังมิทันได้เก็บกระดาษข้อความลงไป ประตูห้องก็ถูกคนกระแทกออก “แม่นาง แม่นาง รีบตามหญิงชราผู้นี้ไปที่จวนสักรอบเถิดเจ้าค่ะ”
กล่าวจบ นำเสียงที่เร่งร้อนของหลิงต้าจื้อก็ดังลอยมา “บุตรสาวของข้าเมื่อคืนเมาสุรายังไม่ตื่น ท่านไม่อาจบุกเข้าไป”
หลิงมู่เอ๋อร์จึงเพิ่งเห็นอย่างชัดเจน มัวมัวชราที่ยืนอยู่เบื้องหน้า คือมัวมัวข้างกายของซูเหล่าฟูเหริน นางรีบร้อนเช่นนี้ หรือว่าท่านในเรือนร้างผู้นั้นเกิดเรื่องใดขึ้นแล้ว?
“ท่านพ่อ มิเป็นไรเจ้าค่ะ” ผงกศีรษะให้หลิงต้าจื้อ เป็นสัญญาณให้เขาไม่ต้องเป็นกังวล หลิงมู่เอ๋อร์ส่งสายตาให้มัวมัวชรา ให้นางกล่าวต่อไป
“เช้าวันนี้ คนผู้นั้นพลันอาการกำเริบอย่างกะทันหัน อารมณ์อยู่เหนือการควบคุมอย่างรุนแรง เหล่าฟูเหรินร้อนใจจนแย่แล้ว สั่งให้หญิงชราผู้นี้ต้องเชิญท่านไปให้ได้”
หนนี้รู้จักใช้คำว่าเชิญแล้ว เห็นได้ว่าคนผู้นั้นป่วยหนักเพียงใด หลิงมู่เอ๋อร์ลุกขึ้น มองสำรวจตนเอง อึ่ม ดูทุลักทุเลอยู่เล็กน้อยนะ
“ครึ่งชั่วยาม ข้าย่อมไปถึงจวน”
กล่าวจบ นางก็ลุกขึ้นจากไป มัวมัวชรากลับขวางทางไปของนางไว้
“ท่านดูสภาพเยี่ยงนี้ของข้า อย่างน้อยก็ควรให้ข้ากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสักชุดกระมัง นอกจากนี้ กล่องยาของข้าก็มิได้พกติดตัวมา ท่านจะให้ข้ารักษาคนด้วยมือเปล่าหรือไร?” หลิงมู่เอ๋อร์สองมือกอดแขน มองนางอย่างสงบนิ่งในยามเร่งเร้า
มัวมัวชราตะลึงงัน ค้อมเอวลง “รบกวนแม่นางหลิงแล้ว ยังขอให้แม่นางช่วยรีบเร่งด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
“วางใจเถิด ผู้ป่วยของข้าข้าร้อนใจกว่าเจ้าอีก เกี้ยวสกุลหลิงของข้าสามารถผ่านตลอดไร้การขัดขวาง ความเร็วไวกว่าท่านคอยจ้องข้าอยู่เสียอีก”
มิได้มอบโอกาสให้มัวมัวชราได้ตอบสนอง นางได้ออกจากห้องรับรองส่วนตัวไปแล้ว
กลับไปอาบน้ำอย่างรีบร้อนที่บ้านรอบหนึ่ง เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดหนึ่ง ที่บ้านมีกล่องยาที่สำรองไว้ ไม่จำเป็นต้องอ้อมทางไปเอาที่โรงหมออีก ในยามที่มาถึงจวนสกุลซูนั้น ก็เป็นครึ่งชั่วยามให้หลังพอดี
“แม่นางหลิง รีบตามข้ามาเถิดเจ้าค่ะ” มัวมัวชราคอยอยู่ที่หน้าประตูโดยตลอด เมื่อเห็นเงาร่างของหลิงมู่เอ๋อร์ ก็รีบนำทางอยู่เบื้องหน้า วิ่งเหยาะไปตลอดทาง ร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง
“ลองบอกกับข้ามาก่อนว่าที่แท้เรื่องเป็นเช่นใดกันแน่? ป่วยนานเพียงใดแล้ว อาการเป็นเช่นใด วันก่อนเหล่าฟูเหรินมิใช่เพิ่งส่งคนมาบอกว่าคนผู้นั้นยังดีๆ อยู่หรือ? ”
เพื่อลดเวลา หลิงมู่เอ๋อร์รีบไล่ถามอย่างเร่งร้อน มัวมัวชรารู้กฎของนาง ก็มิได้ปิดบัง
“อาการเมื่อวานล้วนดีมากมาโดยตลอด แต่หลังจากยามสามผ่านไป นางก็พลันคลุ้มคลั่งขึ้นมา เกือบจะบุกออกมาจากเรือนนั้นแล้ว ปากยังพูดอยู่ตลอดว่าให้พวกเราปล่อยนางออกไป หลังถูกผู้คุ้มกันขวางไว้ ก็ดึงกระบี่พกของผู้คุ้มกับออกมาข่มขู่ ในยามที่เหล่าฟูเหรินคิดว่านางจดจำความทรงจำขึ้นมาได้แล้วนั้น นางก็พลันล้มลง ในยามที่ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ว่าสิ่งใดก็จำไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ”
มัวมัวชราสีหน้าซีดขาว “ทำเอาเหล่าฟูเหรินตกใจจนแย่แล้ว หลายปีมานี้ คนผู้นั้นไม่เคยผิดปกติเช่นนี้มาก่อน ในยามที่หญิงชราผู้นี้ไปหาแม่นางนั่นเอง ได้ยินว่า นางได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ปากพร่ำบ่นถึงสิ่งใดไม่ทราบอย่างเสียสติ แต่กลับยืนกรานให้สาวใช้หาเข็มด้ายให้นาง พูดอะไรว่า จะทำเสื้อผ้า แม่นาง คนผู้นั้นมีฐานะไม่ธรรมดา ท่านจะต้องพยายามอย่างสุดความสามารถนะเจ้าคะ”
ในยามที่คำพูดสุดท้ายจบลงนั้น คนทั้งสองก็มาถึงเรือนร้างแล้ว ซูเหล่าฟูเหรินเมื่อเห็นหลิงมู่เอ๋อร์มาถึงก็รีบจะเอ่ยปาก แต่ถูกหลิงมู่เอ๋อร์ยื่นมือให้สัญญาณ “ข้าเข้าใจสถานการณ์ส่วนใหญ่แล้วเจ้าค่ะ ซูเหล่าฟูเหรินโปรดวางใจ นี่เป็นคนไข้ของข้า มิว่าจะเป็นเช่นไร ข้าย่อมต้องคิดหาทุกวิถีทางเพื่อช่วยนาง ให้ข้าไปตรวจให้นางก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
ซูเหล่าฟูเหรินเมื่อได้ยินก็มิกล้าทำให้เสียเวลาแม้แต่น้อย รีบเบี่ยงกายออกให้นางข้ามไป ในยามที่หลิงมู่เอ๋อร์เข้าไปในห้องที่ถูกทิ้งร้างนั้น ในเสี้ยววินาทีนั้น ก็พลันตะลึงงันไปแล้ว
สตรีที่เดิมเสียสตินั้น ยามนี้ผมเผ้ารุงรังใบหน้าเปรอะเปื้อน ทั่วทั้งร่างสกปรกทุลักทุเล แต่ในมือกลับกำเข็มด้ายไว้ไม่ยอมปล่อย ราวกับต้องการจะทำสิ่งใด ดวงตาทั้งคู่ของนางนิ่งงัน แต่กลับมีความระมัดระวัง ราวกับเกรงว่านางจะคลุ้มคลั่งขึ้นมากะทันหันแล้วหนีไปอีกครั้ง ที่เอวของนางมีเชือกป่านมัดพันไว้บนเก้าอี้
“แม่นางระวังด้วย นางกัดคนเจ้าค่ะ” เห็นหลิงมู่เอ๋อร์จะเข้าไปใกล้ สาวใช้ที่รับผิดชอบการดูแลหญิงวิปลาสมาตลอดรีบกล่าวเตือน และเปิดท่อนแขนออกให้นางดู
รอยฟันที่มีเลือดติดอยู่ ปรากฏขึ้นสู่นัยน์ตาอย่างเด่นชัด
หลิงมู่เอ๋อร์หยิบขวดยาขวดหนึ่งออกมาจากกล่องยา ส่งเข้าไปในฝ่ามือของนาง “ทาภายนอกสามวัน จะไม่ทิ้งรอยแผล ขอบคุณสำหรับคำเตือนของเจ้ามาก”
สาวใช้มองนางอย่างซาบซึ้งครั้งหนึ่ง
หลิงมู่เอ๋อร์มิได้กล่าววาจา และมิได้หวาดกลัว นั่งลงเบื้องหน้าสตรีวิปลาสอย่างระมัดระวัง ในยามที่เพิ่งนั่งลงนั้น สตรีวิปลาสที่ระมัดระวังตัวก็พุ่งเข้ามาจะกัดคนทันที แต่ติดที่ร่างกายถูกคนมัดไว้ ร่างของนางจึงเอนเพียงสี่สิบห้าองศา ในยามที่เห็นว่าเป็นหลิงมู่เอ๋อร์ นางพลันหัวเราะออกมา
“คิกคิก คิกคิก มา…มา”
นางราวกับเด็กน้อยคนหนึ่ง อ้าปากหัวอย่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ทุกคนต่างก็ตกตะลึงไปแล้ว หญิงวิปลาสราวกับรู้จักหลิงมู่เอ๋อร์ก็ไม่ปาน
“สาวน้อย นี่เป็นเรื่องใดกัน?” ซูเหล่าฟูเหรินสงสัย
“ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ผ่านมานี้ข้าได้ตรวจรักษาอาการให้นาง ทุกครั้งในยามฝังเข็ม ข้าก็จะพูดคุยกับนาง เมื่อเวลาผ่านไป นางก็จดจำข้าได้แล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์มิได้หันศีรษะกลับมา แต่ชะโงกร่างกายเข้าไปใกล้นาง มองผ้าเช็ดหน้าในมือของนางด้วยกัน ถามอย่างระมัดระวังว่า “ท่านจะทำเสื้อผ้าหรือ? ทำให้ผู้ใดกัน คิดจะทำลวดลายใด”
“ให้ ให้อวี้ อวี้เหิง…”
“หยุดปาก!” เมื่อได้ยินชื่อที่คุ้นเคย ซูเหล่าฟูเหรินตะโกนอย่างโมโห ทำให้หญิงวิปลาสตกใจจนขดตัวเข้าหากัน
“ชวู่” หลิงมู่เอ๋อร์รีบหันกลับมา ดวงตาที่อ่อนโยนเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นในฉับพลัน “หากเหล่าฟูเหรินอยากให้นางฟื้นฟูความทรงจำได้โดยเร็วแล้วละก็ โปรดอย่าได้แทรกแซง”
ในยามที่หันดวงตากลับมาอีกครั้ง สายตาของหลิงมู่เอ๋อร์ก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนอย่างมิอาจเทียบได้อีกครั้ง ราวกับผู้ที่นั่งอยู่เบื้องหน้า มิใช่ผู้ป่วยที่คลุ้มคลั่ง แต่เป็นบุตรของนาง “ไม่ต้องกลัว ท่านยายเพียงแต่พูดเสียงดังเท่านั้น ท่านรีบบอกข้าเร็ว นี่กำลังปักสิ่งใดกัน สอนข้าดีหรือไม่?”
“…ดีสิ…แต่นี่ เป็นมังกร มังกร”
สตรีวิปลาสชี้ไปที่ลวดลายที่ยังไม่เป็นรูปร่าง เชิดศีรษะอย่างได้ใจ ท่าทางภาคภูมิใจในตนเองนั้น ทำให้ทุกคนรอบข้างต่างพากับปิดปากแอบหัวเราะ
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มแล้วเช่นกัน ทว่านางมิได้ยิ้มเยาะหยัน แต่เป็นยิ้มที่ชื่นชม “ร้ายกาจจริงๆ งานปักนี้ก็ดีจริงๆ หลังจากข้าฝังเข็มให้ท่านเรียบร้อยแล้ว ท่านสอนข้าดีหรือไม่”
สตรีวิปลาสพยักหน้าก่อน จากนั้นก็ส่ายหน้า เมื่อมองเห็นนางหยิบเข็มเงินออกมา ก็หวาดกลัวจนใช้ผ้าเช็ดหน้าป้องกันไว้ที่หน้าอก “เจ็บ ร้อน เจ็บ…”
นางหวาดวิตกจนร่างกายสั่นไปหมด หลิงมู่เอ๋อร์วางเข็มเงินลงอย่างช้าๆ ค่อยๆ ลูบผมยาวของนาง สางผมที่รุงรังของนางให้ราบรื่น “ข้ารับรองว่า จะไม่ทำให้ท่านเจ็บอีกเด็ดขาด พวกเราตกลงกันแล้ว ท่านต้องเชื่อข้าสิ?”
สตรีมองไปรอบๆ จากนั้นมองหลิงมู่เอ๋อร์ที่อ่อนโยนอีกครั้ง จากเดิมที่ต่อต้าน เป็นค่อยๆ เปิดรับแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์เมื่อเห็นเช่นนั้น ก็รีบสั่งการต่อซูเหล่าฟูเหริน “ข้าจะฝังเข็มแล้ว ยังคงขอเชิญให้เหล่าฟูเหรินและทุกคนออกไปก่อน”
นี่เป็นกฎของนาง มิเคยอนุญาตให้ผู้อื่นทำลายมาก่อน
ซูเหล่าฟูเหรินร้อนใจเรื่องอาการป่วยของหญิงวิปลาส มิได้อยู่ต่ออีก สายตาหนึ่งส่งไป ห้องที่เดิมเต็มไปด้วยผู้คน ก็ว่างเปล่าลงทันที
“ไม่ต้องกลัว ข้าฝังเข็มไม่เจ็บแม้แต่นิดเดียว ในทางกลับกัน ยังจะรู้สึกสบายด้วย พวกเราเป็นเด็กดีหลับสักตื่นหนึ่ง เมื่อตื่นขึ้นมา ก็ไม่มีเรื่องใดแล้ว เป็นเด็กดี”
หลิงมู่เอ๋อร์ราวกับเป็นผู้ใหญ่ ค่อยๆ ชักนำอย่างใจเย็น สตรีวิปลาสราวกับเป็นเด็กน้อย นั่งนิ่งไม่ขยับอย่างเชื่อฟัง เข็มเงินเล่มหนึ่งฝังลงไป ดวงตาของนางเริ่มเลื่อนลอย ทั่วทั้งร่างจมสู่นิทราลึกอย่างช้าๆ
ประมาณครึ่งชั่วยามให้หลัง หลิงมู่เอ๋อร์ออกมาจากห้อง พลันมีสาวใช้ส่งผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาทันที ช่วยนางเช็ดหยดเหงื่อบนหน้าผากทิ้งไป
“เป็นอย่างไรบ้าง? อาการของนางเป็นอย่างไรแล้ว? อยู่ดีๆ เหตุใดพลันมีสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร?”
ซูเหล่าฟูเหรินร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง รีบขยับเข้าไปจับมือของหลิงมู่เอ๋อร์ไว้
ดึงมือของตนออกมาอย่างไร้ร่องรอย หลิงมู่เอ๋อร์ถอยหลังไปหลายก้าว รักษาระยะห่างจากนางอย่างรู้ตน
เหล่าฟูเหรินมีเป้าหมายของตนนางสามารถเข้าใจได้ แต่เมื่อครู่นางเพิ่งพูดว่า “หลายปีมานี้” นี่แสดงว่านางขังหญิงวิปลาสไว้ในจวนมานานมากแล้ว
กักขังสตรีที่เสียสติผู้หนึ่งอย่างโหดร้ายเช่นนี้ ยังเป็นผู้ที่มีฐานะไม่ธรรมดาอีก เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายที่อยู่เบื้องหลังนั้นมืดมิดเพียงใด
“ฟูเหรินวางใจเถิด ไม่มีเรื่องใด” น้ำเสียงของหลิงมู่เอ๋อร์เรียบเฉย ไม่ว่าผู้ใดก็ฟังออก ว่าอารมณ์ไม่ดี
“ไม่มีเรื่องอะไร แล้วเหตุใดจึงคลุ้มคลั่งขึ้นมากะทันหันได้ ที่นี่คือจวนสกุลซู แม่นางหลิงอย่าได้ปิดบังจะดีกว่า” มัวมัวชราโมโหจนไม่อาจระงับโทสะ เอ่ยปากว่ากล่าวอย่างรุนแรง
หลิงมู่เอ๋อร์เหลือบมองไปอย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง มิได้กล่าวแม้แต่คำเดียว แต่ไอสังหารที่แข็งแกร่งทรงพลังเพียงพอที่จะทำให้ทุกคนถอยไปด้วยความตกใจ
ซูเหล่าฟูเหรินเมื่อเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวว่า ‘ไร้กฎระเบียบ’ จากนั้นให้มัวมันชราพาทุกคนออกไปแล้ว เมื่อมองหลิงมู่เอ๋อร์อีกครั้ง นางยังคงมีใบหน้าเมตตาเช่นในอดีต “ข้ารู้ว่าในใจของเจ้ากำลังคิดสิ่งใด ข้าขังนางไว้ย่อมมีวัตถุประสงค์ของข้า อีกทั้ง ยามนั้นหากมิใช่เพราะข้า นางคงตายอยู่ข้างถนนไปนานแล้ว นับไปแล้วข้ายังถือว่าเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตของนาง”
หลิงมู่เอ๋อร์ประหลาดใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าข้างในนี้จะมีความสัมพันธ์เช่นนี้อยู่ด้วย เช่นนั้นก็แปลว่า ผู้ที่ทำให้หญิงวิปลาสต้องแท้งถึงสามครั้งมิใช่ซูเหล่าฟูเหรินแล้ว?
ความห่างเหินในใจของนางลดลงหลายส่วน หลิงมู่เอ๋อร์ถอนหายใจครั้งหนึ่ง “มู่เอ๋อร์ขอแสดงความยินดีกับเหล่าฟูเหริน ณ ที่นี้ ในที่สุด เมฆที่คอยเฝ้าก็ได้เผยจันทร์กระจ่าง[1] ออกมาแล้ว”
เหล่าฟูเหรินตะลึงงันไปก่อน อย่างรวดเร็วก็ได้สติกลับมา “ความหมายของเจ้าคือ โรคเสียสติของนางจะรักษาหายแล้ว?”
“มิผิด อาการทั้งหมดที่เกิดขึ้นติดต่อกันในวันนี้เป็นการแสดงออกว่าใกล้จะดีขึ้นแล้ว นางค่อยๆ จำบางสิ่งขึ้นมาได้บ้างแล้ว ขอเพียงฝังเข็มต่อไปบวกกับยาที่ข้าปรุงขึ้น น่าจะประมาณภายในหนึ่งเดือนเจ้าค่ะ”
รอมาหลายปีแล้ว เพียงเดือนเดียวเท่านั้น ราวกับเข้าใจก็ไม่ปาน ซูเหล่าฟูเหรินยินดีเป็นอย่างยิ่ง
“ดีเหลือเกินสาวน้อย หญิงชราผู้นี้ก็รู้ว่าเจ้ามีความสามารถ พูดมาเถอะ ต้องการรางวัลใด ขอเพียงนอกจากเจ้า…ของข้า ต้องการสิ่งใด หญิงชราผู้นี้ล้วนจะให้เจ้าได้สมหวัง”
นอกจากอะไรนั่นของข้า? หลานชายผู้เชื่อฟังคนนั้นของข้ากระมัง
หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกว่าน่าขำ บางที สตรีทั้งหมดในใต้หล้าอาจจะอยากโผเข้าสู่อ้อมกอดของซูเช่อ ทว่า บังเอิญที่นางกลับมิได้ต้องการแม้แต่น้อย
หากแม้นมิอาจเดินไปจนสุดทางกับซั่งกวนเซ่าเฉินได้จริงๆ นางคิดว่า นางก็คงไม่มีทางพิจารณาซูเช่อเช่นกัน
เชิงอรรถ
[1] เมฆที่คอยเฝ้าได้เผยจันทร์กระจ่างออกมา เป็นอุปมาอุปไมยหมายถึง ผู้ที่มีความอดทนมุ่งมั่น ในที่สุดก็จะรอถึงวันที่ทำได้สำเร็จ